หลังจากเรื่อง A/Z ฉายมานาน มันไม่ใช่แค่เรื่องสงครามชาวโลก-ดาวอังคารอีกต่อไป ไฟสงครามในเรื่องยังลุกลามไปถึงกองอวยอินาโฮะ-สเลน ทั่วทั้งพันทิบและบอร์ดตุรกี เรียกได้ว่าถ้าเมะจบคน(อาจ)ไม่จบ
แต่ความขัดแย้งดังกล่าว มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มันสามารถอธิบายได้เหมือนกับแฟนแมนยู ริเวอร์พูลนั่นแหละ หรือเปรียบกับความขัดแย้งใหญ่ ๆ อย่างสงครามโลก นาซีฆ่าล้างชาวยิว การเหยียดสีผิว ก็ตาม
โดยผมจะอธิบายแบบคร่าว ๆ พอเข้าใจ(ตามที่ผมเข้าใจด้วย) ในกระทู้นี้ โดยคิดว่า "มันจะดีกว่าไหม ถ้าเรารู้สึกอินไปกับเนื้อเรื่องด้วย แต่มีมุมมองที่กว้างยิ่งกว่า โดยแค่ตัดอคติทิ้งไปหน่อยนึง บางทีเราอาจจะได้รับความสนุกมากขึ้นก็ได้"
เริ่มกันที่ ความหมายของสงครามก่อน สงครามก็คือความขัดแย้งระดับกลุ่ม สองกลุ่มขึ้นไป ถ้าแค่คนสองคนตีกัน เราเรียกแค่ว่าการทะเลาะ การทะเลาะเองมีแนวโน้มที่จะจบลงภายในระยะเวลาสั้น และไม่ค่อยรุนแรง เพราะถ้ารุนแรง คนกระทำนั้นจะโดยบทลงโทษทางสังคมทันที อาจจะโดยกฎหมายหรือศาลเตี้ยก็ได้
แต่ในสงครามแล้ว มันจะมีกฏไหมละ เพราะต่างฝ่ายต่างทำตัวเป็นกฎกันเองอยู่แล้ว
ถ้าคิดว่าจุดเริ่มของสงครามคือการรวมกลุ่ม ก็แก้โดยการแยกกันอยู่ซะสิ นั่นก็ไม่ได้หรอกครับ เหตุผลง่าย ๆ คือ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมครับ การทำตัวให้เป็นประโยชน์และถูกยอมรับจากสังคม นั่นเป็นกลไกการเอาชีวิตรอดที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกคนมานาน การฝ่าฝืน ต่อต้านสังคมจึงเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป จึงต้องหา"พวก"ที่มีคิดแบบเดียวกัน มาร่วมสู้กันด้วย เพราะงี้เองมนุษย์จึงขาดการรวมกลุ่มไปไม่ได้เลย
ผมลืมบอกปัจจัยแรกแห่งความขัดแย้งไป นั่นคือ"ความแตกต่าง"ทั้งความคิด จริยธรรมและวัฒนธรรม แต่ผมขอข้ามเลยแล้วกัน เพราะถ้าไม่ต่าง คนเราคงไม่แบ่งกลุ่มกันหรอกจริงไหม
ปัจจัยต่อมาครับ โดยปัจจัยนี้ผมเองก็ไม่รู้จะเรียบเรียงยังไง เพราะคิดว่ามันมีส่วนเชื่อมถึงกันแต่ก็ไม่เป็นสิ่งเดียวกันเลย
นั่นคือ "ความคิดเชื่อมโยง ความอคติ และความคาดหวัง"
กล่าวง่าย ๆ ความคิดเชื่อมโยงเป็นกลไกการเรียนรู้ของสมอง เช่น เมื่อตอนเด็ก เราเล่นมีด แล้วโดนมีดบาด เราจะเชื่อมโยงความเจ็บนั้นกับมีด ทำให้เราเรียนรู้ว่า อย่าไปเล่นกับคมมีดเด็ดขาด
