คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ต่อค่ะ
มิดเทอมเทอมสองลูกก็ยังได้คะแนนค่อนข้างจะต่ำกว่าที่ลูกควรจะทำได้ค่ะ แต่เราว่าตอนนั้นคะแนนเก็บส่วนใหญ่มันไปอยู่ช่วงที่เรายังไม่ได้เคลียร์กันมากกว่าเลยไม่ได้ว่าอะไร(นอกจากไปเคลียร์กับตัวพ่อให้) ครูประจำชั้นก็มาบอกว่าลูกดูขยันขึ้นมากค่ะ แบบฝึกหัดก็ทำถูกมากขึ้น ส่งงานครบมากขึ้น แต่ยังไม่ค่อยมีส่วนร่วมเวลาครูให้แข่งตอบคำถามอยู่ดี แต่เราก็โอเคกับอันหลัง คิดว่าก็ไม่ใช่อะไรที่ลูกชอบตั้งแต่เด็กๆ
แต่มาปลายภาคนี่ล่ะค่ะ
ตกอังกฤษกับคณิตสองตัวรวด
ทั้งบ้านตกใจมาก พ่อเราแม่เราที่อยู่ต่างจังหวัดถึงกับงง สามีเราก็งงถึงขั้นโมโหเลยทีเดียว ครูประจำชั้นกับครูประจำวิชาถึงกับเอากระดาษคำตอบมาให้เราดู พ่อเจ้าประคุณรุนช่องเอ้ยยย จงใจผิดแบบสุดๆไปเลยลูกคนนี้ เรานี่ปรี๊ดแบบสุดๆละแต่ต้องกลั้นอารมณ์กลับมาเคลียร์ที่บ้านต่อ แต่คราวนั้นตัวคุณสามีอยากไปเคลียร์เองเพราะเห็นว่าเราเคลียร์เองไม่ได้ผลมาหลายรอบละ กลายเป็นว่าไปๆมาๆลูกร้องไห้เฉยต้องจับแยกแทบไม่ทัน พอเราถามอะไรต่อหลังจากนั้นลูกก็ไม่ยอมตอบ เราก็ไปทะเลาะกับสามีอีกรอบหนึ่งบ้านแทบแตก
ก่อนจะขึ้นป.2 ครูประจำชั้นตอนป.1ก็บอกให้ลองไปปรึกษานักจิตวิทยาเด็กดู เราก็ไม่ได้เล่าให้ครูฟังว่าลูกเราเป็นยังไงแต่ว่าแม่เราแนะนำมาว่าถ้าลูกเรารู้ว่าเราพาเขาไปปรึกษานักจิตน่ะมันจะยิ่งแย่นะ (แม่เรามั่นใจว่าลูกเราต้องรู้แน่ๆเพราะลูกเราค่อนข้างจะช่างสังเกต) เราก็เลยไม่ได้พาไปไหน ก็ได้แต่พยายามคุยกับลูกให้เห็นแก่ตัวเองมากขึ้นไม่ต้องไปเห็นแก่คนอื่นนัก
พอขึ้นประถมสองดูลูกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ แต่ลูกก็บอกว่าวิชายากขึ้นซึ่งเราก็ช่วยติวให้ ครูประจำชั้นก็โอเคเพราะว่าลูกก็ตั้งใจเรียนเหมือนเดิม ทำการบ้านส่งถูกต้องมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ค่อยมีส่วนร่วมเวลาครูเรียกตอบอยู่ดี
จนลูกคนโตกลับมาเล่าให้แม่ฟังว่าห้องลูกเพื่อนๆแทบจะไม่ได้อยู่ตอนเย็นเลยเพราะว่าพ่อแม่จับไปเรียนพิเศษกันหมด เราก็เคยถามเขาเหมือนกันนะว่าอยากเรียนไหม (คนโตนี่หัวไวค่ะแต่ขี้เกียจ) แต่นั่นแหละค่ะ คนโตเขาค่อนข้างจะขี้เกียจก็เลยไม่เรียนพิเศษ แต่โดยรวมแล้วก็ยังไม่เคยตกได้น่ากลัวแบบที่คนเล็กเคยทำ เราเลยถามว่าน้องเป็นไงบ้างที่โรงเรียน ลูกก็บอกว่าน้องก็โอเค เข้ากับเพื่อนๆดี แต่ก็เงียบเหงาพอกันตอนเย็นเพราะว่าเพื่อนโดนไปเรียนพิเศษตลอด เราได้แต่ขอร้องอยู่ในใจว่าไม่เอาละนะ เอาตัวเองให้รอดเถอะนะ ก่อนลูกจะสอบมิดเทอมเราก็บอกลูกนะว่าตั้งใจทำนะลูก มีความสุขตอนทำนะ งงอะไรถามแม่ถามพี่ได้ (ส่วนสามีเราทำงานหนักมาค่ะช่วงนั้น งานเยอะไม่พอมาเครียดเรื่องลูกอีก)
ผลมิดเทอมกลับกลายเป็นว่าดีขึ้นค่ะ พ่อเขาจากเครียดๆมากลับบ้านรู้ว่าลูกได้คะแนนดีก็ดีใจใหญ่ เราก็ดีใจ ลูกคนโตก็ดูอึ้งๆ มีแต่เจ้าตัวที่ดูเกร็งๆ เราลองถามดูว่าพวกเพื่อนๆ แป้งจีบได้คะแนนเท่าไหร่กันบ้าง ลูกตอบว่าได้ประมาณที่สิบต้นๆกัน(ลูกเราได้ที่เก้า) เราก็บอกว่าดีเลย คะแนนดีอย่างนี้ก็ไม่ต้องไปเรียนพิเศษแล้วล่ะสิ
ตอนช่วงประถมสองก็สบายดีค่ะ เราเริ่มสบายใจขึ้นละ ครอบครัวรู้สึกดีขึ้น คุณครูก็ชมมาตลอดว่าลูกน่ารักมีน้ำใจ คุณแม่ก็ฟิน จนกระทั่งมาถึงเมื่อช่วงใกล้ๆปลายภาคเทอมสองที่จู่ๆลูกก็หันมาบอกเราว่า
