ไปอินเดียอีกแล้ว....... ครั้งที่ 3
คราวนี้เช่นเดิมค่ะ ไปเพราะอยากไป อีกอย่างได้ตั๋วลดราคามาด้วย แต่คราวนี้ขอเปลี่ยนไปเป็นแบบไฮโซนิดหนึ่ง
((ไฮโซ ในที่นี้คือ อาหารดี ที่พักดี กว่าทุกครั้งที่มา ฮ่าๆ ))
แต่ก่อนเวลาเราคุยกับใครว่าไปอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือครอบครัวเรา พวกเค้ามักจะบอกว่า อินเดียสกปก มีแต่คนจน อาหารไม่สะอาด คราวนี้ไปดูความไฮโซของพวกคนในมุมใบอีกมุมหนึ่ง อาจจะไม่ได้หรูหราอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้ยากจนถึงขึ้นนั้น ประเทศเค้าก็เหมือนประเทศเรานะ เราคิดว่า มีคนรวยคนจน ปะปนกันไป 2 ครั้งแรกที่เรามาเราไปในที่ที่มันชาวบ้านมากๆ เราเลยคิดเหมืนคนอื่นๆพูดว่า มีแต่คนจน แต่ที่ไหนได้ คนสวยๆ นั่งรถโก้ๆ แต่งตัวเปรี้ยวๆ เพียบเลย อีกอย่างการตกแต่งออกแบบร้านอาหาร นี่สวยมากๆ (( บางที่สวยกว่าประเทศไทยอีกอ่ะ แหะๆ)) คราวนี้เราเลยขอความสะอาดๆ สวยๆ บ้าง แต่เราก็ยังคงยึดมั่นคอนเซปเดิมคือ ไม่ถูกโกงราคา และก็เดินๆๆๆๆ
ทริปนี้เราไปคืนวันศุกร์ กลับเที่ยงคืนของวันจันทร์ 2 วัน 2 คืน เช่นเดิม เรานั่งสายการบิน Bangkok Airways ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 21.15 น. ไปถึงที่มุมไบประมาณ เที่ยงคืนกว่าๆ ถึงเร็วประมาณ 15 นาที ดีว่าเราไม่มีกระเป๋าโหลด เลยเดินตัวปลิวออกมาเลย ตม.คนไม่เยอะเท่าไร แต่หน้าตาเจ้าหน้าที่ดุเอาเรื่อง เค้าบอกเราว่าวีซ่าครั้งที่ 2 แล้วนะ มาทำอะไรที่อินเดีย อืม .... มาเที่ยวค่ะ สักพักเสียงดัง โค้ม ตุ่ม !!!! เสียงแสตมป์วีซ่า พอเรียบร้อยเราก็เดินมาอย่างไว เพราะว่าเริ่มชำนาญทาง เรียกแท็กซี่ที่เดิม คราวนี้ดีมาก แท็กซี่เปิดมิสเตอร์ โดยที่ไมได้เรียกร้องค่าเดินทางแพง หรือว่าจำหน้าเราได้นะ ....
เราพักที่โรงแรม Suba Palace อยู่ใกล้ๆกับ Gateway of India เราชอบย่านนี้มาก เพราะของกินอร่อย แล้วมีสลัมด้วย แถมมีวิวทะเลพร้อมเรือ สวยๆ Suba Palace หน้าปากซอยหาง่ายมาก คือจะมีคนขายถั่ว18ล้านชนิด 555+ ห้องพักสะอาดแล้วไม่ต้องกลัวเรื่องของหาย เราออกไปข้างนอกลืมกล้องถ่ายรูป กะโทรศัพท์ไว้ กลับมาทุกอย่างเหมือนเดิม แถมพนักงานที่นี่น่ารักมาก ลิฟก็มีพนักงานนะจ๊ะ คอยบริการตลอด ........ นอนๆๆ เรานั่งรถจากสนามบินมาโรงแรม ประมาณ 40นาที ถึงโรงแรมประมาณเกือบตี2 ถึงก็อาบน้ำ นอนเลย...
