ผมสังเกตุมานานแล้ว ว่าปัญหาต่างๆในชีวิต ส่วนใหญ่หลักๆก็คือความทุกข์ กับกิเลสตัณหา
ซึ่งความทุกข์ก็แยกได้ 2 อย่าง คือทุกข์ทางร่างกาย กับทุกข์ทางจิตใจ เช่นความหิว ความเจ็บ ความผิดหวัง ความขัดสน
ส่วนกิเลสก็แสดงอาการ 2 อย่าง คืออยากครอบครอง กับ อยากผลักไส เช่น อยากได้ความรักจากคนรัก หรือ อยากให้เค้าเจ็บเมื่อผิดหวัง
นอกจากนี้ยังมีอีกตัวนึงที่เป็นปัญหาลึกกว่า คือความติดดี ติดชั่ว เช่น คนเคร่งศาสนา หรือคนที่มองโลกแคบมากๆตามความรู้ความเชื่อส่วนตัว
แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นผล มาจากความคิด ซึ่งแยกได้อีก 2 อย่าง คือ ความคิดที่เกิดจากเหตุปัจจุบัน กับ ความคิดที่เกิดจากเหตุในอดีตสะสมมา
ซึ่งความรู้ความเห็นผม เกิดจากการดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตรงๆ เช่น ความทุกข์เกิดที่ร่างกายก็คอยรู้ ความทุกข์เกิดที่จิตใจก็คอยรู้
ซึ่งแรกๆที่คอยรู้ มันจะต้องมีเหตุมีผล มีความคิดว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้ จะแก้ยังไง ทำไมมันต้องเกิด ซึ่งกลายเป็นความทุกข์ซ้อนขึ้นอีก
แต่พอดูมันหลายปีผ่านไป ความคิดมันเริ่มหาย โดยไม่ต้องไปทำอะไร ความทุกข์อะไรเกิดขึ้นไม่ว่าทางกายหรือทางใจ จะรู้ทันที
หลังจากนั้นความคิด ซึ่งเป็นความทุกข์ซ้อน ที่จะตามมามันจะไม่เกิด หรือเกิดก็สั้นมาก โผล่ขึ้นแล้วสลายไปทันที
กิเลสตัณหาก็เหมือนกัน แต่จะสลายยากกว่า ต้องใช้เวลาดูต่อมาอีกระยะหลังจาก ความคิดเริ่มสลาย
ตัวที่ดูยากที่สุด คือความติดดี ติดชั่ว เพราะดูแล้วไม่ค่อยสลาย หรือเบาลงแต่ก็ไม่โล่งปลอดโปร่ง เหมือนตัวอื่น
เช่นความคิดว่าตัวเองมีศีลธรรม มีความรู้ไม่ว่าในทางดีทางชั่ว มากกว่าคนอื่น เวลามันเกิดความคิดนี้ขึ้น ถึงดูแล้วมันเบาบางหรือสลายไป
แต่จะรู้ตัวว่ามันไม่สลายจริง มีความอึดอัดคงเหลืออยู่ทั้งครั้ง ตรงนี้คงต้องดูต่อไป
ที่บรรยายมาทั้งหมด ไม่รู้มีใครเห็นเหมือนกันบ้างหรือเปล่า ไม่รู้ชื่อเรียกการปฏิบัติ หรือศัพท์ทางศาสนา
แต่ที่รู้ๆทุกอย่างมีความคิด เข้ามาเกี่ยวข้อง เชื่อมโยง ซึ่งต้องดูให้เห็นจริงๆถึงจะรู้ว่าต้นตอมันมาจากความคิด
แต่เราห้ามความคิดไม่ได้ แกล้งทำหัวว่างๆไม่ได้ ความสลายตัวของความคิดจะต้องเกิดขึ้นเอง
ความคิดคืออะไร
ซึ่งความทุกข์ก็แยกได้ 2 อย่าง คือทุกข์ทางร่างกาย กับทุกข์ทางจิตใจ เช่นความหิว ความเจ็บ ความผิดหวัง ความขัดสน
ส่วนกิเลสก็แสดงอาการ 2 อย่าง คืออยากครอบครอง กับ อยากผลักไส เช่น อยากได้ความรักจากคนรัก หรือ อยากให้เค้าเจ็บเมื่อผิดหวัง
นอกจากนี้ยังมีอีกตัวนึงที่เป็นปัญหาลึกกว่า คือความติดดี ติดชั่ว เช่น คนเคร่งศาสนา หรือคนที่มองโลกแคบมากๆตามความรู้ความเชื่อส่วนตัว
แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นผล มาจากความคิด ซึ่งแยกได้อีก 2 อย่าง คือ ความคิดที่เกิดจากเหตุปัจจุบัน กับ ความคิดที่เกิดจากเหตุในอดีตสะสมมา
ซึ่งความรู้ความเห็นผม เกิดจากการดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตรงๆ เช่น ความทุกข์เกิดที่ร่างกายก็คอยรู้ ความทุกข์เกิดที่จิตใจก็คอยรู้
ซึ่งแรกๆที่คอยรู้ มันจะต้องมีเหตุมีผล มีความคิดว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้ จะแก้ยังไง ทำไมมันต้องเกิด ซึ่งกลายเป็นความทุกข์ซ้อนขึ้นอีก
แต่พอดูมันหลายปีผ่านไป ความคิดมันเริ่มหาย โดยไม่ต้องไปทำอะไร ความทุกข์อะไรเกิดขึ้นไม่ว่าทางกายหรือทางใจ จะรู้ทันที
หลังจากนั้นความคิด ซึ่งเป็นความทุกข์ซ้อน ที่จะตามมามันจะไม่เกิด หรือเกิดก็สั้นมาก โผล่ขึ้นแล้วสลายไปทันที
กิเลสตัณหาก็เหมือนกัน แต่จะสลายยากกว่า ต้องใช้เวลาดูต่อมาอีกระยะหลังจาก ความคิดเริ่มสลาย
ตัวที่ดูยากที่สุด คือความติดดี ติดชั่ว เพราะดูแล้วไม่ค่อยสลาย หรือเบาลงแต่ก็ไม่โล่งปลอดโปร่ง เหมือนตัวอื่น
เช่นความคิดว่าตัวเองมีศีลธรรม มีความรู้ไม่ว่าในทางดีทางชั่ว มากกว่าคนอื่น เวลามันเกิดความคิดนี้ขึ้น ถึงดูแล้วมันเบาบางหรือสลายไป
แต่จะรู้ตัวว่ามันไม่สลายจริง มีความอึดอัดคงเหลืออยู่ทั้งครั้ง ตรงนี้คงต้องดูต่อไป
ที่บรรยายมาทั้งหมด ไม่รู้มีใครเห็นเหมือนกันบ้างหรือเปล่า ไม่รู้ชื่อเรียกการปฏิบัติ หรือศัพท์ทางศาสนา
แต่ที่รู้ๆทุกอย่างมีความคิด เข้ามาเกี่ยวข้อง เชื่อมโยง ซึ่งต้องดูให้เห็นจริงๆถึงจะรู้ว่าต้นตอมันมาจากความคิด
แต่เราห้ามความคิดไม่ได้ แกล้งทำหัวว่างๆไม่ได้ ความสลายตัวของความคิดจะต้องเกิดขึ้นเอง