“แม่ ครูบอกว่าถ้าเราเข้าโรงเรียนมัธยมดีๆได้จะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้”
เราก็บอกไปว่าจ้ะ ถูกต้องแล้ว
“มหาวิทยาลัยดีๆจะทำให้เราได้งานดีๆจริงเหรอ”
เราก็อธิบายไปว่าถ้าเขามหาวิทยาลัยเราก็จะกลายเป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นเหมือนคุณพ่อ อะไรประมาณนี้ ตอนนั้นลูกคนโตกำลังจะสอบขึ้นประถมหกแล้วกำลังเล็งจะเข้าสวนกุหลาบอยู่ ช่วงนั้นบ้านเลยวุ่นๆหน่อยเพราะต้องวนไปรับไปส่งเวลาไปเรียนพิเศษ(อันนี้ลูกขอมา เพราะไม่ไหวจริงๆ)
ลูกก็นิ่งไปพักหนึ่งแล้วถามต่ออีกว่า
“งานดีๆจะทำให้ชีวิตดีจริงเหรอ ถ้าสมมุติว่าผมได้งานหนึ่งมาที่ผมต้องไปแย่งคนอื่นเขาล่ะ”
เราเงิบอีกแล้ว ในใจก็นึกว่ามาอีกละคำถามประมาณนี้ เราก็อธิบายไปว่างานหลายงานมันต้องมีมาตรฐานอยู่ หลายคนที่เขาไม่ได้งานไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เก่งแต่เขาเก่งไม่พอ
ลูกนิ่งเงียบอีกแล้วจู่ๆก็โพล่งขึ้นมาว่า
“ไม่อยากเรียนมัธยมแล้ว…”
อิชั้นนี่เงิบอีกรอบแล้วค่ะ แต่คราวนี้ตั้งสติทันพอจะถามไปว่าทำไมไม่อยากเรียนละลูก กลัวไปแย่งที่คนอื่นเขาหรือไง กำลังจะเทศน์ต่อว่าถ้าลูกมีความสุขที่จะเรียนแล้วอย่างนั้นอย่างนี้ ลูกพูดขัดคอมาก่อนค่ะ
“ผมไม่มีความสุข ถ้าผมโตขึ้นแล้วผมต้องไปแย่งคนอื่น ไปแย่งงาน แย่งโรงเรียน แย่งมหาลัย ไปแย่งชีวิตที่พวกเขาต้องการ”
ตอนนั้นเรานี่สติแทบจะขาดเลยค่ะ ลูกอายุแค่เจ็ดขวบแต่ความคิดของเขามันทำให้เราหงุดหงิดมากๆ คือเราก็อธิบายไปเป็นสิบรอบแล้วว่าถ้ามีความสุขก็ทำไป ชอบคณิตชอบอังกฤษก็ทำไป ชอบต่อกันดั้มก็ต่อไป จะอ่านโดราเอม่อนกี่เล่มก็อ่านไป อยากไปเล่นกับเพื่อนก็เล่นไป แต่นี่ไม่ใช่นิยายโลกสวยที่ลูกจะตัดสินใจว่าจะเลิกเรียนได้อะไรได้ ทำไมลูกไม่เข้าใจว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันก็ต้องมีคนที่ผิดหวังและสมหวังคละๆกันไป แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องผิดหวังหรือสมหวังไปตลอดกาล เราเทศน์ลูกยาวเลยว่า นี่-คือ-โลก-แห่ง-ความ-เป็น-จริง เราบอกลูกไปเลยว่าโตขึ้นไปยังไงลูกก็ต้องแข่งขันอยู่แล้ว ทุกอย่างมันมีการแข่งกันอยู่ภายในตัวมันทั้งหมด
ลูกเรานิ่งฟังเรานานมาก แทบไม่เถียงอะไรเลย แต่ลูกก็ยังยืนยัน
“ผมแค่อยากเป็นคนดี ผมไม่อยากให้ใครเสียใจ”
เราก็เทศน์ต่ออีกรอบว่าการเป็นคนดีในสังคมมันคนละเรื่องกับการที่เราไปแข่งขันเลย คนเขาจะเสียใจหรือไม่เสียใจมันไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย
คราวนี้ลูกสวนเข้ามาเต็มๆค่ะ
“ทำไมจะไม่เกี่ยว แม่รู้ไหมว่าเวลาแม่ไปซื้อของจากร้านหนึ่งแล้วไม่ไปซื้อของจากอีกร้านหนึ่ง แม่รู้ไหมว่าเจ้าของร้านอีกร้านเขาเสียใจนะ”
“แล้วพวกหมาที่มาขอข้าวเรากินตอนเรานั่งกินข้าวกันข้างนอกก็ไม่ใช่เพราะเราไม่ให้ข้าวมันกินหรือไงมันถึงได้หิวต้องมาขอข้าวโต๊ะอื่นๆต่อไปเหรอ”
“แล้วคนที่เขาไม่มีงานทำน่ะ ไม่ใช่เพราะว่าคนอื่นไปแย่งงานเขามาเหรอเขาเลยไม่มีคนจ้าง”