วันนี้เลยตื่นสายเลย ตื่นตั้ง 11 โมง ตื่นปุ๊บก็หิวเลย เราเดินไปกินอาหารเช้าข้างนอก จำชื่อร้านไม่ได้ แต่รู้ว่าเจ๋งมาก

เราสั่งแพนเค้กกับไข่เบคอน อร่อยมากๆ พร้อมกับ บานาน่าคาราเมล ฟินสุดๆไปเลย (( พนักงานหล่อด้วยอะ หล่อแบบเข้มจัดๆนะ)) ตอนเรานั่งกินเราก็คิดนะว่าจะไปไหนดี รู้แต่ว่ายังมีอีกเยอะที่เรายังไม่ได้ไป เรามาเที่ยวที่ไรเราไม่เคยมีแผนเลย อยากไปไหนก็ไป วันนี้เรากะไป Elephanta Caves การไปก็ง่ายๆเลยค่ะเดินไปที่ Gateway of India แล้วซื้อตั๋วด้านหน้านะค่ะ ป้ายจะมีเขียนบอก พอซื้อเสร็จก็เดินไปด้านหลังของ Gateway แล้วก็ชูตั๋วให้เค้าดูว่าไปที่นี่นะ เค้าตอบ Ok. เราก็ไปโล้ด นั่งเรือประมาณ 1 ชั่วโมง ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรเลย555+ที่ไหนได้ เราต้องเดินไปอีก หรือว่าจะขึ้นรถไฟก็ได้ 10 รูปี เราเลือกที่จะนั่งรถไฟไป มันฟุ้งฟิ้งมากเลย
นั่งไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงละ ไปถึงก็มีของขายข้างทางเพียบ พวกของฝาก รูปปั้น กางเกง กระเป๋า หิน เดินไปเจอเก้าอี้หาม กะว่าจะลองสักหน่อย!!
....ใช้เวลาเดินขึ้นไปก็สักพักเลยอะ แล้วอากาศก็ร้อนมากๆ ... ถึงแล้ว โอ้ว ไม่ผิดหวังที่มา
Elephanta Caves หรือว่าถ้ำช้าง เป็นผนังถ้ำแกะสลักด้วยฝีมือคน เราเคยอ่านเจอนะ ถ้ำนี้มีประวัติ เค้าบอกว่า" ถ้ำช้างถูกสร้างขึ้นราว 1,500 ปีมาแล้ว โดยกษัตริย์ราชวงศ์ไตรกูฏกะ ผู้ปกครองดินแดนที่ราบสูงเดคคาน ตะวันตกของอินเดีย เพื่อการเฉลิมฉลองที่ได้รับชัยชนะจากการรบ และเพื่อเป็นเทวสถานอุทิศถวายต่อเทพที่ท่านทรงศรัทธา โดยงานประติมากรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในถ้ำก็คือ รูปสลักของพระพระตรีมูรติ ความสูงเกือบ 20 ฟุต ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ที่รวมเทพทั้ง 3 ไว้ในพระองค์คือ พระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุ อาจกล่าวได้ว่าพระตรีมูรติ มีพลังของเทพเจ้าทั้งสามในรูปเดียว เชื่อกันว่า หากขอพรพระตรีมูรติ จะมีความหมายแสดงถึงความอุดมสมบรูณ์ทั้งในชีวิต ความรัก และการงาน นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่ถ้ำช้างแห่งนี้จะได้สัมผัสกับความสวยงาม และเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังของศรัทธา" ขอบคุณสิ่งดีดีจากเวปหนึ่งค่ะ