หรือ เราเห็นร้านอาหารที่มีคนรอคิวเยอะแยะมากมาย เราก็คิดเชื่อมโยงไปว่า ร้านอาหารนั้นต้องทำอาหารอร่อยแน่ ๆ คนถึงยอมเสียเวลารอคิวกัน จนเกิดเป็นความคาดหวังขึ้นมา
แต่ความคาดหวังก็เกิดได้ทั้งผลดีผลร้าย ขึ้นกับมุมมองหรือผลลัพธ์ได้ด้วย อ่านแล้วงงใช่มะ
ให้ผมยกตัวอย่าง เช่น ผมไปที่ร้านกาแฟโดยเจ้าของร้านแนะนำกาแฟมาสองแก้ว แก้วนึงเป็นกาแฟธรรมด๊าธรรมดา กับอีกแก้วคือกาแฟขี้ชะมด สมมติว่าผมไม่รู้จักกาแฟขี้ชะมดมาก่อนนะ คุณคงเดาออกว่าผมคงเลือกกาแฟธรรมดาแน่ เพราะผมคงไม่อยากกินอะไรที่ฟังชื่อแล้ว เหมือนกับว่ามันน่าจะออกมาจากรูก้นของสัตว์ชนิดนึงแน่นอน
แล้วลองคิดถึงผลลัพธ์อีกแบบ ถ้าเจ้าของร้าน ให้ผมชิมกาแฟสองแก้ว โดยไม่บอกว่ามันคืออะไร แล้วบังเอิญผมชอบกาแฟแก้วที่สอง(แก้วที่ไม่ใช่กาแฟธรรมดา) ผมบอกเจ้าของร้านไป แล้วเจ้าของร้านเฉลยว่า นั่นคือกาแฟขี้ชะมด
ความแปลกใจหลังจากนั้น อาจจะทำให้ผมสั่งแต่กาแฟขี้ชะมดก็เป็นได้
เห็นความต่างกันหรือยังครับ การนำเสนอทั้งสองแบบ เกิดผลลัพธ์ต่างกันได้อย่างสิ้นเชิง หนึ่งในเหตุผลนั่นเพราะสิ่งที่เรียกว่า ความอคติ โดยเกิดมาจากความคิดเชื่อมโยง (ขี้ชะมด เชื่อมโยงกับขี้ ของเสีย) ทำให้ความคาดหวังผมดิ่งเหวทันที
อาจมีคนสงสัย แล้วที่ผมพล่ามมาเกี่ยวอะไรกับสงครามล่ะ
ยกตัวอย่าง(อีกแล้ว) ในเรื่องA/Z นั่นแหละ ตอนองค์หญิงโดนมิสไซล์สังหาร ชาวดาวอังคารกริ้วโกรธมาก แต่ทำไมแทนที่จะตามสืบอย่างสันติวิธี แล้วลงทัณฑ์แค่คนที่ฆ่าองค์หญิง กลับเอายานลงจอดที่เมืองตูมตามคนตายเป็นแสน
เหตุผลที่อธิบายได้คือ
๑ – ในเรื่องมีการแบ่งพรรคพวกกันอยู่แล้ว คือ ชาวโลก ชาวดาวอังคาร
๒ – ความมีอคติ โดยตั้งแต่แรกแล้ว ชาวดาวอังคาร(ส่วนใหญ่)ดูหมิ่นชาวโลกมาก เหมือนสิ่งมีชีวิตต่ำต้อย
๓ – ความคิดเชื่อมโยง(แบบผิด ๆ) เรียกง่าย ๆ ว่าเหมารวม คนที่ฆ่าองค์หญิงคือชาวโลก เพราะงั้นชาวโลกทั้งหมดคือศัตรู
หรือแม้แต่ไรเอ ตัวละครที่เจอเหตุการณ์พ่อตัวเองโดนฆ่าตายต่อหน้า เลยเหมารวมว่าชาวดาวอังคารมีแต่คนเลว