คือที่ลูกพูดๆมาทั้งหมดนี่เวลาเราไปเล่าให้คนอื่นฟัง ให้เพื่อนช่วยคิดมีแต่คนขำค่ะ แต่ตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกจริงๆ เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกถึงเข้าใจอะไรแบบนี้ เราก็สอนเหมือนที่เพื่อนคนอื่นเขาสอนลูกกัน เราก็สอนเหมือนลูกคนโต คนโตก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรแบบนี้เลย ตอนนั้นเราพยายามข่มใจตัวเองให้เย็นมากๆแล้วอธิบายให้ลูกฟังไปอีกรอบว่า สังคมโลกทุกวันนี้มันมีการแข่งขันกันอยู่ ถ้าลูกอยากไปช่วยเหลือคนอื่นได้ อยากเป็นคนดี ลูกก็ทำตามแบบในสังคม
“ผมไม่อยากอยู่ในสังคมแบบนี้เลย”
ลูกพูดแบบนี้เสร็จก็กลับเข้าห้องไปนั่งเล่นเลโก้ของเขาต่อ ทิ้งให้เรานั่งอึ้งๆต่อไปพลางคิดว่าจะทำยังไงดี คืนนั้นเรานอนไม่หลับทั้งคืนได้แต่คิดว่าจะทำยังไงต่อดี ปลายภาคที่ผ่านมาคนโตฟิตมากค่ะ ส่วนคนเล็กก็อ่านหนังสือตามปรกติของเขาแต่เราก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี
สถานการณ์ปัจจุบันคือค่อนข้างจะแย่ค่ะ ลูกคนเล็กก็ยังคิดอยู่ว่าจะไม่เรียนๆจะเป็นคนดีๆในแบบของเขา ส่วนสามีเราโกรธมากค่ะ แล้วพาลมาโกรธเราด้วยเพราะว่าเราเป็นคนเลี้ยงลูกมากกว่าแถมโยงเข้าเรื่องศาสนาอีก (สามีเป็นพุทธค่ะ ส่วนครอบครัวเราเป็นคริสต์)จะขอไม่พูดถึงรายละเอียดตรงศาสนาละกันเพราะก็เคยทะเลาะกันนอกรอบมาหลายรอบแล้ว ส่วนลูกชายคนโตก็เครียดเรื่องจะสอบด้วยแล้วต้องมาเครียดเรื่องที่บ้านอีก
1) เราควรจะพาลูกไปหาจิตแพทย์เด็กดีไหม นี่ขั้นเกินกว่าที่เรากับสามีจะจัดการได้แล้ว?
2) เราควรจะทำยังไงดีให้ลูกเลิกคิดแบบนี้คะ ขืนปล่อยแบบนี้เรื่อยๆต้องแย่ไปกว่านี้มากๆเลยค่ะ?
3) มีใครมีลูกเป็นแบบนี้บ้างคะ เริ่มคิดแล้วว่ามีแค่ลูกเราคนเดียวจริงๆเหรอที่คิดแบบนี้?
4) พ่อแม่สมัยนี้เขากวดขันลูกให้เรียนพิเศษตั้งแต่ประถมเป็นจริงเป็นจังมากๆขนาดนี้เลยเหรอคะ?
เราไม่อยากให้ลูกเราคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆเลยค่ะ แต่เราก็อธิบายเป็นสิบๆรอบแล้ว จนตอนนี้เราเริ่มจะปลงแล้วค่ะ แต่ก็ไม่อยากให้มันไปกระทบเรื่องของสามีกับลูกชายคนโตอีก
มิดเทอมเทอมสองลูกก็ยังได้คะแนนค่อนข้างจะต่ำกว่าที่ลูกควรจะทำได้ค่ะ แต่เราว่าตอนนั้นคะแนนเก็บส่วนใหญ่มันไปอยู่ช่วงที่เรายังไม่ได้เคลียร์กันมากกว่าเลยไม่ได้ว่าอะไร(นอกจากไปเคลียร์กับตัวพ่อให้) ครูประจำชั้นก็มาบอกว่าลูกดูขยันขึ้นมากค่ะ แบบฝึกหัดก็ทำถูกมากขึ้น ส่งงานครบมากขึ้น แต่ยังไม่ค่อยมีส่วนร่วมเวลาครูให้แข่งตอบคำถามอยู่ดี แต่เราก็โอเคกับอันหลัง คิดว่าก็ไม่ใช่อะไรที่ลูกชอบตั้งแต่เด็กๆ
แต่มาปลายภาคนี่ล่ะค่ะ
ตกอังกฤษกับคณิตสองตัวรวด
ทั้งบ้านตกใจมาก พ่อเราแม่เราที่อยู่ต่างจังหวัดถึงกับงง สามีเราก็งงถึงขั้นโมโหเลยทีเดียว ครูประจำชั้นกับครูประจำวิชาถึงกับเอากระดาษคำตอบมาให้เราดู พ่อเจ้าประคุณรุนช่องเอ้ยยย จงใจผิดแบบสุดๆไปเลยลูกคนนี้ เรานี่ปรี๊ดแบบสุดๆละแต่ต้องกลั้นอารมณ์กลับมาเคลียร์ที่บ้านต่อ แต่คราวนั้นตัวคุณสามีอยากไปเคลียร์เองเพราะเห็นว่าเราเคลียร์เองไม่ได้ผลมาหลายรอบละ กลายเป็นว่าไปๆมาๆลูกร้องไห้เฉยต้องจับแยกแทบไม่ทัน พอเราถามอะไรต่อหลังจากนั้นลูกก็ไม่ยอมตอบ เราก็ไปทะเลาะกับสามีอีกรอบหนึ่งบ้านแทบแตก
