สวัสดีค่ะเพื่อนๆเช้าพันทิปทุกท่านกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกเลยค่ะ ^^ เจ้าของกระทู้มีความประทับใจที่จะนำเสนอเรื่องราวการเดินทางของตนเองซึ่งประทับใจมากเกินกว่าที่จะเก็บไว้คนเดียวได้ อยากจะเล่าให้ผู้ที่สนใจได้อ่านกันค่ะ เรื่องนี้เป็นการเดินทางไปทำบุญที่เขา คิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี นับว่าเป็นทริปที่เร่งด่วนมาก เพราะเมื่อเลิกเรียนตอนเที่ยงก็รีบกลับห้องมาเก็บของใส่ประเป๋า และออกเดินทางไปยังคิวรถตอนบ่ายครึ่งเลย รถที่เดินทางโดยรถตู้ค่ะ เหมือนกับว่าเราจะไปทำบุญจิตใจเราเป็นกุศลเราก็เจอแต่คนที่ช่วยเหลือเรา ให้คำแนะนำในการเดินทางครั้งนี้ ต้องบอกก่อนเลยค่ะว่า มีข้อมูลติดตัวเพียงน้อยนิดมาก รู้แค่ว่าต้องมาขึ้นรถที่ท่ารถตู้ "ศรีจันทร์"และต้องมาลงที่ "เขาไร่ยา" แค่นี้ ที่เหลือคิดเอาว่าไปถามเอาดาบหน้า ไม่อยากช้าเสียเวลาหาข้อมูลกลัวจะเย็นเสียก่อนช้าต่อการเดินทาง ก็ได้สอบถามที่คิวรถตู้เค้าก็ให้เบอร์ที่จะติดต่อรถขึ้นไปที่วัดพลวงค่ะ แล้วในขณะนั้นเองก็มีคุณป้าใจดีก็มานั่งคุยกับเราช่วยแนะนำพร้อมทั้งบอกคนขับรถให้กับเราว่าเราจะลงที่เขาไร่ยา เพราะเราไม่คุ้นชินพื้นที่ว่าตรงไหนคือเขาไร่ยา ^^ ซึ่งรถออกจากบางแสนเวลาประมาณบ่ายสองใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชม.เห็นจะได้ค่ะ แท่แด่มมมมม ในที่สุดเราก็มาถึง......
ตอนแรกว่าจะไม่โทรให้รถที่วัดมารับค่ะ เพราะสอบถามจากคนแถวนั้นเค้าบอกว่า มีรถเข้าไปแต่ไม่ถึงวัดพลวงจะสิ้นสุดแค่ที่วัดกระทิง แต่เราต้องลงหน้าวัดกระทิงแล้วต่อรถเข้าไปที่วัดพลวงอีกทีหนึง แต่……….เรารอรถนานมากค่ะ รอจนคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง 55555 เลยตัดสินใจโทรหารถที่วัดพลวงให้มารับเรา ก็คุยกับพี่นัดแนะกันว่าให้มารับที่ไหน เรียบร้อยค่ะ ค่ารถไปส่งถึงวัดก็หัวละ 150 บาท ขณะที่รอรถมารับไปที่วัดรถที่เข้าไปยังกระทิงที่กะขึ้นในตอนแรกนั้นก็ขับผ่านเราต่อหน้าต่อตาในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 2 คัน 555555555 รอตั้งนานไม่ยักกะมา = =” จากนั้นพอรถที่เราติดต่อไว้ก็มารับค่ะ ระหว่างเดินทางไปวัดก็ คุยกันไปคุยกันมา บังเอิ๊ญ บังเอิญ พี่ที่มารับเราจบจากมอบูร คณะศิลปกรรมศาสตร์ บ้านใกล้เรียนเคียงกับคณะที่เจ้าของกระทู้เรียนพี่แกกลับมาช่วยที่บ้านเพราะคนขาดแม่ให้มา ขากลับเราก็ยังใช้บริการพี่เค้า พี่เค้าติดต่อรถที่จะมารับเรากลับบางแสนให้ด้วย บริการดีมากค่ะ แถมพี่แกก็ใจดีลดค่ารถให้ด้วย ^^ เมื่อนั่งรถมาถึงวัดค่ะเราก็เจอภาพนี้เลย...
