บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป...
"แล้วที่รักหล่ะ? อะไรคือสามสิ่งที่ที่รักคิดว่าสำคัญในตัวของผู้หญิง"
คิดอยู่แล้วว่าคำถามนี้ต้องย้อนกลับเข้ามาหาตัวเอง ผมก็นั่งนิ่งคิดอยู่นาน ไม่ใช่เพราะไม่มีคำตอบที่พร้อมอยู่แล้วในหัว แต่อยากจะวางประโยคไว้ให้มันโยงเข้าด้วยกันเพื่อให้เข้าใจได้โดยง่าย
แม้ว่าทั้งชีวิตมีแฟนที่คบหากันอย่างจริงจังแค่สามคน (คนที่สามเปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาไปแล้ว) แต่ความสัมพันธ์สองครั้งก่อนหน้านี้ก็กินระยะเวลานานหลายปีพอสมควร คนแรกเป็นช่วงวัยในมหาวิทยาลัย ส่วนคนที่สองคาบเกี่ยวตอนเรียนจบแล้วออกมาทำงาน แม้ว่าตอนจบของเรื่องราวนั้นมันไม่ได้สวยงามดั่งละครหลังข่าว ไม่มีแฮปปี้เอนดิ้งให้ฟินจิกหมอน แต่อย่างน้อยผมต้องขอบใจพวกเขาที่ช่วยสอนให้ผมรู้ว่าคนแบบไหนที่ผมควรเลือกมาอยู่ข้างกายคู่ใจ
"ตัดเรื่องซื่อสัตย์ออกไปได้เลยนะ เพราะเรื่องนั้นสำคัญกับพี่อยู่แล้ว" ผมตอบเพื่อเริ่มต้นบทสนทนา
"โอเค" ภรรยาผมตอบกลับ
1.เชื่อและเคียงข้าง
ข้อนี้ถือว่าสำคัญมากสำหรับตัวผมเอง สาเหตุก็คงเพราะผมเป็นคนช่างฝัน เป็นเจ้าพ่อโปรเจค มักจะมีไอเดียและชอบออกเดินตามความฝันตัวเองอยู่เสมอ ในหัวมักจะโครงการนั้นนี้ที่ทำให้ตัวเองยุ่งอย่างไม่หยุดหย่อน ความเป็นตัวเองที่ไม่ชอบการหยุดอยู่กับที่ ทำให้คนที่มาอยู่ด้วยข้างๆก็อาจจะพลอยเหนื่อยไปด้วย เพราะจะโดนลากไปทำอะไรต่อมิอะไรทั้งๆที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้เต็มใจมากนัก แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นคนที่ทำอะไรสำเร็จไปซะทุกอย่าง แต่ถ้ามีใครสักคนที่เชื่อว่าผมจะทำมันได้ เชื่อในความสามารถอันน้อยนิดของผม อย่างน้อยกำลังใจตรงนั้นจะเป็นแรงผลักให้ไปข้างหน้าต่อไปได้ เหมือนคำพูดที่ว่า "Behind every great man, there is a great woman" นั้นจริงอย่างไม่น่าเชื่อ
"ร่วมทุกข์ ร่วมสุข" คือคำมั่นปฏิญาณที่ทุกคนต้องกล่าวสัญญากันตอนสวมแหวนแต่งงาน แต่จะมีสักกี่คู่กันแน่ที่ทำได้แบบนั้น เพราะส่วนมากตามธรรมชาติจะ "ร่วมสุขแต่ทุกข์กูขอไม่เกี่ยว" ซะมากกว่า นอกจากจะต้องคอยสนับสนุนในสิ่งที่ผมทำแล้ว ยังต้องมีความอึดทนที่ยืนเคียงข้างกัน ล้มก็ล้ม ลุกก็ลุก เจ็บก็เจ็บ หากันง่ายๆซะที่ไหนคนแบบนี้
2.ต้องเป็นแม่ที่ดีของลูก
แปลกดีที่ข้อนี้น่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติของคนเป็นแม่ แต่ผู้หญิงทุกคนก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมความเป็นแม่ ไม่ได้หมายความว่าเบ่งเด็กออกมาแล้วจะเป็นแม่ที่ดีได้ ผู้ชายเองก็เหมือนกัน แค่ปล่อยเสปิร์มไปผสมไข่แล้วเด็กเกิดออกมา ไม่ได้หมายความว่าเป็นพ่อที่ดีได้ (ไม่อยากเขียนต่อเดี๋ยวจะยาว ขอละไว้แค่นี้เรื่องพ่อแม่...)
