คุณรู้สึกไหมว่าตอนนี้เศรษฐกิจแย่จริงๆ

ผมเองก็เป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ แต่มีรายได้จากอสังหาฯ บ้านให้เช่า คอนโดให้เช่า ด้วย

รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคนไม่จับจ่ายใช้สอย ผมอาศัยอยู่หมู่บ้านสัมมากร ตรงสุขภิบาล 3

ต้นเดือนที่ผ่านมาแปลกใจมากๆครับ คือ รถโล่งมากกกกกกกก ปกติต้นเดือนเสาร์อาทิตย์นี่ คนพลุกพล่านอยู่แล้ว

ที่หมู่บ้านจะมีตลาดนัดทุกเสาร์อาทิตย์ ช่วงนี้เห็นได้ชัดเลยว่าคนมาเดินน้อยลง แถมคนขายเองบางเจ้าก้อเริ่มไม่มาขาย

เพราะที่ตลาดนัดขึ้นค่าเช่าแผง เจ้าที่ยังอยู่ก็ขึ้นราคาเพราะต้นทุนเค้าสูงขึ้น มันก็วนลูปเลยครับ คนยิ่งไม่ซื้อเข้าไปใหญ่

อสังหาฯ ที่ให้เช่าก็เริ่มหาคนได้ยากขึ้น มีความรู้สึกว่ามันฝืดเคืองไปหมดเลย

คิดว่าเป็นเพราะอะไรครับ?


ส่วนตัวคิดว่า คนตื่นตัวกับเรื่องภาษีที่ดินสิ่งปลูกสร้าง คือคนเริ่มเห็นว่าชั้นจะต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแน่ๆ เก็บเงินไว้ก่อนดีกว่า

อีกอย่างการเมืองเราก็ยังไม่นิ่ง นักลงทุนก็ยังไม่กล้าเสี่ยงมาก ไม่มีการลงทุนเพิ่มก็ไม่มีการจ้างงานเพิ่ม กำลังซื้อรากหญ้าก็น้อยลง

แล้วตัวคุณรู้สึกไหมครับว่าเศรษฐกิจมันฝืดเคืองจริงๆ?

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 52
GDP Growth 2014 (%)

Thailand 1.0
Singapore 3.0
Indonesia 5.2
Vietnam 5.5
Malaysia 5.9
Philippines 6.2
Cambodia 7.2
Lao P.D.R. 7.4
Myanmar 8.5

จะบอกว่าเศรษฐกิจโลกแย่ เราเลยแย่ แต่พอดูเพื่อนบ้านเรา ดีกันหมด ยกเว้นเราเนี่ยแหละ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 51
เศรษฐกิจไม่มีทางดีได้หรอกครับ ตราบใดที่ประเทศเรายังปกครองด้วยรัฐบาลทหาร

จริงก็ไม่อยากเข้าการเมืองนะ แต่มันคือเรื่องจริงที่ทุกคนต้องยอมรับ

สิ่งที่เราโดนกีดกันจากการมีรัฐบาลทหาร คือ

1. US และกลุ่ม EU ไม่ให้การยอมรับ ทำให้ภาคการส่งออกของเรากระทบกระเทือนอย่างมาก

2. ประเทศเรายังอยู่ในการประกาศกฎอัยการศึก บ.ประกัน ของหลายๆประเทศไม่รับรอง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวหดหาย ภาคการท่องเที่ยวก็กระทบกระเทือนหนัก