ส่วนรูปปั้นแต่ละรูปก็มีความหมายเราอ่านก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ... อุ้ยย รู้สึกมึความรู้ยังไงไม่รู้ ฮ่าๆๆๆ ถัดมาด้าน ข้างตัวถ้ำมีโพรงใหญ่ใต้พื้น เป็นแอ่งน้ำธรรมชาติเขียวใส คนอินเดียถือว่า เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะอยู่ใต้ถ้ำ น้ำเป็นสีเขียวเลยแหละ เราเห็นนะแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา ด้านในถ้ำเย็นมาก ไม่อยากออกไปด้านนอกเลย... ที่ถ้ำช้างมีหลายจุดมากน่าจะ 3 จุด ใหญ่ๆนะ ระหว่างทางก็มีลิงเยอะมากๆ แม่ลิงกำลังกอดลูก
เอาล่ะเริ่มเหนื่อย เราก็หาร้านนั่งพัก ชิวๆ ลมเย็นๆ แล้วก็เดินลงไป นั่งรถไฟ เหมือนเดิม ลงเรือกลับไปที่ท่าเรือ เวลาตอนนี้ก็ประมาณ 5 โมงเย็นได้อะ อากาศกำลังดีเลย ถือโอกาสนั่งชมเรือ ทะเล แถวนี้ไปเลย เรานั่งมองคนก็สนุกดีนะ คือบ้านเราไม่มีแบบนี้อะ เรามองแต่ผู้ชายนะเพราะ กางเกง เสื้อผ้า ผม แบบว่า ฟิ้ววว ม๊ากๆๆๆ โอ๊ะ!!!!!!!!! มีหนุ่มอินเดียก็เข้ามาคุยด้วย แล้วสั่งลาด้วยคำว่า " คืนนี้อย่าลืมมาในฝันผมนะ " โว๊ะ... เขิลหรือขำดี ฮ่าๆๆๆๆๆ
พอนั่งเล่นสักปะเดียว เราก็กลับไปที่โรงแรม พักขาสักแปป คืนนี้เราจะไปดินเนอร์ที่ร้าน ชื่อว่า Khyber ร้านนี้อยู่ที่นี่ค่ะ 145, Ground Floor Mahatma Gandhi Road | Kala Ghoda, Fort Near Rhythm House, Mumbai (Bombay) 400020, India เอาที่อยู่ให้แท็กซี่ไปเลย ไม่ไกลมาก ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจากโรงแรมเราค่ะ
ถึงแล้วค่ะ บรรยากาศร้านสุดยอดค่ะ ร้านใหญ่มาก ผู้คนก็ดูดี ร้านตกแต่งสไตล์อินเดีย สวยมาก มีหลายโซน (( หรือเรียกว่ามีหนาวกับหนาวมาก)) ตอนแรกเราได้ที่นั่งอีกมุมหนึ่ง แต่ว่าแอร์เย็นเกินไป เราเลยขอย้าย
รสชาติอาหารถูกปากเรามากๆๆๆๆ เราสั่งไก่ย่าง, เนื้อแกะ, ใส่กรอก, Nan ชีสกับกระเทียม และก็เครื่องดื่มไป ขอบอกว่าอร่อยหมดเลย ก่อนที่อาการจะมาก็จะมี Nan มาเสริฟก่อน เป็น Nan ที่ใหญ่และปรุงรสด้วยพริก ต้นหอม หอมแดง และที่สำคํบอันใหญ่กว่าจานถึง 3 เท่า ฮ่าๆๆ รสชาติแซบมาก โอ้ว..ลืม ก่อนที่ Nan จะมาก็จะมีถ้วย 3 หลุม ซึ่งประกอบไปด้วย หัวหอมดอง ซอส และอะไรสักอย่าง ตามภาพเลยค่ะ จะบอกว่าแต่ก่อนเราไม่กินซอสและหัวหอมดองที่อินเดียเลย หรือแม้แต่ที่ประเทศไทยก็เหอะ เราว่าหัวหอมเหม็นมาก แต่!!!! คราวนี้เปลี่ยนไป เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน เราซัดหมดเลย มันอร่อยมากๆๆ เอา Nan ใส่หัวหอม กับซอส โอ้ว..พระเจ้า มันอร่อยมาก ในรูปนี้คือ อาหารเรียกน้ำย่อยค่ะ