ผู้หญิงที่เป็นแม่ที่ดีของลูกคือคนที่สามารถผสมผสานกลยุทธ์ไม่อ่อนไม้แข็งได้อย่างลงตัว การเลี้ยงลูกในปัจจุบันนั้นต่างออกไปจากเมื่อก่อน เริ่มแรกสมัยก่อนตอนที่ผมเป็นเด็ก พ่อแม่คือพ่อแม่ ส่วนมากแล้วใช้ศิลปะสารพัดไม้เรียวเป็นเครื่องมือการสั่งสอน เด็กส่วนมากก็เติบโตมาด้วยความหวาดกลัว เวลามีเรื่องอะไรก็จะคอยปิดบังไม่กล้าบอก ซึ่งเมื่อวัฒนธรรมครอบครัวแบบฝรั่งเข้ามาในประเทศไทยก็เหมือนจะตอบโจทย์ พ่อแม่กลายเป็นเพื่อนกับลูก ใกล้ชิดและแฮงค์เอาท์ด้วยกันประหนึ่งเกลอรัก แต่ทีนี้ลูกกลับไม่กลัวพ่อแม่อีก ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เคยเห็นพ่อแม่บางคนเหมือนเป็นทาสลูกตัวเอง "ลูกกกกก....อย่าทำอย่างงั้นสิ ไม่ดีนะ....ลูกกกกกกก" ขณะที่ลูกตัวเองกำลังแหกปากเอะอะโวยวายลงไปนอนเกลือกกลิ้งกับพื้น ตีนถีบๆๆๆๆๆๆ หน้าฟุบแล้วชี้ไปที่ขนมในตู้กระจกหน้าร้าน วีรกรรมพวกนี้มีกันทั่วไป อยากเห็นสดๆก็ไปเดินห้างครับ
เพราะฉะนั้นการการเป็นแม่ที่ดีมันเป็นศิลปะขั้นสูงสุดไปเสียแล้ว ต้องปรับอ่อนปรับแข็ง แล้วแต่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร จะรับมืออย่างไร เลี้ยงลูกอย่างไรให้ลูกเกรงแต่ไม่กลัว ไม่ได้ตบหัวผัวะทุกครั้งที่อารมณ์เสีย แต่ก็ไม่ใช่ไม่กล้าดุด่า หรือเห็นลูกตัวเองเป็นเทวดาไม่กล้าแม้เฆี่ยนตีเมื่อจำเป็น ผู้หญิงแบบนี้ก็ใช่หากันได้ง่ายๆ
3.คอยขัดแย้ง
ฟังดูแปลกๆ แถมยังขัดกันกับข้อแรก เพราะเมื่อสนับสนุนแล้วจะแย้งได้ยังไง อันนี้แหละครับลึกซึ้งเลย
เมื่อผมเป็นหนุ่มช่างฝัน แต่หลายต่อหลายครั้งมันเป็นความ "เพ้อ" ฝัน มากกว่าที่สามารถจะเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ข้างๆต้องมีความสามารถมากพอในการพูดเพื่อไม่ให้หักหาญน้ำใจ หรือทำลายความฝันนั้นโดยตรง แต่ "เบี่ยงเบน" ความสนใจ ใช้พลังงานไปในทางที่ถูกที่ควร เปรียบไปเหมือนโค้ชนักมวย รู้สกิลนักมวยของตนเอง มีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน ทำอะไรได้ไม่ได้ ช่วงยาวชกวงนอก ศูนย์ถ่วงดีหนักแน่นคลุกวงใน คอยท้วงติงตอนที่พลาด คอยขัดแย้งตอนที่เห็นว่ากำลังจะแพ้ ปรับกลยุทธ์ให้ในแต่ละพักยก และขณะที่นักมวยกำลังปล่อยหมัดแลก ก็เชียร์สุดใจ
และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง โค้ชที่ดีจะไม่ซ้ำเติมเมื่อแพ้ แต่จะปลอบให้มีกำลังใจเพื่อลุกขึ้นฝึกฝนต่อ จะไม่เยินยอเกินความจำเป็นเมื่อชนะ คอยดึงรั้งไม่ให้หลงระเริงกับชื่อเสียงและแสงสี สุดท้ายจะคอยพัฒนาให้เก่งขึ้นเพื่อศึกครั้งหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้น
อันนี้หายาก

ๆกันเลยทีเดียวครับ