นับว่าเป็นข้อดีของการไปวันธรรมดา คือคนน้อยอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ปกตินี่คือต้องเบียดแล้วเบียดอีกกว่าจะได้เข้าไปไหว้ เดินทางโปร่ง สบายเมื่อไหว้พระที่ด้านล่างเสร็จแล้วเราก็เดินไปหาอาหารทานที่ศูนย์อาหารของวัดค่ะ ตอนแรกคิดว่าอาหารที่นี่ต้องแพงแน่ๆแต่เราคิดผิดค่ะ
ต้มยำเย็นตาโฟชามนี้ราคา อยู่ที่ 40 บาท ทั้งนี้ราคาอาหารแต่ละจุดขายไม่เท่ากันนะครัช ยิ่งเป็นจุดพักรอยต่อที่จะเดินไปถึงผ้าแดง ยิ่งแพง มาม่ากระป๋องละ 30 บาท น้ำเปล่าขวดละ 20 บาท - -" แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะเราก็เขาอกเข้าใจขนาดเราเดินทางแค่แบกสัมภาระของเราเองเรายังโอดควรแล้วโอดควรอีก ซึ่งแต่ละร้านที่ขายอยู่บนเขาต้องจ้างคนแบกขึ้นไปเที่ยวละ 200 ถ้าเปรียบน้ำเที่ยวหนึงขนแค่ 4 แพ็ค แล้วเขาต้องขนกี่เที่ยวเพื่อมาขายให้นักบุญจำนวนมหาศาล เราก็มองมาที่คนรับจ้างต่ออีกว่าเค้าเก่งดีนะ ถ้าเป็นเราเราคงทำไม่ได้อย่างเค้า เขาที่มีความสูงชันต่างระดับสลับกันไปมา ต้องเอ่ยปากชมว่า ทั้งเก่งและถึกจริงๆ มาถึงขั้นตอนของการขึ้นเขาค่ะ ตอนแรกตั้งใจจะเดินขึ้นเขาโดยไม่นั่งรถ แต่ทางเงียบสงบมากเมื่อเป็นเช่นนั้น นั่งรถจะดีกว่า 55555
- หลายคนที่ติดตามข่าวว่ามีการทะเลาะกันเกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์ปัญหาภายในวัดเกิดการแทรกแซงจากคนที่มีอิทธิพลภายนอก หรือมองว่ากังวลถ้าไปเงินของเราจะถูกนำไปในทางอื่นที่ไม่ใช่ในการบำรุงศาสนา ขอบอกว่า อย่าไปสนใจในแง่นั้น แค่เรามีใจที่ศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีใจที่จะไปทำบุญ แค่นี้จริงๆเราก็ได้กุศลแล้วนะ อย่าไปคิดมากค่ะ ค่าตั๋วรถขึ้นเขาก็เที่ยวละ 50 บาทค่ะ ครั้งหนึงขึ้นสองเที่ยวไปกลับขึ้น – ลงรวม 200 บาทค่ะ
เค้าขับรถได้เก่งกันมาก จนอยากจะมอบโล่ให้เลย รถขับได้สวี๊ดสว๊าดได้ใจมากค่ะ นั่งรถก็คิดซะว่าเล่นเครื่องเล่นอยู่ที่ดรีมเวริ์ล ไม่ต้องกลัวตายนะคะ ปลอดภัย รถทุกคันมีประกันค่ะ 555555
ระหว่างขึ้นเขาที่นั่งอยู่บนรถ หูอื้อ ลงจากรถบุ๊ปจุกด้วยเพราะเพิ่งทานข้าวมาใหม่ๆ เรียกได้ว่าของทุกอย่างในร่างกายก็คงกระจุกอยู่ตรงไหนซะแห่ง 5555 ตลอดการเดินขึ้นเขาเต็มไปด้วยการโปรยดอกดาวเรืองของนักบุญทั้งหลายค่ะ หอมทั้งดอกไม้ ทั้งกลิ่นธูป และอาการที่บริสุทธิ์ มีแต่หมอก มีแต่น้ำค้าง ใช้เวลาเดินค่อนข้างนานค่ะเพราะเดินไปถ่ายรูปไป แวะดูวิวจากด้านบน สวยงามมาก ^^
ตลอดการเดินขึ้นเขาเต็มไปด้วยการโปรยดอกดาวเรืองของนักบุญทั้งหลายค่ะ หอมทั้งดอกไม้ ทั้งกลิ่นธูป และอาการที่บริสุทธิ์ มีแต่หมอก มีแต่น้ำค้าง ใช้เวลาเดินค่อนข้างนานค่ะเพราะเดินไปถ่ายรูปไป แวะดูวิวจากด้านบน สวยงามมาก