เรานั่งรออาหารสัก 15 นาที อาหารก็มาค่ะ รสชาติมันแบบ ห่อไปกินที่บ้านได้ไหม...ยิ่งข้าวนะ เราชอบมาก ร่วนๆ เป็นเม็ด เรากินข้าวไปประมาณ 6 ทับพี เลยอะ กินกับไก่ ราดซอส ใส่หัวหอม เห้อออ...อยากกินอีก
เอาล่ะกินเสร็จแล้วเรากะว่าจะไปดื่มต่อที่ Four Seasons Hotel เราเรียกแท็กซี่ พี่เค้าคิด 250 รูปี อีกแล้วจ้า....เราลงเลย ไม่มีการต่ออะไรทั่งสิ้น แล้วเรียนอีกคัน พี่แกบอกราคาเดียวกันเลย 250รูปี เราบอกไปว่า มิตเตอร์!!! พร้อมทำหน้าตาดุๆ พี่แกทำหน้าไม่พอใจ แล้วกดมิตอร์แบบกระแทรก 555+ แขกหัวเสีย!! สรุปค่าเดินทางมา 25รูปี ป๊าดดดดด....... พอถึง Four Seasons เอิมมมม.. ผู้คนดูดีมาก เหมือนบ้านเราเวลามาที่แบบนี้ก็คงต้องใส่ชุดสวยๆ แต่งตัวดีดี แต่เราเใส่เสื้อยืดกะขาสั้น รองเท้าเน่าๆ คุณพี่การ์ด บอกว่า " Ummm ไม่ได้นะอินิจ้า ยูแต่งตัวสลัมมาก" ฮ่าๆๆๆ เราเลยเดินออกมาเลย พร้อมกับการอายนิดหน่อย เรานึกว่าเค้าไม่ถือ แป๋ว.. เปลี่ยนแผนๆ ก่อนออกมาพี่การ์ดบอกว่า มีร้านนึง ไม่ไกลจากนนี้ ใส่ชุดแบบคุณได้ แหมม ย่ำจังนะ
เราเลยเดินออกมาเรียกแท็กซี่ พร้อมกับราคา 300 รูปี ม่ะ ไม่ใช่ละ การ์ดบอกว่า 5 นาทีถึง เราเลยบอกคำเดิม มิตเตอร์!!!!!!!!! พร้อมกับจ่ายไป 25รูปี ตามราคาจริง แล้วก็ถึงแล้ว...โรงแรมนี้ชิวๆ เราจำชื่อโรงแรมไม่ได้ แต่ก็หรูไม่แพ้โรงแรม Four Seasons มีผู้หญิง 2 คนมอเราหัวจรดเท้าเลย แต่อย่าได้แคร์ 555+ เราไม่ใช่คนที่นี้ เราคนที่อื่น มองข้ามไป อย่านะๆๆ ฉันอยู่บ้านฉัน ฉันสวยนะย่ะ

ขึ้นลิฟไปชั้น 34 โอ้ว สูงเหมือนกัน รู้สึกจะมีโต๊ะประมาณ 10 โต๊ะ เปิดเพลงแนวๆทั่วไป ชมวิวสูง เราดิ่มไป 1 แก้ว แล้วรู้สึกว่ากลับดีกว่า วิวไม่ค้อยมีอะไร พรุ้งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ถือว่าวันนี้เราใช้ทุกวินาที คุ้มค่าล่ะ .....หู้วว รอต่อค่ะ
[CR] Oh!!! India again......ครั้งที่ 3
คราวนี้เช่นเดิมค่ะ ไปเพราะอยากไป อีกอย่างได้ตั๋วลดราคามาด้วย แต่คราวนี้ขอเปลี่ยนไปเป็นแบบไฮโซนิดหนึ่ง
((ไฮโซ ในที่นี้คือ อาหารดี ที่พักดี กว่าทุกครั้งที่มา ฮ่าๆ ))