อย่างที่บอกครับว่าขอบคุณความสัมพันธ์สองครั้งก่อนหน้านี้ ทำให้ผมรู้ว่าผู้หญิงแบบไหนที่ต้องการ การเสียใจหนักทำให้ผมแอบโทษ "ความรัก" ว่ามันไม่ใช่สิ่งสวยงามอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่แท้จริงแล้ว "ความรัก" นั้นไม่เคยทำให้ใครเสียใจ แต่เพราะเราพลาดที่ไปฝากความรักไว้กับคนที่ไม่ใช่ต่างหาก
ผมถือว่าตัวเองโชคดีที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่มีครบองค์ประกอบที่ผมเห็นว่าสำคัญ (แม้ว่าข้อสองจะเป็นการคาดคะเนเพราะเรายังไม่มีลูก แต่ผมเชื่อว่าเธอไม่กลัวที่จะหวายลูกเมื่อจำเป็น และจะสวมกอดเพื่อแสดงความรักความห่วงใย) และก็เหมือนกับผู้หญิง สิ่งที่สำคัญสำหรับผมก็คงจะต่างออกไปจากผู้ชายอีกหลายล้านชีวิต ทุกคนในโลกนั้นล้วนไม่สมบูรณ์ มีข้อแม้ในการเลือกคู่ครองแตกต่างกันไป แต่เมื่อใดที่ข้อแม้ของคนสองคนผสมกันอย่างลงตัว ตอนนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับคำว่า "ฝันที่เป็นจริง"
ถ้าเปรียบตัวผมเองเป็นบทเพลง จังหวะชีวิตเป็นตัวโน็ตไต่ขึ้นลงตามบันไดเสียง ผู้หญิงคนนี้ก็เปรียบเป็น "จังหวะหายใจ" ที่คอยเติมส่วนที่ขาดหาย เสริมช่องว่างให้บทเพลงนั้นสมบูรณ์ในแบบที่มันควรจะเป็น
บทสนทนาจบลง...มือซ้ายของผมจับมือของเธอไว้ มือขวาหมุนพวงมาลัยเข้าที่จอดรถ...เขาสองคนกลับมาถึงบ้านแล้ว
(ปล.ถ้าใครไม่ได้อ่านบทแรก ลองกลับไปดูอาทิตย์ก่อนนะครับ

)
#lifenote #โสภณศุภมั่งมี
สิ่งสำคัญสำหรับผู้ชาย (guy version)
"แล้วที่รักหล่ะ? อะไรคือสามสิ่งที่ที่รักคิดว่าสำคัญในตัวของผู้หญิง"
คิดอยู่แล้วว่าคำถามนี้ต้องย้อนกลับเข้ามาหาตัวเอง ผมก็นั่งนิ่งคิดอยู่นาน ไม่ใช่เพราะไม่มีคำตอบที่พร้อมอยู่แล้วในหัว แต่อยากจะวางประโยคไว้ให้มันโยงเข้าด้วยกันเพื่อให้เข้าใจได้โดยง่าย
แม้ว่าทั้งชีวิตมีแฟนที่คบหากันอย่างจริงจังแค่สามคน (คนที่สามเปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาไปแล้ว) แต่ความสัมพันธ์สองครั้งก่อนหน้านี้ก็กินระยะเวลานานหลายปีพอสมควร คนแรกเป็นช่วงวัยในมหาวิทยาลัย ส่วนคนที่สองคาบเกี่ยวตอนเรียนจบแล้วออกมาทำงาน แม้ว่าตอนจบของเรื่องราวนั้นมันไม่ได้สวยงามดั่งละครหลังข่าว ไม่มีแฮปปี้เอนดิ้งให้ฟินจิกหมอน แต่อย่างน้อยผมต้องขอบใจพวกเขาที่ช่วยสอนให้ผมรู้ว่าคนแบบไหนที่ผมควรเลือกมาอยู่ข้างกายคู่ใจ
"ตัดเรื่องซื่อสัตย์ออกไปได้เลยนะ เพราะเรื่องนั้นสำคัญกับพี่อยู่แล้ว" ผมตอบเพื่อเริ่มต้นบทสนทนา
"โอเค" ภรรยาผมตอบกลับ
1.เชื่อและเคียงข้าง