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงค่ะ ตอนนั้นถึงที่สักการะรอยพระพุทธบาทประมาณ 2 ทุ่มนับว่าเป็นโชคดีอีกครั้งเพราะมาตรงช่วงที่กำลังสวดมนต์ตอนสองทุ่มไม่ทราบว่าพิธีนั้นชื่ออะไร(เรียกไม่ถูกค่ะ)พอดีก็ได้มีโอกาสสวดมนต์ นั่งสมาธิสักพักก่อนที่จะไปไหว้รอยพระพุทธบาท
จากในรูปนี่ยังถือว่าคนยังน้อยนะคะ น้อยมากด้วย ก็ต่อแถวกันเข้าไปไหว้เป็นช่วงๆค่ะ บรรยากาศดีมากค่ะ หมอกลงหนามาก ตอนแรกยังเข้าใจว่าที่วัดติดตั้งพัดลมไอน้ำ ซึ่งคนที่ยืนบริเวณนั้นก็คิดเช่นเดียวกัน ยังสงสัยต่อไปว่าอากาศเย็นขนาดนี้เค้าเปิดทำไมกันนะ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าแท้จริงแล้วขาวๆที่คล้ายควันนั้นคือ “หมอก” ค่ะ เล่นเอาหัวชื้น แต่บรรยาการฟินมากค่ะ ยิ่งดึกเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ จากนั้นออกเดินทางต่อไปยังผ้าแดงอันเลื่องชื่อค่ะ การเดินทางที่ต้องใช้ทั้งความพยายามแล้วความอดทนมากๆ กว่าจะถึง เพื่อนร่วมทางที่เดินสวนกันมาต่างก็พูดให้กำลังใจว่า “อีกนิดเดียว” เดี๋ยวก็ถึง คำนี้ประมาณสามรอบได้ค่ะ ซึ่ง “ไม่นิดนะ” แต่เราก็เดินทางมาถึงและขอพรจากที่ตรงนี้ได้ค่ะ ขอซะยาวและเยอะมากผ้าแดงมีเท่าไหร่เขียนให้เต็ม 555555 ตัวเจ้าของกระทู้เองเน้นขอไปในเรื่องของครอบครัวและหน้าที่การงานค่ะเพราะใกล้จะเรียนจบแล้วขอไว้ก่อน ^^
จากนั้นเดินกลับมายังทีเดิมนั้นคือที่ไหว้รอยพระพุทธบาททางวัดก็มีที่นอนให้โดยมีเสื่อและผ้าห่มแต่ถ้าใครที่จะไปก็เตรียมเสื้อกันหนาว หรือว่าผ้าห่มอุ่นๆไว้เองอีกสักผืนก็คงจะดีนะคะ เพราะยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ
นอนหลับบ้างไม่หลับบ้างค่ะ คนค่อนข้างเยอะอีกอย่างนอนอยู่หน้าห้องน้ำเลย ตื่นมา 4 ค่ะ ตั้งใจจะตื่นมาทำวัตรเช้าฟังพระท่านสวดมนต์ และนั่งสมาธิ โดยปกติแล้วทางวัดจะทำวัตรเช้า แค่จันทร์ – ศุกร์ เพราะเสาร์ – อาทิตย์คนจะเยอะมาก (อันนี้รุ่นพี่บอกมาค่ะ) ใกล้จะเช้าแล้วตอนนั้นประมาณตี 5 ครึ่งได้ค่ะ เดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันแต่.....ไม่เห็นค่ะเพราะหมอกหนามาก มีแต่ทะเลหมอก เหมือนมาเที่ยวเหนือเด๊ะ ฟินไปตามตามกัน >//<
ไม่ว่าแสงจะสว่างสักแค่ไหนหมอกก็ยังคงแน่นหนาไม่ลดน้อยลงไปเท่าไหร่เลยค่ะ แปดโมงก็เดินลงจากเขาและรอรถที่ติดต่อไว้เพื่อเดินทางกลับบางแสนตอนสิบโมง ถึงบางแสนตอนบ่ายโมงโดยสวัสดิภาพค่ะ
......ปิดทริปความประทับใจและอิ่มบุญแบบสุดขีดเขาคิชฌกูฎดินแดนแห่งความศรัทธา.....