ก่อนจะขึ้นป.2 ครูประจำชั้นตอนป.1ก็บอกให้ลองไปปรึกษานักจิตวิทยาเด็กดู เราก็ไม่ได้เล่าให้ครูฟังว่าลูกเราเป็นยังไงแต่ว่าแม่เราแนะนำมาว่าถ้าลูกเรารู้ว่าเราพาเขาไปปรึกษานักจิตน่ะมันจะยิ่งแย่นะ (แม่เรามั่นใจว่าลูกเราต้องรู้แน่ๆเพราะลูกเราค่อนข้างจะช่างสังเกต) เราก็เลยไม่ได้พาไปไหน ก็ได้แต่พยายามคุยกับลูกให้เห็นแก่ตัวเองมากขึ้นไม่ต้องไปเห็นแก่คนอื่นนัก
พอขึ้นประถมสองดูลูกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ แต่ลูกก็บอกว่าวิชายากขึ้นซึ่งเราก็ช่วยติวให้ ครูประจำชั้นก็โอเคเพราะว่าลูกก็ตั้งใจเรียนเหมือนเดิม ทำการบ้านส่งถูกต้องมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ค่อยมีส่วนร่วมเวลาครูเรียกตอบอยู่ดี
จนลูกคนโตกลับมาเล่าให้แม่ฟังว่าห้องลูกเพื่อนๆแทบจะไม่ได้อยู่ตอนเย็นเลยเพราะว่าพ่อแม่จับไปเรียนพิเศษกันหมด เราก็เคยถามเขาเหมือนกันนะว่าอยากเรียนไหม (คนโตนี่หัวไวค่ะแต่ขี้เกียจ) แต่นั่นแหละค่ะ คนโตเขาค่อนข้างจะขี้เกียจก็เลยไม่เรียนพิเศษ แต่โดยรวมแล้วก็ยังไม่เคยตกได้น่ากลัวแบบที่คนเล็กเคยทำ เราเลยถามว่าน้องเป็นไงบ้างที่โรงเรียน ลูกก็บอกว่าน้องก็โอเค เข้ากับเพื่อนๆดี แต่ก็เงียบเหงาพอกันตอนเย็นเพราะว่าเพื่อนโดนไปเรียนพิเศษตลอด เราได้แต่ขอร้องอยู่ในใจว่าไม่เอาละนะ เอาตัวเองให้รอดเถอะนะ ก่อนลูกจะสอบมิดเทอมเราก็บอกลูกนะว่าตั้งใจทำนะลูก มีความสุขตอนทำนะ งงอะไรถามแม่ถามพี่ได้ (ส่วนสามีเราทำงานหนักมาค่ะช่วงนั้น งานเยอะไม่พอมาเครียดเรื่องลูกอีก)
ผลมิดเทอมกลับกลายเป็นว่าดีขึ้นค่ะ พ่อเขาจากเครียดๆมากลับบ้านรู้ว่าลูกได้คะแนนดีก็ดีใจใหญ่ เราก็ดีใจ ลูกคนโตก็ดูอึ้งๆ มีแต่เจ้าตัวที่ดูเกร็งๆ เราลองถามดูว่าพวกเพื่อนๆ แป้งจีบได้คะแนนเท่าไหร่กันบ้าง ลูกตอบว่าได้ประมาณที่สิบต้นๆกัน(ลูกเราได้ที่เก้า) เราก็บอกว่าดีเลย คะแนนดีอย่างนี้ก็ไม่ต้องไปเรียนพิเศษแล้วล่ะสิ
ตอนช่วงประถมสองก็สบายดีค่ะ เราเริ่มสบายใจขึ้นละ ครอบครัวรู้สึกดีขึ้น คุณครูก็ชมมาตลอดว่าลูกน่ารักมีน้ำใจ คุณแม่ก็ฟิน จนกระทั่งมาถึงเมื่อช่วงใกล้ๆปลายภาคเทอมสองที่จู่ๆลูกก็หันมาบอกเราว่า
“แม่ ครูบอกว่าถ้าเราเข้าโรงเรียนมัธยมดีๆได้จะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้”
เราก็บอกไปว่าจ้ะ ถูกต้องแล้ว
“มหาวิทยาลัยดีๆจะทำให้เราได้งานดีๆจริงเหรอ”
เราก็อธิบายไปว่าถ้าเขามหาวิทยาลัยเราก็จะกลายเป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นเหมือนคุณพ่อ อะไรประมาณนี้ ตอนนั้นลูกคนโตกำลังจะสอบขึ้นประถมหกแล้วกำลังเล็งจะเข้าสวนกุหลาบอยู่ ช่วงนั้นบ้านเลยวุ่นๆหน่อยเพราะต้องวนไปรับไปส่งเวลาไปเรียนพิเศษ(อันนี้ลูกขอมา เพราะไม่ไหวจริงๆ)
ลูกก็นิ่งไปพักหนึ่งแล้วถามต่ออีกว่า
“งานดีๆจะทำให้ชีวิตดีจริงเหรอ ถ้าสมมุติว่าผมได้งานหนึ่งมาที่ผมต้องไปแย่งคนอื่นเขาล่ะ”
เราเงิบอีกแล้ว ในใจก็นึกว่ามาอีกละคำถามประมาณนี้ เราก็อธิบายไปว่างานหลายงานมันต้องมีมาตรฐานอยู่ หลายคนที่เขาไม่ได้งานไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เก่งแต่เขาเก่งไม่พอ
ลูกนิ่งเงียบอีกแล้วจู่ๆก็โพล่งขึ้นมาว่า
“ไม่อยากเรียนมัธยมแล้ว…”
อิชั้นนี่เงิบอีกรอบแล้วค่ะ แต่คราวนี้ตั้งสติทันพอจะถามไปว่าทำไมไม่อยากเรียนละลูก กลัวไปแย่งที่คนอื่นเขาหรือไง กำลังจะเทศน์ต่อว่าถ้าลูกมีความสุขที่จะเรียนแล้วอย่างนั้นอย่างนี้ ลูกพูดขัดคอมาก่อนค่ะ