ข้อนี้ถือว่าสำคัญมากสำหรับตัวผมเอง สาเหตุก็คงเพราะผมเป็นคนช่างฝัน เป็นเจ้าพ่อโปรเจค มักจะมีไอเดียและชอบออกเดินตามความฝันตัวเองอยู่เสมอ ในหัวมักจะโครงการนั้นนี้ที่ทำให้ตัวเองยุ่งอย่างไม่หยุดหย่อน ความเป็นตัวเองที่ไม่ชอบการหยุดอยู่กับที่ ทำให้คนที่มาอยู่ด้วยข้างๆก็อาจจะพลอยเหนื่อยไปด้วย เพราะจะโดนลากไปทำอะไรต่อมิอะไรทั้งๆที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้เต็มใจมากนัก แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นคนที่ทำอะไรสำเร็จไปซะทุกอย่าง แต่ถ้ามีใครสักคนที่เชื่อว่าผมจะทำมันได้ เชื่อในความสามารถอันน้อยนิดของผม อย่างน้อยกำลังใจตรงนั้นจะเป็นแรงผลักให้ไปข้างหน้าต่อไปได้ เหมือนคำพูดที่ว่า "Behind every great man, there is a great woman" นั้นจริงอย่างไม่น่าเชื่อ
"ร่วมทุกข์ ร่วมสุข" คือคำมั่นปฏิญาณที่ทุกคนต้องกล่าวสัญญากันตอนสวมแหวนแต่งงาน แต่จะมีสักกี่คู่กันแน่ที่ทำได้แบบนั้น เพราะส่วนมากตามธรรมชาติจะ "ร่วมสุขแต่ทุกข์กูขอไม่เกี่ยว" ซะมากกว่า นอกจากจะต้องคอยสนับสนุนในสิ่งที่ผมทำแล้ว ยังต้องมีความอึดทนที่ยืนเคียงข้างกัน ล้มก็ล้ม ลุกก็ลุก เจ็บก็เจ็บ หากันง่ายๆซะที่ไหนคนแบบนี้
2.ต้องเป็นแม่ที่ดีของลูก
แปลกดีที่ข้อนี้น่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติของคนเป็นแม่ แต่ผู้หญิงทุกคนก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมความเป็นแม่ ไม่ได้หมายความว่าเบ่งเด็กออกมาแล้วจะเป็นแม่ที่ดีได้ ผู้ชายเองก็เหมือนกัน แค่ปล่อยเสปิร์มไปผสมไข่แล้วเด็กเกิดออกมา ไม่ได้หมายความว่าเป็นพ่อที่ดีได้ (ไม่อยากเขียนต่อเดี๋ยวจะยาว ขอละไว้แค่นี้เรื่องพ่อแม่...)
ผู้หญิงที่เป็นแม่ที่ดีของลูกคือคนที่สามารถผสมผสานกลยุทธ์ไม่อ่อนไม้แข็งได้อย่างลงตัว การเลี้ยงลูกในปัจจุบันนั้นต่างออกไปจากเมื่อก่อน เริ่มแรกสมัยก่อนตอนที่ผมเป็นเด็ก พ่อแม่คือพ่อแม่ ส่วนมากแล้วใช้ศิลปะสารพัดไม้เรียวเป็นเครื่องมือการสั่งสอน เด็กส่วนมากก็เติบโตมาด้วยความหวาดกลัว เวลามีเรื่องอะไรก็จะคอยปิดบังไม่กล้าบอก ซึ่งเมื่อวัฒนธรรมครอบครัวแบบฝรั่งเข้ามาในประเทศไทยก็เหมือนจะตอบโจทย์ พ่อแม่กลายเป็นเพื่อนกับลูก ใกล้ชิดและแฮงค์เอาท์ด้วยกันประหนึ่งเกลอรัก แต่ทีนี้ลูกกลับไม่กลัวพ่อแม่อีก ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เคยเห็นพ่อแม่บางคนเหมือนเป็นทาสลูกตัวเอง "ลูกกกกก....อย่าทำอย่างงั้นสิ ไม่ดีนะ....ลูกกกกกกก" ขณะที่ลูกตัวเองกำลังแหกปากเอะอะโวยวายลงไปนอนเกลือกกลิ้งกับพื้น ตีนถีบๆๆๆๆๆๆ หน้าฟุบแล้วชี้ไปที่ขนมในตู้กระจกหน้าร้าน วีรกรรมพวกนี้มีกันทั่วไป อยากเห็นสดๆก็ไปเดินห้างครับ
เพราะฉะนั้นการการเป็นแม่ที่ดีมันเป็นศิลปะขั้นสูงสุดไปเสียแล้ว ต้องปรับอ่อนปรับแข็ง แล้วแต่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร จะรับมืออย่างไร เลี้ยงลูกอย่างไรให้ลูกเกรงแต่ไม่กลัว ไม่ได้ตบหัวผัวะทุกครั้งที่อารมณ์เสีย แต่ก็ไม่ใช่ไม่กล้าดุด่า หรือเห็นลูกตัวเองเป็นเทวดาไม่กล้าแม้เฆี่ยนตีเมื่อจำเป็น ผู้หญิงแบบนี้ก็ใช่หากันได้ง่ายๆ