ในขณะที่ประเทศไทยเรานี้ รายได้หลักมาจากการส่งออกและท่องเที่ยวเสียด้วยสิ

ทุกวันนี้ผมก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน ใช้เงินอย่างประหยัด และสร้างหนี้ให้น้อยที่สุด
ความคิดเห็นที่ 4
ประเทศไหนดีบ้างค่ะ
กลุ่มส่งออก ก็ถูกตัดสิทธิทางภาษีไปแล้ว
แถมประเทศปลายทางเราก็เน่า
ยุโรปยิ่งเน่า ผวากรีซเบี้ยวหนี้กันอีก
ทั้งปัญหาเน่าจากภาระหนี้ครัวเรือน
ดึงเอาแรงบริโภคออกมาใช้ล่วงหน้า
ดาวน์น้อย ผ่อนนานนนน ก็ฝืดนานตามมา
คนก็ไม่กล้าจับจ่าย ต้องระวังตัวมากขึ้น
วงจรลูกโซ่กระทบกันหมด
แค่พยุงตัวให้ลอยได้ ไม่เพิ่มภาระหนี้ดีกว่า
ความคิดเห็นที่ 69
1. การเมือง พอเป็นรัฐบาลทหาร ประเทศไทยก็โดนกดดันจากฟากตะวันตกด้วยการลดการสั่งซื้อสินค้าเกษตร เมื่อรวมกับผลจากการตัดสิทธิทางภาษี แม้จะได้รับแรงหนุนจากจีนแต่จีนก็อุ้มเรื่องสินค้าเกษตรของไทยได้ไม่มากพอ

2. GDP ประเทศไทยกลวง GDP บ้านเรากลายเป็น GNP ของประเทศเจ้าของเทคโนโลยีเช่นญี่ปุ่น ไทยเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิต ได้ผลประโยชน์จากค่าจ้าง ภาษี มาเป็น GNP ประเทศไทยเองแค่ประมาณ 15% เท่านั้นเอง หนำซ้ำยังเอางบประมาณจากภาษีไปออกนโยบายหนุนยอดขายให้เขาซะอีก เราเลยแทบไม่ได้อะไรเลย ทั้งๆที่เราต้องรับภาระด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่ถูกทำลายจากอุตสาหกรรม

3. จริงๆแล้วประเทศไทยรวยมาก แต่เป็นคนรวยที่ไม่ปิดประตูบ้าน ใครอยากได้อะไรในบ้านเรา เราก็ให้เค้าง่ายๆในราคาถูกๆ ผ่านระบบสัมปทานที่มีผู้ได้ประโยชน์ไม่กี่ราย พอถึงเวลาที่จะต้องใช้ทรัพยากรของเรา เรากลับไม่มีใช้

4. ขาดการเพิ่มมูลค่าทรัพยากรของเราเอง 30 ปีก่อนขายยางยังไง วันนี้ก็ขายอย่างนั้น เมื่อ 80% ของยางต้องส่งออก เมื่อโดนคู่ค้าเราไม่ซื้อ ราคาก็ดิ่งเหวอย่างที่เห็น

5. ยึดขยะเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ทุนสำรองของประเทศไทยเป็นเงินตราต่างประเทศ แต่ประเทศเจ้าของเงินต่างใช้นโยบายบัดsob ด้วยการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินปั๊มเงินเข้าสู่ระบบ นั่นทำให้ค่าของทุนสำรองระหว่างประเทศเราลดลงในอัตราเร่ง ยิ่งการค้าขายของเราไปรับสกุลเงินขยะพวกนี้เข้ามาในระบบ เงินเฟ้อก็พุ่งขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทรัพยากรในประเทศก็ถูกผลาญไปเพื่อตอบสนองเงินทุนพวกนี้ เมื่อของแพงขึ้นก็จะพากันดึงราคาขึ้นทั้งแผง ซึ่งถ้าระบบภายในประเทศเราดี เงินก็กระจายอย่างทั่วถึง แต่ๆๆๆๆๆ

6. multiplier ในประเทศต่ำมาก คำว่าต่ำคือจำนวนรอบของเงินที่หมุนอยู่ในระบบก่อนที่จะถูกดูดซับเข้าทางสถาบันการเงินหรือถูกจัดเก็บเป็นภาษีเงินได้ ตัวนี้ถือว่าสำคัญมากๆ เพราะมีผลกระทบกับประชาชนและผู้ประกอบการที่สัมผัสได้ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าเงินจะเข้าประเทศมากมายขนาดไหนหากการหมุนของเงินในระบบต่ำ ทุกคนก็ต้องบ่นเศรษฐกิจแย่แบบนี้แหละ ของประเทศไทยมีการหมุนแค่ประมาณ 3-5 รอบ เงินก็จะเข้าไปที่บริษัทใหญ่หมด เมื่อเงินเข้าสู่บริษัทใหญ่ เขาจะเอาเงินมาซื้อของร้านค้าริมถนนไหม ทุกท่านทราบอยู่แล้ว ในขณะที่ญี่ปุ่นมี multiplier มากกว่า 15 รอบ เกาหลีใต้ประมาณ 10-12 รอบ ซึ่ง multiplier นี้ยิ่งสูงก็จะทำให้ GDP ในส่วนของ Private Consumption ขยายตัวมากขึ้นด้วย