ยังไม่หมดหรอกครับ ผมคิดไว้ได้แค่นี้ แต่อันที่จริงยังมีจิตวิทยากองทัพอีก ว่าสั้น ๆ คือการทำให้นายทหารรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพ จนความเป็นอัตตาของตัวเองหมดไป ร่างกายทั้งหมดขับเคลื่อนโดยความเป็นส่วนรวม สิ่งนี้เองทำให้กองทัพทหารสามัคคีกันมากขึ้น แต่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คนเราฆ่าล้างบางกันง่ายดายขึ้นเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดี
เรื่องมันก็แค่นี้แหละ แต่... แล้ว จะเอามาปรับใช้ยังไงดีล่ะ
ผมเห็นกองอวยอินาโฮะ แช่งสเลน กองอวยสเลนก็แช่งอินาโฮะ เริ่มรุนแรงขึ้นทุกตอน
ลองถามตัวเองหน่อยครับว่า เราคาดหวังอะไรไว้ เพราะบางทีการหยุดสงครามที่ดีที่สุดคือ การรับรู้ความคาดหวังทั้งสองฝ่าย โดยไร้อคติ ยอมรับข้อดีข้อเสียทั้งหมด แล้วประเมินอย่างเป็นกลาง
ผมเองยังคิดว่ามันเป็นเรื่องยากน่าดูนะ เพราะอคติมันเหมือนฟิลเตอร์ที่เปลี่ยนมุมมองโดยที่เราไม่รู้สึกตัวว่ามีอยู่ แต่การตระหนักไว้ว่าตัวเราเองมีอคติ ไม่ได้สมบูรณ์ นั่นน่าจะเป็นพัฒนาที่ดีที่จะหยุดความขัดแย้งอย่างสันติได้
ผมหวังว่า กระทู้ที่ผมพิมพ์มาซะยืดยาวนี้ จะทำให้เข้าใจและดูอนิเมะแนวสงคราม หรือทำสงครามกองอวยได้สนุกขึ้นไม่มากก็น้อยครับ
แล้วคืนนี้เจอกันครับ=___,=
ยิ่งดู Aldnoah Zero ยิ่งช้อบชอบ อินาโฮะ กับ สเลน ขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ความขัดแย้งดังกล่าว มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มันสามารถอธิบายได้เหมือนกับแฟนแมนยู ริเวอร์พูลนั่นแหละ หรือเปรียบกับความขัดแย้งใหญ่ ๆ อย่างสงครามโลก นาซีฆ่าล้างชาวยิว การเหยียดสีผิว ก็ตาม
โดยผมจะอธิบายแบบคร่าว ๆ พอเข้าใจ(ตามที่ผมเข้าใจด้วย) ในกระทู้นี้ โดยคิดว่า "มันจะดีกว่าไหม ถ้าเรารู้สึกอินไปกับเนื้อเรื่องด้วย แต่มีมุมมองที่กว้างยิ่งกว่า โดยแค่ตัดอคติทิ้งไปหน่อยนึง บางทีเราอาจจะได้รับความสนุกมากขึ้นก็ได้"
เริ่มกันที่ ความหมายของสงครามก่อน สงครามก็คือความขัดแย้งระดับกลุ่ม สองกลุ่มขึ้นไป ถ้าแค่คนสองคนตีกัน เราเรียกแค่ว่าการทะเลาะ การทะเลาะเองมีแนวโน้มที่จะจบลงภายในระยะเวลาสั้น และไม่ค่อยรุนแรง เพราะถ้ารุนแรง คนกระทำนั้นจะโดยบทลงโทษทางสังคมทันที อาจจะโดยกฎหมายหรือศาลเตี้ยก็ได้
แต่ในสงครามแล้ว มันจะมีกฏไหมละ เพราะต่างฝ่ายต่างทำตัวเป็นกฎกันเองอยู่แล้ว