3.คอยขัดแย้ง
ฟังดูแปลกๆ แถมยังขัดกันกับข้อแรก เพราะเมื่อสนับสนุนแล้วจะแย้งได้ยังไง อันนี้แหละครับลึกซึ้งเลย
เมื่อผมเป็นหนุ่มช่างฝัน แต่หลายต่อหลายครั้งมันเป็นความ "เพ้อ" ฝัน มากกว่าที่สามารถจะเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ข้างๆต้องมีความสามารถมากพอในการพูดเพื่อไม่ให้หักหาญน้ำใจ หรือทำลายความฝันนั้นโดยตรง แต่ "เบี่ยงเบน" ความสนใจ ใช้พลังงานไปในทางที่ถูกที่ควร เปรียบไปเหมือนโค้ชนักมวย รู้สกิลนักมวยของตนเอง มีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน ทำอะไรได้ไม่ได้ ช่วงยาวชกวงนอก ศูนย์ถ่วงดีหนักแน่นคลุกวงใน คอยท้วงติงตอนที่พลาด คอยขัดแย้งตอนที่เห็นว่ากำลังจะแพ้ ปรับกลยุทธ์ให้ในแต่ละพักยก และขณะที่นักมวยกำลังปล่อยหมัดแลก ก็เชียร์สุดใจ
และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง โค้ชที่ดีจะไม่ซ้ำเติมเมื่อแพ้ แต่จะปลอบให้มีกำลังใจเพื่อลุกขึ้นฝึกฝนต่อ จะไม่เยินยอเกินความจำเป็นเมื่อชนะ คอยดึงรั้งไม่ให้หลงระเริงกับชื่อเสียงและแสงสี สุดท้ายจะคอยพัฒนาให้เก่งขึ้นเพื่อศึกครั้งหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้น
อันนี้หายาก
อย่างที่บอกครับว่าขอบคุณความสัมพันธ์สองครั้งก่อนหน้านี้ ทำให้ผมรู้ว่าผู้หญิงแบบไหนที่ต้องการ การเสียใจหนักทำให้ผมแอบโทษ "ความรัก" ว่ามันไม่ใช่สิ่งสวยงามอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่แท้จริงแล้ว "ความรัก" นั้นไม่เคยทำให้ใครเสียใจ แต่เพราะเราพลาดที่ไปฝากความรักไว้กับคนที่ไม่ใช่ต่างหาก
ผมถือว่าตัวเองโชคดีที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่มีครบองค์ประกอบที่ผมเห็นว่าสำคัญ (แม้ว่าข้อสองจะเป็นการคาดคะเนเพราะเรายังไม่มีลูก แต่ผมเชื่อว่าเธอไม่กลัวที่จะหวายลูกเมื่อจำเป็น และจะสวมกอดเพื่อแสดงความรักความห่วงใย) และก็เหมือนกับผู้หญิง สิ่งที่สำคัญสำหรับผมก็คงจะต่างออกไปจากผู้ชายอีกหลายล้านชีวิต ทุกคนในโลกนั้นล้วนไม่สมบูรณ์ มีข้อแม้ในการเลือกคู่ครองแตกต่างกันไป แต่เมื่อใดที่ข้อแม้ของคนสองคนผสมกันอย่างลงตัว ตอนนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับคำว่า "ฝันที่เป็นจริง"
ถ้าเปรียบตัวผมเองเป็นบทเพลง จังหวะชีวิตเป็นตัวโน็ตไต่ขึ้นลงตามบันไดเสียง ผู้หญิงคนนี้ก็เปรียบเป็น "จังหวะหายใจ" ที่คอยเติมส่วนที่ขาดหาย เสริมช่องว่างให้บทเพลงนั้นสมบูรณ์ในแบบที่มันควรจะเป็น
บทสนทนาจบลง...มือซ้ายของผมจับมือของเธอไว้ มือขวาหมุนพวงมาลัยเข้าที่จอดรถ...เขาสองคนกลับมาถึงบ้านแล้ว
(ปล.ถ้าใครไม่ได้อ่านบทแรก ลองกลับไปดูอาทิตย์ก่อนนะครับ
#lifenote #โสภณศุภมั่งมี