“ผมไม่มีความสุข ถ้าผมโตขึ้นแล้วผมต้องไปแย่งคนอื่น ไปแย่งงาน แย่งโรงเรียน แย่งมหาลัย ไปแย่งชีวิตที่พวกเขาต้องการ”
ตอนนั้นเรานี่สติแทบจะขาดเลยค่ะ ลูกอายุแค่เจ็ดขวบแต่ความคิดของเขามันทำให้เราหงุดหงิดมากๆ คือเราก็อธิบายไปเป็นสิบรอบแล้วว่าถ้ามีความสุขก็ทำไป ชอบคณิตชอบอังกฤษก็ทำไป ชอบต่อกันดั้มก็ต่อไป จะอ่านโดราเอม่อนกี่เล่มก็อ่านไป อยากไปเล่นกับเพื่อนก็เล่นไป แต่นี่ไม่ใช่นิยายโลกสวยที่ลูกจะตัดสินใจว่าจะเลิกเรียนได้อะไรได้ ทำไมลูกไม่เข้าใจว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันก็ต้องมีคนที่ผิดหวังและสมหวังคละๆกันไป แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องผิดหวังหรือสมหวังไปตลอดกาล เราเทศน์ลูกยาวเลยว่า นี่-คือ-โลก-แห่ง-ความ-เป็น-จริง เราบอกลูกไปเลยว่าโตขึ้นไปยังไงลูกก็ต้องแข่งขันอยู่แล้ว ทุกอย่างมันมีการแข่งกันอยู่ภายในตัวมันทั้งหมด
ลูกเรานิ่งฟังเรานานมาก แทบไม่เถียงอะไรเลย แต่ลูกก็ยังยืนยัน
“ผมแค่อยากเป็นคนดี ผมไม่อยากให้ใครเสียใจ”
เราก็เทศน์ต่ออีกรอบว่าการเป็นคนดีในสังคมมันคนละเรื่องกับการที่เราไปแข่งขันเลย คนเขาจะเสียใจหรือไม่เสียใจมันไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย
คราวนี้ลูกสวนเข้ามาเต็มๆค่ะ
“ทำไมจะไม่เกี่ยว แม่รู้ไหมว่าเวลาแม่ไปซื้อของจากร้านหนึ่งแล้วไม่ไปซื้อของจากอีกร้านหนึ่ง แม่รู้ไหมว่าเจ้าของร้านอีกร้านเขาเสียใจนะ”
“แล้วพวกหมาที่มาขอข้าวเรากินตอนเรานั่งกินข้าวกันข้างนอกก็ไม่ใช่เพราะเราไม่ให้ข้าวมันกินหรือไงมันถึงได้หิวต้องมาขอข้าวโต๊ะอื่นๆต่อไปเหรอ”
“แล้วคนที่เขาไม่มีงานทำน่ะ ไม่ใช่เพราะว่าคนอื่นไปแย่งงานเขามาเหรอเขาเลยไม่มีคนจ้าง”
คือที่ลูกพูดๆมาทั้งหมดนี่เวลาเราไปเล่าให้คนอื่นฟัง ให้เพื่อนช่วยคิดมีแต่คนขำค่ะ แต่ตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกจริงๆ เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกถึงเข้าใจอะไรแบบนี้ เราก็สอนเหมือนที่เพื่อนคนอื่นเขาสอนลูกกัน เราก็สอนเหมือนลูกคนโต คนโตก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรแบบนี้เลย ตอนนั้นเราพยายามข่มใจตัวเองให้เย็นมากๆแล้วอธิบายให้ลูกฟังไปอีกรอบว่า สังคมโลกทุกวันนี้มันมีการแข่งขันกันอยู่ ถ้าลูกอยากไปช่วยเหลือคนอื่นได้ อยากเป็นคนดี ลูกก็ทำตามแบบในสังคม
“ผมไม่อยากอยู่ในสังคมแบบนี้เลย”
ลูกพูดแบบนี้เสร็จก็กลับเข้าห้องไปนั่งเล่นเลโก้ของเขาต่อ ทิ้งให้เรานั่งอึ้งๆต่อไปพลางคิดว่าจะทำยังไงดี คืนนั้นเรานอนไม่หลับทั้งคืนได้แต่คิดว่าจะทำยังไงต่อดี ปลายภาคที่ผ่านมาคนโตฟิตมากค่ะ ส่วนคนเล็กก็อ่านหนังสือตามปรกติของเขาแต่เราก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี
สถานการณ์ปัจจุบันคือค่อนข้างจะแย่ค่ะ ลูกคนเล็กก็ยังคิดอยู่ว่าจะไม่เรียนๆจะเป็นคนดีๆในแบบของเขา ส่วนสามีเราโกรธมากค่ะ แล้วพาลมาโกรธเราด้วยเพราะว่าเราเป็นคนเลี้ยงลูกมากกว่าแถมโยงเข้าเรื่องศาสนาอีก (สามีเป็นพุทธค่ะ ส่วนครอบครัวเราเป็นคริสต์)จะขอไม่พูดถึงรายละเอียดตรงศาสนาละกันเพราะก็เคยทะเลาะกันนอกรอบมาหลายรอบแล้ว ส่วนลูกชายคนโตก็เครียดเรื่องจะสอบด้วยแล้วต้องมาเครียดเรื่องที่บ้านอีก
1) เราควรจะพาลูกไปหาจิตแพทย์เด็กดีไหม นี่ขั้นเกินกว่าที่เรากับสามีจะจัดการได้แล้ว?