7. ช่องทางการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศถูกผูกขาด การบริหารสินค้าและทรัพยากรในประเทศถูกบิดเบือนกลไกอย่างรุนแรง ทำให้ ปชช ต้องซื้อของแพงกว่าที่ควรเป็น ซ้ำเติมปัญหาของประชาชนหนักเข้าไปอีก ใครจะอวยบริษัทใหญ่เหล่านี้ก็เชิญครับ แต่คิดเผื่อไว้ด้วย AEC เปิดเป็นตลาดเดียวทุนเดียวขึ้นมา บริษัทพวกนี้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะเกิดอะไรขึ้น เทมาเส็คกองทุนเดียวขนาด 7.5ล้านล้านบาทนะครับ ทุบตูมเดียวทุกหัวถนนเป็นของสิงค์โปร์หมด นี่คือสิ่งที่คนฮ่องกงเผชิญอยู่และไทยก็กำลังดำเนินรอยตามไปติดๆ
ความคิดเห็นที่ 14
ฟังจากปากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเอาเองละกัน จะได้ไม่หลอกตัวเองกันไปวันๆ

http://www.thairath.co.th/content/486767

“ประสาร” ระบุ ศก.ไทยปีนี้เผชิญความท้าทาย หลังปีที่แล้วเจอปัญหารุมเร้าทั้งนอก-ใน จนเป็นคนป่วยเจอ 3 โรค “ไข้หวัดใหญ่-เข่าเสื่อม-ขาดความมั่นใจ” ธปท.ต้องใช้เครื่องมือนโยบายการเงิน เข้ามารักษา ชื่นชม รบ.ตั้งใจสร้างเชื่อมั่น เชื่อจะทำให้ศก.ฟื้นตัวไม่ช้า...

เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาเรื่อง ความท้าทายของนโยบายการเงิน กับการก้าวข้ามพัฒนาการเศรษฐกิจไทย ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2558  ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ ซึ่งมีตอนหนึ่งระบุว่า ปี 2558 เป็นปีที่ไทยได้พบกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ที่เป็นความหวังให้ไทยเดินหน้า และก้าวข้ามอุปสรรคที่เราเผชิญอยู่ได้ โดยปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับเศรษฐกิจไทยปีหนึ่ง โดยตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่แท้จริง ที่สภาพัฒน์ได้ประกาศไปในเดือนที่ผ่านมา ชี้ว่าเศรษฐกิจเติบโตเพียงร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน

“เรียกได้ว่าแทบจะไม่เติบโตเลย เนื่องจากไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เข้ามารุมเร้าทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีสภาพเหมือน “คนป่วย” ที่มีอาการซ้ำซ้อนในหลายด้าน ทั้งการบริโภค การลงทุนและการส่งออกที่อ่อนแรง ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายภาครัฐที่ถูกคาดหวังให้เป็นพระเอกในช่วงหลังจากมีรัฐบาลใหม่ ยังไม่สามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจให้กลับมาเป็นปกติได้ สาเหตุหนึ่งอาจมาจากรัฐบาลเองมีบทบาทต่อประเทศหลายด้านพร้อมกัน ทั้งการปฏิรูปประเทศและการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกระบวนการปฏิรูปฯ ส่วนหนึ่งไปชะลอความรวดเร็วในการใช้จ่ายภาครัฐ”