ปล. ชุดเดิมซักแห้งค่ะ >///< เขินแปล๊บ -----> ใครมีความประทับใจ มาแชร์กันน๊า ^^ <------
เขาคิชฌกูฎเส้นทางแห่งความศรัทธา
ตอนแรกว่าจะไม่โทรให้รถที่วัดมารับค่ะ เพราะสอบถามจากคนแถวนั้นเค้าบอกว่า มีรถเข้าไปแต่ไม่ถึงวัดพลวงจะสิ้นสุดแค่ที่วัดกระทิง แต่เราต้องลงหน้าวัดกระทิงแล้วต่อรถเข้าไปที่วัดพลวงอีกทีหนึง แต่……….เรารอรถนานมากค่ะ รอจนคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง 55555 เลยตัดสินใจโทรหารถที่วัดพลวงให้มารับเรา ก็คุยกับพี่นัดแนะกันว่าให้มารับที่ไหน เรียบร้อยค่ะ ค่ารถไปส่งถึงวัดก็หัวละ 150 บาท ขณะที่รอรถมารับไปที่วัดรถที่เข้าไปยังกระทิงที่กะขึ้นในตอนแรกนั้นก็ขับผ่านเราต่อหน้าต่อตาในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 2 คัน 555555555 รอตั้งนานไม่ยักกะมา = =” จากนั้นพอรถที่เราติดต่อไว้ก็มารับค่ะ ระหว่างเดินทางไปวัดก็ คุยกันไปคุยกันมา บังเอิ๊ญ บังเอิญ พี่ที่มารับเราจบจากมอบูร คณะศิลปกรรมศาสตร์ บ้านใกล้เรียนเคียงกับคณะที่เจ้าของกระทู้เรียนพี่แกกลับมาช่วยที่บ้านเพราะคนขาดแม่ให้มา ขากลับเราก็ยังใช้บริการพี่เค้า พี่เค้าติดต่อรถที่จะมารับเรากลับบางแสนให้ด้วย บริการดีมากค่ะ แถมพี่แกก็ใจดีลดค่ารถให้ด้วย ^^ เมื่อนั่งรถมาถึงวัดค่ะเราก็เจอภาพนี้เลย...