2) เราควรจะทำยังไงดีให้ลูกเลิกคิดแบบนี้คะ ขืนปล่อยแบบนี้เรื่อยๆต้องแย่ไปกว่านี้มากๆเลยค่ะ?
3) มีใครมีลูกเป็นแบบนี้บ้างคะ เริ่มคิดแล้วว่ามีแค่ลูกเราคนเดียวจริงๆเหรอที่คิดแบบนี้?
4) พ่อแม่สมัยนี้เขากวดขันลูกให้เรียนพิเศษตั้งแต่ประถมเป็นจริงเป็นจังมากๆขนาดนี้เลยเหรอคะ?
เราไม่อยากให้ลูกเราคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆเลยค่ะ แต่เราก็อธิบายเป็นสิบๆรอบแล้ว จนตอนนี้เราเริ่มจะปลงแล้วค่ะ แต่ก็ไม่อยากให้มันไปกระทบเรื่องของสามีกับลูกชายคนโตอีก
แสดงความคิดเห็น
ลูกบอกว่าจะไม่เรียน เพราะ "ลูกแค่อยากเป็นคนดี ลูกไม่อยากทำให้ใครเสียใจ"
เรามีเรื่องจะมาปรึกษาชาวพันทิปและคุณแม่ทั้งหลายกันหน่อย เชื่อว่าคงมีเด็กที่เป็นเหมือนลูกชายของเราอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย แต่เรื่องของลูกเราทำให้เราค่อนข้างจะปวดหัวและคิดว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ต่อไปไม่น่าจะเป็นผลดีในระยะยาวแน่ๆ
ขอพูดถึงสภาพครอบครัวก่อนนะคะ ว่าเราอยู่กันสี่คน มีลูกชายเราตอนนี้อยู่ประถมสาม ลูกชายคนโตอยู่ประถมหก พ่อเขาค่อนข้างจะยุ่งๆที่ทำงานแต่ก็มีเวลาเสาร์อาทิตย์ให้ลูกๆตลอด ส่วนเราเป็นแม่บ้านและดูแลร้านขายของชำร่วยงานแต่งงานอยู่ ค่อนข้างมีอันจะกินค่ะ
เรื่องของเรื่องคือลูกชายคนเล็กเป็นคนที่ไม่ชอบการแข่งขันมากๆเลยค่ะ ตอนยังเล็กๆเวลามีงานปาร์ตี้ของเพื่อนลูกหรืองานที่โรงเรียนลูกก็ไปเข้าร่วมตลอด แต่ถ้ามีแข่งอะไรขึ้นมาละก็จะหลบไปเลย ตอนนั้นคิดว่าโตๆมาน่าจะหายเพราะพี่ชายเขาค่อนข้างจะมั่นใจในตัวเองสูงมาก แต่ว่าตอนนี้ผ่านมาจนจะขึ้นประถมสามแล้ว เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้วล่ะค่ะ
ตอนเด็กมากๆ เวลาพาไปเลือกซื้อของเล่นกับลูกๆ คนโตเขาจะเลือกเลยว่าจะเอาอันนี้ สีนี้ พอไปถามคนเล็กว่าจะเอาอันไหนเขาจะบอกว่าให้แม่เลือกให้ ไอ้เราก็กลัวเลือกแล้วไม่ถูกใจอีก ก็ยังยืนยันว่าจะให้แม่เป็นคนเลือกอยู่ดี พอหยิบสีอะไรให้ ถามว่าชอบอันนี้ไหมลูกก็โอเคเออออตามหมด แรกๆเราก็เฉยๆนะ แต่ไปๆมาๆแม่เรารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยคะยั้นคะยอให้เราถามให้ได้ สุดท้ายก็เลยมาหวยออกตอนวันที่คนโตอยากได้ลูกหมามาเลี้ยง สามีเราก็โอเคจะยกกันไปดูที่ฟาร์มทั้งบ้าน ปรากฏว่าคนเล็กไม่ยอมไปค่ะ ทั้งๆที่ปกติก็ชอบหมามากพอๆกับพี่ชาย เราเลยปล่อยสามีไปกับคนโตแล้วนั่งเปิดอกคุยกับคนเล็ก กว่าจะได้คำตอบมาก็เหนื่อยพอดูค่ะ
ลูกบอกว่าลูกไม่ได้ไม่ชอบหมา ลูกแค่ไม่อยากเลือก พอถามว่าทำไม รู้ไหมคะว่าลูกตอบว่าอะไร
“ถ้าเลือกลูกหมาตัวหนึ่ง ตัวอื่นจะผิดหวังและต้องเสียใจมากๆแน่”
เราก็เงิบสิคะ พอหายเงิบก็บอกลูกไปว่าเดี๋ยวตัวอื่นๆก็มีคนมาเอาไปเลี้ยงเองแหละ ลูกนิ่งไปนิดแล้วตอบว่า
“ไม่อยากเห็นสายตาที่ผิดหวังของลูกหมาตัวอื่นๆ”