พร้อมระบุ เศรษฐกิจไทยป่วยจากการเผชิญกับโรค 3 ชนิด โดยโรคแรก คือ ไข้หวัดใหญ่ จากเศรษฐกิจไทยที่ติดโรคมาจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ ซึ่งไทยย่อมได้รับผลกระทบอย่างปฏิเสธไม่ได้ อีกทั้งจีน พี่ใหญ่ของภูมิภาคกลับมีการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้มาก นอกจากนี้ ไทยยังสูญเสียสิทธิทางศุลกากร (GSP) กับประเทศคู่ค้าหลักของเราตั้งแต่ต้นปี 2558 ทำให้คู่แข่งที่ยังคงได้ GSP อย่างกลุ่ม CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ และเวียดนาม) ย่อมได้เปรียบมากกว่า โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้แรงงานเป็นปัจจัยการผลิตหลัก ดังนั้น ความหวังที่จะดันให้การส่งออกของไทยก้าวขึ้นมาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้เศรษฐกิจอาจมีไม่มากนัก

ส่วนโรคที่สอง คือ โรคข้อเข่าเสื่อม จนทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าไปด้วยความลำบากหรือแทบไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ จากปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย ซึ่งได้แก่การขาดแคลนการลงทุนหรือพัฒนาเทคโนโลยีให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ อาทิ มาเลเซีย เกาหลี ขณะเดียวกัน แรงงานก็มีไม่เพียงพอต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมทั้งในแง่จำนวนและคุณภาพ ซึ่งไทยจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และไม่มีแรงงานทักษะเพียงพอสำหรับการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงได้ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อเข่าที่พยุงเศรษฐกิจได้มานาน ได้เสื่อมสมรรถภาพลงจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง และทำให้ไทยติด “กับดักรายได้ปานกลาง”

โรคสุดท้าย คือ โรคขาดความมั่นใจ ที่ซ้ำเติมทำให้โรคข้อเข่าเสื่อมไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง เพราะผู้ประกอบการไม่มั่นใจว่า 1. เปลี่ยนเข่าแล้วจะเดินได้เหมือนเดิม หรือจะยิ่งทำให้อาการแย่ลง 2. วิธีการรักษาจะถูกกับโรคหรือเปล่า และ 3.หมอหรือภาครัฐที่ดูแลเราจะตั้งใจรักษาเราแค่ไหน เศรษฐกิจไทยจึงเหมือนคนไข้ที่มุ่งพยุงสังขารตัวเองไปเรื่อยๆ จึงไม่แปลกที่จะเห็นการบริโภคและลงทุนของภาคเอกชนอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ ภายใต้โรคที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยทั้ง 3 ชนิดนี้ บทบาทที่ ธปท. สามารถเข้ามาช่วยรักษาได้ คือการใช้เครื่องมือนโยบายการเงิน ซึ่งเปรียบเสมือนการจ่าย “ยารักษาโรค” สู่ระบบเศรษฐกิจ เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดูแลความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และควบคุมเงินทุนไหลเข้าไหลออก ซึ่งช่วยดูแลเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพทางการเงินให้เกิดบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่เหมาะสมและเอื้อต่อการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน แต่เป็นการให้ยาเพื่อบรรเทาอาการของโรคทั้ง 3 นี้ และสามารถช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับเศรษฐกิจและเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ได้บางส่วนเท่านั้น

“การจะรักษาที่ต้นเหตุของโรคนั้น จำเป็นต้องอาศัยบทบาทภาครัฐในการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังเพื่อเรียกความเชื่อมั่นในส่วนที่เหลือกลับมา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจในการปรับตัว เพื่อพยายามรักษาข้อเข่าเสื่อมด้วยตัวเองอีกแรงหนึ่งในเรื่องนี้ รัฐบาลปัจจุบันแสดงความตั้งใจที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน จึงเป็นนิมิตหมายอันดีต่อเศรษฐกิจไทย และผมเชื่อว่า ไม่มีปัญหาไหนจะอยู่กับเราถาวร เมื่อวันหนึ่งปัญหาคลี่คลาย ผมก็เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในที่สุด”
ความคิดเห็นที่ 10
เพิ่งกลับมาจากประชุมที่ มาเล สิงค์โปร อินโด

แต่ละประเทศ ก็บอกว่าแย่เหมือนกัน  โดยเฉพาะมาเล

ส่งออกแย่มาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่