นับว่าเป็นข้อดีของการไปวันธรรมดา คือคนน้อยอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ปกตินี่คือต้องเบียดแล้วเบียดอีกกว่าจะได้เข้าไปไหว้ เดินทางโปร่ง สบายเมื่อไหว้พระที่ด้านล่างเสร็จแล้วเราก็เดินไปหาอาหารทานที่ศูนย์อาหารของวัดค่ะ ตอนแรกคิดว่าอาหารที่นี่ต้องแพงแน่ๆแต่เราคิดผิดค่ะ
ต้มยำเย็นตาโฟชามนี้ราคา อยู่ที่ 40 บาท ทั้งนี้ราคาอาหารแต่ละจุดขายไม่เท่ากันนะครัช ยิ่งเป็นจุดพักรอยต่อที่จะเดินไปถึงผ้าแดง ยิ่งแพง มาม่ากระป๋องละ 30 บาท น้ำเปล่าขวดละ 20 บาท - -" แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะเราก็เขาอกเข้าใจขนาดเราเดินทางแค่แบกสัมภาระของเราเองเรายังโอดควรแล้วโอดควรอีก ซึ่งแต่ละร้านที่ขายอยู่บนเขาต้องจ้างคนแบกขึ้นไปเที่ยวละ 200 ถ้าเปรียบน้ำเที่ยวหนึงขนแค่ 4 แพ็ค แล้วเขาต้องขนกี่เที่ยวเพื่อมาขายให้นักบุญจำนวนมหาศาล เราก็มองมาที่คนรับจ้างต่ออีกว่าเค้าเก่งดีนะ ถ้าเป็นเราเราคงทำไม่ได้อย่างเค้า เขาที่มีความสูงชันต่างระดับสลับกันไปมา ต้องเอ่ยปากชมว่า ทั้งเก่งและถึกจริงๆ มาถึงขั้นตอนของการขึ้นเขาค่ะ ตอนแรกตั้งใจจะเดินขึ้นเขาโดยไม่นั่งรถ แต่ทางเงียบสงบมากเมื่อเป็นเช่นนั้น นั่งรถจะดีกว่า 55555
- หลายคนที่ติดตามข่าวว่ามีการทะเลาะกันเกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์ปัญหาภายในวัดเกิดการแทรกแซงจากคนที่มีอิทธิพลภายนอก หรือมองว่ากังวลถ้าไปเงินของเราจะถูกนำไปในทางอื่นที่ไม่ใช่ในการบำรุงศาสนา ขอบอกว่า อย่าไปสนใจในแง่นั้น แค่เรามีใจที่ศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีใจที่จะไปทำบุญ แค่นี้จริงๆเราก็ได้กุศลแล้วนะ อย่าไปคิดมากค่ะ ค่าตั๋วรถขึ้นเขาก็เที่ยวละ 50 บาทค่ะ ครั้งหนึงขึ้นสองเที่ยวไปกลับขึ้น – ลงรวม 200 บาทค่ะ
เค้าขับรถได้เก่งกันมาก จนอยากจะมอบโล่ให้เลย รถขับได้สวี๊ดสว๊าดได้ใจมากค่ะ นั่งรถก็คิดซะว่าเล่นเครื่องเล่นอยู่ที่ดรีมเวริ์ล ไม่ต้องกลัวตายนะคะ ปลอดภัย รถทุกคันมีประกันค่ะ 555555
ระหว่างขึ้นเขาที่นั่งอยู่บนรถ หูอื้อ ลงจากรถบุ๊ปจุกด้วยเพราะเพิ่งทานข้าวมาใหม่ๆ เรียกได้ว่าของทุกอย่างในร่างกายก็คงกระจุกอยู่ตรงไหนซะแห่ง 5555 ตลอดการเดินขึ้นเขาเต็มไปด้วยการโปรยดอกดาวเรืองของนักบุญทั้งหลายค่ะ หอมทั้งดอกไม้ ทั้งกลิ่นธูป และอาการที่บริสุทธิ์ มีแต่หมอก มีแต่น้ำค้าง ใช้เวลาเดินค่อนข้างนานค่ะเพราะเดินไปถ่ายรูปไป แวะดูวิวจากด้านบน สวยงามมาก ^^
ตลอดการเดินขึ้นเขาเต็มไปด้วยการโปรยดอกดาวเรืองของนักบุญทั้งหลายค่ะ หอมทั้งดอกไม้ ทั้งกลิ่นธูป และอาการที่บริสุทธิ์ มีแต่หมอก มีแต่น้ำค้าง ใช้เวลาเดินค่อนข้างนานค่ะเพราะเดินไปถ่ายรูปไป แวะดูวิวจากด้านบน สวยงามมาก