เราเริ่มเอะใจละเลยถามว่านี่เกี่ยวกับเรื่องของเล่นด้วยใช่ไหม ลูกบอกว่าใช่
วันนั้นเลยได้เคลียร์กันยาว เราก็ใจเย็นๆค่อยๆอธิบายไปว่าสิ่งของน่ะเขาไม่รู้สึกอะไรหรอกลูก เขาไม่ได้จะมากังวลหรอกว่าใครจะเลือกเขาหรือใครจะไม่เลือกเขา (ค่อนข้างจะเป็นแม่ที่เรียลลิสติคมาก) แล้วก็พูดถึงน้องหมาตัวที่เราไม่ได้เลือกกลับบ้านว่าจะมีคนมารับไปเลี้ยงแน่ๆ และถึงไม่มีคนเอาไปตัวนั้นก็ยังมีเจ้าของและพ่อแม่อยู่ คุยกันยาวเลยค่ะ ก็เหมือนจะได้ผลอยู่เพราะเหมือนลูกจะเริ่มเลือกและตัดสินใจเองได้ แต่ก็ยังติดให้แม่เลือกอยู่บ้าง
พอเข้าโรงเรียนประถมก็คิดว่าน่าจะดีขึ้นค่ะ เพราะลูกคนโตดูสนุกสนานมากและดูตื่นเต้นมากๆที่น้องไปโรงเรียนด้วย เราเองก็ไม่ได้กังวลอะไรมากเพราะตอนอยู่อนุบาลลูกก็เข้ากับเพื่อนๆได้ง่าย คุณครูพี่เลี้ยงก็ชมบ่อยๆว่าเป็นเด็กเรียบร้อย แตกต่างกับพี่ชายที่ซนจะเป็นลิงอยู่แล้ว แต่การขึ้นชั้นใหม่นี่ล่ะค่ะทำให้เรารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลในตัวของลูกเรา
ตอนสอบกลางภาคลูกคนเล็กได้คะแนนสูงมากค่ะ ตอนนั้นก็ตื่นเต้นกันทั้งบ้าน เราก็สบายใจเพราะดูลูกก็ไม่มีปัญหาอะไร ครูประจำชั้นบอกว่าลูกตั้งใจเรียนดีมากและค่อนข้างจะมีความสุข สามีเราแฮปปี้มากบอกลูกชายว่าถ้าสอบปลายภาคได้แบบนี้อีกจะซื้อของขวัญให้ ลูกก็ยิ้มๆไม่ว่าอะไร ปรากฏว่าพอถึงปลายภาคปุ๊บลูกร่วงลงมาอยู่ประมาณที่เก้าที่สิบ เราน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเพราะก็เข้าใจว่าลูกคงงงๆตรงไหนสักแห่ง สามีเราก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่าเทอมสองต้องพยายามมากขึ้นนะ เราเองก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหาเลย
จนกระทั่งขึ้นเทอมสองวันหนึ่งไปรับลูกเร็ว ครูประจำชั้นก็เลยขอคุยด้วยหน่อย
ครูประจำชั้นเล่าให้ฟังว่าลูกเราไม่ค่อยร่วมมือในกิจกรรมเท่าไหร่เลย ครูบอกว่าลูกน่ะเรียนดี ตั้งใจเรียน แต่พอถึงช่วงกิจกรรมเก็บคะแนนเข้าลูกจะเอื่อยทันที ครูเอาสมุดการบ้านคณิตมาให้เราดูว่าเนี่ย แบบฝึกหัดน่ะผิดแบบไม่น่าจะผิดเต็มไปหมดเลย คือก็เราก็ตกใจว่า เฮ้ย ไหนตอนอยู่บ้านก็บอกว่าทำได้นี่นา แล้วมันก็ไม่ใช่ข้อที่น่าจะผิดได้ขนาดนี้ ส่วนฟีดแบ็คครูวิชาอื่นๆก็จะมาประมาณว่าตั้งใจเรียนมากแต่ไม่ค่อยมีส่วนร่วม อย่างวิชาภาษาอังกฤษเนี่ยคุณครูมาเล่าให้เราฟังเลยว่าถ้าถามลูกเราแบบเจาะตัวเลยว่านี่แปลว่าอะไร ลูกตอบได้ แต่พอให้แข่งกันยกมือตอบคำถามลูกไม่ทำ ให้ส่งแบบฝึกหัดลูกก็ตอบผิดแบบที่ไม่น่าจะผิดไปหมด ครูประจำชั้นเคยลองคุยกับลูกดูแล้วก็ไม่เห็นว่าเด็กจะมีปัญหาอะไร พอให้ครูคณิตมาสอนตัวต่อตัวอีกทีหลังเลิกเรียนลูกก็ทำได้ ทำได้ดีมากด้วย
เราเลยเริ่มสงสัยว่าหรือลูกเราจะขาดความมั่นใจในตัวเองฟระ แต่ครูประจำชั้นก็บอกว่าไม่ใช่อีก เพราะลูกเองก็เป็นตัวแทนนำหน้าเสาธง นำสวด เพื่อนๆก็รัก เรานี่ได้แต่เงิบลูกเดียวเลยค่ะ วันนั้นกลับบ้านเลยลองถามดูอีกที