แต่ก่อนเวลาเราคุยกับใครว่าไปอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือครอบครัวเรา พวกเค้ามักจะบอกว่า อินเดียสกปก มีแต่คนจน อาหารไม่สะอาด คราวนี้ไปดูความไฮโซของพวกคนในมุมใบอีกมุมหนึ่ง อาจจะไม่ได้หรูหราอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้ยากจนถึงขึ้นนั้น ประเทศเค้าก็เหมือนประเทศเรานะ เราคิดว่า มีคนรวยคนจน ปะปนกันไป 2 ครั้งแรกที่เรามาเราไปในที่ที่มันชาวบ้านมากๆ เราเลยคิดเหมืนคนอื่นๆพูดว่า มีแต่คนจน แต่ที่ไหนได้ คนสวยๆ นั่งรถโก้ๆ แต่งตัวเปรี้ยวๆ เพียบเลย อีกอย่างการตกแต่งออกแบบร้านอาหาร นี่สวยมากๆ (( บางที่สวยกว่าประเทศไทยอีกอ่ะ แหะๆ)) คราวนี้เราเลยขอความสะอาดๆ สวยๆ บ้าง แต่เราก็ยังคงยึดมั่นคอนเซปเดิมคือ ไม่ถูกโกงราคา และก็เดินๆๆๆๆ
ทริปนี้เราไปคืนวันศุกร์ กลับเที่ยงคืนของวันจันทร์ 2 วัน 2 คืน เช่นเดิม เรานั่งสายการบิน Bangkok Airways ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 21.15 น. ไปถึงที่มุมไบประมาณ เที่ยงคืนกว่าๆ ถึงเร็วประมาณ 15 นาที ดีว่าเราไม่มีกระเป๋าโหลด เลยเดินตัวปลิวออกมาเลย ตม.คนไม่เยอะเท่าไร แต่หน้าตาเจ้าหน้าที่ดุเอาเรื่อง เค้าบอกเราว่าวีซ่าครั้งที่ 2 แล้วนะ มาทำอะไรที่อินเดีย อืม .... มาเที่ยวค่ะ สักพักเสียงดัง โค้ม ตุ่ม !!!! เสียงแสตมป์วีซ่า พอเรียบร้อยเราก็เดินมาอย่างไว เพราะว่าเริ่มชำนาญทาง เรียกแท็กซี่ที่เดิม คราวนี้ดีมาก แท็กซี่เปิดมิสเตอร์ โดยที่ไมได้เรียกร้องค่าเดินทางแพง หรือว่าจำหน้าเราได้นะ ....
เราพักที่โรงแรม Suba Palace อยู่ใกล้ๆกับ Gateway of India เราชอบย่านนี้มาก เพราะของกินอร่อย แล้วมีสลัมด้วย แถมมีวิวทะเลพร้อมเรือ สวยๆ Suba Palace หน้าปากซอยหาง่ายมาก คือจะมีคนขายถั่ว18ล้านชนิด 555+ ห้องพักสะอาดแล้วไม่ต้องกลัวเรื่องของหาย เราออกไปข้างนอกลืมกล้องถ่ายรูป กะโทรศัพท์ไว้ กลับมาทุกอย่างเหมือนเดิม แถมพนักงานที่นี่น่ารักมาก ลิฟก็มีพนักงานนะจ๊ะ คอยบริการตลอด ........ นอนๆๆ เรานั่งรถจากสนามบินมาโรงแรม ประมาณ 40นาที ถึงโรงแรมประมาณเกือบตี2 ถึงก็อาบน้ำ นอนเลย...
วันนี้เลยตื่นสายเลย ตื่นตั้ง 11 โมง ตื่นปุ๊บก็หิวเลย เราเดินไปกินอาหารเช้าข้างนอก จำชื่อร้านไม่ได้ แต่รู้ว่าเจ๋งมาก
นั่งไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงละ ไปถึงก็มีของขายข้างทางเพียบ พวกของฝาก รูปปั้น กางเกง กระเป๋า หิน เดินไปเจอเก้าอี้หาม กะว่าจะลองสักหน่อย!!