ถ้าคิดว่าจุดเริ่มของสงครามคือการรวมกลุ่ม ก็แก้โดยการแยกกันอยู่ซะสิ นั่นก็ไม่ได้หรอกครับ เหตุผลง่าย ๆ คือ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมครับ การทำตัวให้เป็นประโยชน์และถูกยอมรับจากสังคม นั่นเป็นกลไกการเอาชีวิตรอดที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกคนมานาน การฝ่าฝืน ต่อต้านสังคมจึงเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป จึงต้องหา"พวก"ที่มีคิดแบบเดียวกัน มาร่วมสู้กันด้วย เพราะงี้เองมนุษย์จึงขาดการรวมกลุ่มไปไม่ได้เลย
ผมลืมบอกปัจจัยแรกแห่งความขัดแย้งไป นั่นคือ"ความแตกต่าง"ทั้งความคิด จริยธรรมและวัฒนธรรม แต่ผมขอข้ามเลยแล้วกัน เพราะถ้าไม่ต่าง คนเราคงไม่แบ่งกลุ่มกันหรอกจริงไหม
ปัจจัยต่อมาครับ โดยปัจจัยนี้ผมเองก็ไม่รู้จะเรียบเรียงยังไง เพราะคิดว่ามันมีส่วนเชื่อมถึงกันแต่ก็ไม่เป็นสิ่งเดียวกันเลย
นั่นคือ "ความคิดเชื่อมโยง ความอคติ และความคาดหวัง"
กล่าวง่าย ๆ ความคิดเชื่อมโยงเป็นกลไกการเรียนรู้ของสมอง เช่น เมื่อตอนเด็ก เราเล่นมีด แล้วโดนมีดบาด เราจะเชื่อมโยงความเจ็บนั้นกับมีด ทำให้เราเรียนรู้ว่า อย่าไปเล่นกับคมมีดเด็ดขาด
หรือ เราเห็นร้านอาหารที่มีคนรอคิวเยอะแยะมากมาย เราก็คิดเชื่อมโยงไปว่า ร้านอาหารนั้นต้องทำอาหารอร่อยแน่ ๆ คนถึงยอมเสียเวลารอคิวกัน จนเกิดเป็นความคาดหวังขึ้นมา
แต่ความคาดหวังก็เกิดได้ทั้งผลดีผลร้าย ขึ้นกับมุมมองหรือผลลัพธ์ได้ด้วย อ่านแล้วงงใช่มะ
ให้ผมยกตัวอย่าง เช่น ผมไปที่ร้านกาแฟโดยเจ้าของร้านแนะนำกาแฟมาสองแก้ว แก้วนึงเป็นกาแฟธรรมด๊าธรรมดา กับอีกแก้วคือกาแฟขี้ชะมด สมมติว่าผมไม่รู้จักกาแฟขี้ชะมดมาก่อนนะ คุณคงเดาออกว่าผมคงเลือกกาแฟธรรมดาแน่ เพราะผมคงไม่อยากกินอะไรที่ฟังชื่อแล้ว เหมือนกับว่ามันน่าจะออกมาจากรูก้นของสัตว์ชนิดนึงแน่นอน
แล้วลองคิดถึงผลลัพธ์อีกแบบ ถ้าเจ้าของร้าน ให้ผมชิมกาแฟสองแก้ว โดยไม่บอกว่ามันคืออะไร แล้วบังเอิญผมชอบกาแฟแก้วที่สอง(แก้วที่ไม่ใช่กาแฟธรรมดา) ผมบอกเจ้าของร้านไป แล้วเจ้าของร้านเฉลยว่า นั่นคือกาแฟขี้ชะมด
ความแปลกใจหลังจากนั้น อาจจะทำให้ผมสั่งแต่กาแฟขี้ชะมดก็เป็นได้