อีหรอบเดิมค่ะ ถามลูกว่าทำไมคะแนนถึงลง ไม่สบายใจอะไรเล่าให้แม่ฟังก็ได้นะ ลูกก็เอาแต่ปฏิเสธว่าไม่เป็นไร พอถามเรื่องการบ้านลูกก็บอกว่าไม่ค่อยอยากทำ ตอนนั้นเราเริ่มหงุดหงิดละก็เลยถามออกไปว่าไม่ชอบเรียนหรือยังไง กลายเป็นว่าลูกพยักหน้าค่ะ อิแม่นี่แทบจะเป็นลม เลยรีบถามไปอย่างช็อกๆว่าทำไม? อีหรอบเดิมนั่นแหละค่ะ ลูกตอบว่า
“เพื่อนคนอื่นเขาเสียใจ…”
ยังไงทำไมอะไร เรางงไปหมด เราเลยถามต่อว่าทำไมเพื่อนถึงต้องเสียใจ ลูกก็เล่าให้ฟังว่าตอนสอบกลางภาคเทอมหนึ่งลูกเห็นเพื่อนๆคนอื่นที่คะแนนน้อยกว่าเขาเสียใจกันลูกเลยไม่อยากให้คะแนนตัวเองดีกว่าเพื่อน เรานี่เงิบไปอีกดอก พยายามจะอธิบายว่าที่เพื่อนได้คะแนนน้อยกว่าลูกไม่ได้เกี่ยวบ้าอะไรกับที่ลูกได้คะแนนเยอะเลย แต่เหมือนลูกจะไม่ค่อยเก๊ทค่ะ ลูกก็พยายามจะอธิบายกลับให้เราฟังว่ามันเกี่ยวเต็มๆเลย
“เพราะถ้าผมได้คะแนนน้อยกว่า แป้งจีบก็จะไม่ถูกดุครับ”
พอได้ยินชื่อนี้เราก็นึกย้อนๆไปวันรับเกรดปลายภาคเทอมหนึ่งแล้วตอนออกมาจากห้องก็เจอพ่อคนหนึ่งดุลูกแบบรุนแรงมากที่หน้าห้องเรียน ลูกสาวก็ร้องไห้แบบหนักมาก ขนาดเดินกลับไปขึ้นรถยังดุลูกไปตลอดทาง เราก็เลยอนุมานไปว่าน้องแป้งจีบนั่นคนต้องเป็นคนเดียวกับที่โดนพ่อดุหนักแน่ๆ เลยถามไปว่าแป้งจีบนี่ได้ที่เท่าไหร่ ลูกตอบว่าได้ที่สิบแปด ขณะที่ลูกเราได้ที่สิบห้า (เกรดห่างกันไม่ถึง0.5) ลูกบอกว่าถ้าลูกทำคะแนนสอบได้น้อยกว่านี้คนอื่นๆเขาก็จะได้ที่เยอะกว่า และจะไม่โดนดุกัน
คือเรางงมากกับตรรกะของลูก งงกับลูกไม่พอพาลไปหงุดหงิดถึงวิธีการเลี้ยงลูกของชาวบ้านเขาอีก ลูกเล่าให้ฟังอีกว่าที่ลูกทำการบ้านสองวิชานั้นให้น้อยลงก็เพราะว่าเพื่อนๆส่วนใหญ่ในห้องไม่ค่อยได้วิชานี้กัน เพื่อนกลุ่มใหญ่ๆก็ถูกพ่อแม่จับไปเรียนพิเศษสองวิชานี้จนไม่มีความสุขกัน
คิดดูสิคะ ลูกดิชั้นจะทำตัวเป็นminของห้อง
เราพยายามมากๆในคืนนั้น พยายามอธิบายให้เขาฟังถึงความสำคัญของคะแนน ว่าสำคัญยังไงอะไร และตอนนั้นเราก็เล่าให้ฟังว่ากว่าแม่จะเรียนจบมาได้คะแนนนี่ก็โคตรสำคัญเลยนะและก็ไอ้ที่ทำๆมาน่ะ ไม่ต้องทำเพื่อคนอื่นก็ได้ หัดทำเพื่อตัวเองบ้าง ถ้ามีความสุขกับวิชาคณิตลูกก็เต็มที่ไปเลย ชอบอังกฤษลูกก็เต็มไปที่ไปเลยไม่ต้องกั๊ก พูดไปพูดมาก็ดันหลงประเด็นไปเขาว่าอีกหน่อยถ้าจะสอบขึ้นมัธยมน่ะจะมาคิดอย่างนี้ไม่ได้แล้วนะ ยังค่ะ เล่าเสร็จยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนนอนคืนนั้นก็ให้ลูกสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนมากขึ้นนะ ถือว่าทำเพื่อความสนุกของตัวเอง ถ้าอยากตอบอะไรก็ตอบเลยไม่ต้องอาย
แต่เหมือนว่าจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาค่ะ...
-ขอแบ่งพาร์ทไปอีกอันนะคะ กลัวลายตา-