....ใช้เวลาเดินขึ้นไปก็สักพักเลยอะ แล้วอากาศก็ร้อนมากๆ ... ถึงแล้ว โอ้ว ไม่ผิดหวังที่มา
Elephanta Caves หรือว่าถ้ำช้าง เป็นผนังถ้ำแกะสลักด้วยฝีมือคน เราเคยอ่านเจอนะ ถ้ำนี้มีประวัติ เค้าบอกว่า" ถ้ำช้างถูกสร้างขึ้นราว 1,500 ปีมาแล้ว โดยกษัตริย์ราชวงศ์ไตรกูฏกะ ผู้ปกครองดินแดนที่ราบสูงเดคคาน ตะวันตกของอินเดีย เพื่อการเฉลิมฉลองที่ได้รับชัยชนะจากการรบ และเพื่อเป็นเทวสถานอุทิศถวายต่อเทพที่ท่านทรงศรัทธา โดยงานประติมากรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในถ้ำก็คือ รูปสลักของพระพระตรีมูรติ ความสูงเกือบ 20 ฟุต ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ที่รวมเทพทั้ง 3 ไว้ในพระองค์คือ พระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุ อาจกล่าวได้ว่าพระตรีมูรติ มีพลังของเทพเจ้าทั้งสามในรูปเดียว เชื่อกันว่า หากขอพรพระตรีมูรติ จะมีความหมายแสดงถึงความอุดมสมบรูณ์ทั้งในชีวิต ความรัก และการงาน นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่ถ้ำช้างแห่งนี้จะได้สัมผัสกับความสวยงาม และเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังของศรัทธา" ขอบคุณสิ่งดีดีจากเวปหนึ่งค่ะ
ส่วนรูปปั้นแต่ละรูปก็มีความหมายเราอ่านก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ... อุ้ยย รู้สึกมึความรู้ยังไงไม่รู้ ฮ่าๆๆๆ ถัดมาด้าน ข้างตัวถ้ำมีโพรงใหญ่ใต้พื้น เป็นแอ่งน้ำธรรมชาติเขียวใส คนอินเดียถือว่า เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะอยู่ใต้ถ้ำ น้ำเป็นสีเขียวเลยแหละ เราเห็นนะแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา ด้านในถ้ำเย็นมาก ไม่อยากออกไปด้านนอกเลย... ที่ถ้ำช้างมีหลายจุดมากน่าจะ 3 จุด ใหญ่ๆนะ ระหว่างทางก็มีลิงเยอะมากๆ แม่ลิงกำลังกอดลูก
เอาล่ะเริ่มเหนื่อย เราก็หาร้านนั่งพัก ชิวๆ ลมเย็นๆ แล้วก็เดินลงไป นั่งรถไฟ เหมือนเดิม ลงเรือกลับไปที่ท่าเรือ เวลาตอนนี้ก็ประมาณ 5 โมงเย็นได้อะ อากาศกำลังดีเลย ถือโอกาสนั่งชมเรือ ทะเล แถวนี้ไปเลย เรานั่งมองคนก็สนุกดีนะ คือบ้านเราไม่มีแบบนี้อะ เรามองแต่ผู้ชายนะเพราะ กางเกง เสื้อผ้า ผม แบบว่า ฟิ้ววว ม๊ากๆๆๆ โอ๊ะ!!!!!!!!! มีหนุ่มอินเดียก็เข้ามาคุยด้วย แล้วสั่งลาด้วยคำว่า " คืนนี้อย่าลืมมาในฝันผมนะ " โว๊ะ... เขิลหรือขำดี ฮ่าๆๆๆๆๆ
พอนั่งเล่นสักปะเดียว เราก็กลับไปที่โรงแรม พักขาสักแปป คืนนี้เราจะไปดินเนอร์ที่ร้าน ชื่อว่า Khyber ร้านนี้อยู่ที่นี่ค่ะ 145, Ground Floor Mahatma Gandhi Road | Kala Ghoda, Fort Near Rhythm House, Mumbai (Bombay) 400020, India เอาที่อยู่ให้แท็กซี่ไปเลย ไม่ไกลมาก ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจากโรงแรมเราค่ะ