เห็นความต่างกันหรือยังครับ การนำเสนอทั้งสองแบบ เกิดผลลัพธ์ต่างกันได้อย่างสิ้นเชิง หนึ่งในเหตุผลนั่นเพราะสิ่งที่เรียกว่า ความอคติ โดยเกิดมาจากความคิดเชื่อมโยง (ขี้ชะมด เชื่อมโยงกับขี้ ของเสีย) ทำให้ความคาดหวังผมดิ่งเหวทันที
อาจมีคนสงสัย แล้วที่ผมพล่ามมาเกี่ยวอะไรกับสงครามล่ะ
ยกตัวอย่าง(อีกแล้ว) ในเรื่องA/Z นั่นแหละ ตอนองค์หญิงโดนมิสไซล์สังหาร ชาวดาวอังคารกริ้วโกรธมาก แต่ทำไมแทนที่จะตามสืบอย่างสันติวิธี แล้วลงทัณฑ์แค่คนที่ฆ่าองค์หญิง กลับเอายานลงจอดที่เมืองตูมตามคนตายเป็นแสน
เหตุผลที่อธิบายได้คือ
๑ – ในเรื่องมีการแบ่งพรรคพวกกันอยู่แล้ว คือ ชาวโลก ชาวดาวอังคาร
๒ – ความมีอคติ โดยตั้งแต่แรกแล้ว ชาวดาวอังคาร(ส่วนใหญ่)ดูหมิ่นชาวโลกมาก เหมือนสิ่งมีชีวิตต่ำต้อย
๓ – ความคิดเชื่อมโยง(แบบผิด ๆ) เรียกง่าย ๆ ว่าเหมารวม คนที่ฆ่าองค์หญิงคือชาวโลก เพราะงั้นชาวโลกทั้งหมดคือศัตรู
หรือแม้แต่ไรเอ ตัวละครที่เจอเหตุการณ์พ่อตัวเองโดนฆ่าตายต่อหน้า เลยเหมารวมว่าชาวดาวอังคารมีแต่คนเลว
ยังไม่หมดหรอกครับ ผมคิดไว้ได้แค่นี้ แต่อันที่จริงยังมีจิตวิทยากองทัพอีก ว่าสั้น ๆ คือการทำให้นายทหารรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพ จนความเป็นอัตตาของตัวเองหมดไป ร่างกายทั้งหมดขับเคลื่อนโดยความเป็นส่วนรวม สิ่งนี้เองทำให้กองทัพทหารสามัคคีกันมากขึ้น แต่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คนเราฆ่าล้างบางกันง่ายดายขึ้นเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดี
เรื่องมันก็แค่นี้แหละ แต่... แล้ว จะเอามาปรับใช้ยังไงดีล่ะ
ผมเห็นกองอวยอินาโฮะ แช่งสเลน กองอวยสเลนก็แช่งอินาโฮะ เริ่มรุนแรงขึ้นทุกตอน
ลองถามตัวเองหน่อยครับว่า เราคาดหวังอะไรไว้ เพราะบางทีการหยุดสงครามที่ดีที่สุดคือ การรับรู้ความคาดหวังทั้งสองฝ่าย โดยไร้อคติ ยอมรับข้อดีข้อเสียทั้งหมด แล้วประเมินอย่างเป็นกลาง
ผมเองยังคิดว่ามันเป็นเรื่องยากน่าดูนะ เพราะอคติมันเหมือนฟิลเตอร์ที่เปลี่ยนมุมมองโดยที่เราไม่รู้สึกตัวว่ามีอยู่ แต่การตระหนักไว้ว่าตัวเราเองมีอคติ ไม่ได้สมบูรณ์ นั่นน่าจะเป็นพัฒนาที่ดีที่จะหยุดความขัดแย้งอย่างสันติได้
ผมหวังว่า กระทู้ที่ผมพิมพ์มาซะยืดยาวนี้ จะทำให้เข้าใจและดูอนิเมะแนวสงคราม หรือทำสงครามกองอวยได้สนุกขึ้นไม่มากก็น้อยครับ
แล้วคืนนี้เจอกันครับ=___,=