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงค่ะ ตอนนั้นถึงที่สักการะรอยพระพุทธบาทประมาณ 2 ทุ่มนับว่าเป็นโชคดีอีกครั้งเพราะมาตรงช่วงที่กำลังสวดมนต์ตอนสองทุ่มไม่ทราบว่าพิธีนั้นชื่ออะไร(เรียกไม่ถูกค่ะ)พอดีก็ได้มีโอกาสสวดมนต์ นั่งสมาธิสักพักก่อนที่จะไปไหว้รอยพระพุทธบาท
จากในรูปนี่ยังถือว่าคนยังน้อยนะคะ น้อยมากด้วย ก็ต่อแถวกันเข้าไปไหว้เป็นช่วงๆค่ะ บรรยากาศดีมากค่ะ หมอกลงหนามาก ตอนแรกยังเข้าใจว่าที่วัดติดตั้งพัดลมไอน้ำ ซึ่งคนที่ยืนบริเวณนั้นก็คิดเช่นเดียวกัน ยังสงสัยต่อไปว่าอากาศเย็นขนาดนี้เค้าเปิดทำไมกันนะ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าแท้จริงแล้วขาวๆที่คล้ายควันนั้นคือ “หมอก” ค่ะ เล่นเอาหัวชื้น แต่บรรยาการฟินมากค่ะ ยิ่งดึกเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ จากนั้นออกเดินทางต่อไปยังผ้าแดงอันเลื่องชื่อค่ะ การเดินทางที่ต้องใช้ทั้งความพยายามแล้วความอดทนมากๆ กว่าจะถึง เพื่อนร่วมทางที่เดินสวนกันมาต่างก็พูดให้กำลังใจว่า “อีกนิดเดียว” เดี๋ยวก็ถึง คำนี้ประมาณสามรอบได้ค่ะ ซึ่ง “ไม่นิดนะ” แต่เราก็เดินทางมาถึงและขอพรจากที่ตรงนี้ได้ค่ะ ขอซะยาวและเยอะมากผ้าแดงมีเท่าไหร่เขียนให้เต็ม 555555 ตัวเจ้าของกระทู้เองเน้นขอไปในเรื่องของครอบครัวและหน้าที่การงานค่ะเพราะใกล้จะเรียนจบแล้วขอไว้ก่อน ^^
จากนั้นเดินกลับมายังทีเดิมนั้นคือที่ไหว้รอยพระพุทธบาททางวัดก็มีที่นอนให้โดยมีเสื่อและผ้าห่มแต่ถ้าใครที่จะไปก็เตรียมเสื้อกันหนาว หรือว่าผ้าห่มอุ่นๆไว้เองอีกสักผืนก็คงจะดีนะคะ เพราะยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ
นอนหลับบ้างไม่หลับบ้างค่ะ คนค่อนข้างเยอะอีกอย่างนอนอยู่หน้าห้องน้ำเลย ตื่นมา 4 ค่ะ ตั้งใจจะตื่นมาทำวัตรเช้าฟังพระท่านสวดมนต์ และนั่งสมาธิ โดยปกติแล้วทางวัดจะทำวัตรเช้า แค่จันทร์ – ศุกร์ เพราะเสาร์ – อาทิตย์คนจะเยอะมาก (อันนี้รุ่นพี่บอกมาค่ะ) ใกล้จะเช้าแล้วตอนนั้นประมาณตี 5 ครึ่งได้ค่ะ เดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันแต่.....ไม่เห็นค่ะเพราะหมอกหนามาก มีแต่ทะเลหมอก เหมือนมาเที่ยวเหนือเด๊ะ ฟินไปตามตามกัน >//<
ไม่ว่าแสงจะสว่างสักแค่ไหนหมอกก็ยังคงแน่นหนาไม่ลดน้อยลงไปเท่าไหร่เลยค่ะ แปดโมงก็เดินลงจากเขาและรอรถที่ติดต่อไว้เพื่อเดินทางกลับบางแสนตอนสิบโมง ถึงบางแสนตอนบ่ายโมงโดยสวัสดิภาพค่ะ
......ปิดทริปความประทับใจและอิ่มบุญแบบสุดขีดเขาคิชฌกูฎดินแดนแห่งความศรัทธา.....
ปล. ชุดเดิมซักแห้งค่ะ >///< เขินแปล๊บ -----> ใครมีความประทับใจ มาแชร์กันน๊า ^^ <------