ถึงแล้วค่ะ บรรยากาศร้านสุดยอดค่ะ ร้านใหญ่มาก ผู้คนก็ดูดี ร้านตกแต่งสไตล์อินเดีย สวยมาก มีหลายโซน (( หรือเรียกว่ามีหนาวกับหนาวมาก)) ตอนแรกเราได้ที่นั่งอีกมุมหนึ่ง แต่ว่าแอร์เย็นเกินไป เราเลยขอย้าย
รสชาติอาหารถูกปากเรามากๆๆๆๆ เราสั่งไก่ย่าง, เนื้อแกะ, ใส่กรอก, Nan ชีสกับกระเทียม และก็เครื่องดื่มไป ขอบอกว่าอร่อยหมดเลย ก่อนที่อาการจะมาก็จะมี Nan มาเสริฟก่อน เป็น Nan ที่ใหญ่และปรุงรสด้วยพริก ต้นหอม หอมแดง และที่สำคํบอันใหญ่กว่าจานถึง 3 เท่า ฮ่าๆๆ รสชาติแซบมาก โอ้ว..ลืม ก่อนที่ Nan จะมาก็จะมีถ้วย 3 หลุม ซึ่งประกอบไปด้วย หัวหอมดอง ซอส และอะไรสักอย่าง ตามภาพเลยค่ะ จะบอกว่าแต่ก่อนเราไม่กินซอสและหัวหอมดองที่อินเดียเลย หรือแม้แต่ที่ประเทศไทยก็เหอะ เราว่าหัวหอมเหม็นมาก แต่!!!! คราวนี้เปลี่ยนไป เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน เราซัดหมดเลย มันอร่อยมากๆๆ เอา Nan ใส่หัวหอม กับซอส โอ้ว..พระเจ้า มันอร่อยมาก ในรูปนี้คือ อาหารเรียกน้ำย่อยค่ะ
เรานั่งรออาหารสัก 15 นาที อาหารก็มาค่ะ รสชาติมันแบบ ห่อไปกินที่บ้านได้ไหม...ยิ่งข้าวนะ เราชอบมาก ร่วนๆ เป็นเม็ด เรากินข้าวไปประมาณ 6 ทับพี เลยอะ กินกับไก่ ราดซอส ใส่หัวหอม เห้อออ...อยากกินอีก
เอาล่ะกินเสร็จแล้วเรากะว่าจะไปดื่มต่อที่ Four Seasons Hotel เราเรียกแท็กซี่ พี่เค้าคิด 250 รูปี อีกแล้วจ้า....เราลงเลย ไม่มีการต่ออะไรทั่งสิ้น แล้วเรียนอีกคัน พี่แกบอกราคาเดียวกันเลย 250รูปี เราบอกไปว่า มิตเตอร์!!! พร้อมทำหน้าตาดุๆ พี่แกทำหน้าไม่พอใจ แล้วกดมิตอร์แบบกระแทรก 555+ แขกหัวเสีย!! สรุปค่าเดินทางมา 25รูปี ป๊าดดดดด....... พอถึง Four Seasons เอิมมมม.. ผู้คนดูดีมาก เหมือนบ้านเราเวลามาที่แบบนี้ก็คงต้องใส่ชุดสวยๆ แต่งตัวดีดี แต่เราเใส่เสื้อยืดกะขาสั้น รองเท้าเน่าๆ คุณพี่การ์ด บอกว่า " Ummm ไม่ได้นะอินิจ้า ยูแต่งตัวสลัมมาก" ฮ่าๆๆๆ เราเลยเดินออกมาเลย พร้อมกับการอายนิดหน่อย เรานึกว่าเค้าไม่ถือ แป๋ว.. เปลี่ยนแผนๆ ก่อนออกมาพี่การ์ดบอกว่า มีร้านนึง ไม่ไกลจากนนี้ ใส่ชุดแบบคุณได้ แหมม ย่ำจังนะ
เราเลยเดินออกมาเรียกแท็กซี่ พร้อมกับราคา 300 รูปี ม่ะ ไม่ใช่ละ การ์ดบอกว่า 5 นาทีถึง เราเลยบอกคำเดิม มิตเตอร์!!!!!!!!! พร้อมกับจ่ายไป 25รูปี ตามราคาจริง แล้วก็ถึงแล้ว...โรงแรมนี้ชิวๆ เราจำชื่อโรงแรมไม่ได้ แต่ก็หรูไม่แพ้โรงแรม Four Seasons มีผู้หญิง 2 คนมอเราหัวจรดเท้าเลย แต่อย่าได้แคร์ 555+ เราไม่ใช่คนที่นี้ เราคนที่อื่น มองข้ามไป อย่านะๆๆ ฉันอยู่บ้านฉัน ฉันสวยนะย่ะ