ความก่อนหน้า
http://pantip.com/topic/33261698
วันนี้เราต้องตื่นกันตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อที่จะเดินขึ้นภูเขา ไฟของเกาะIsabela รถมารับเราตั้งแต่ 7 โมงเช้า และเวียนรับคนจากโรงแรมต่างๆ คณะที่เราไปด้วยประมาณ 16 คน เรานั่งรถตู้ขึ้นเขา ในขณะที่รถกำลังขึ้นเขาฝนก็ตกลงมา จริงๆแล้วฝนมันไม่หนักมาก มันเป็นฝอยๆ แต่ระยะถี่มากทีเดียว แถมมีหมอกลงอีก จากวิสัยทัศน์ มันไม่น่าจะเห็นอะไรนอกจากหมอก และหมอก และที่แน่ๆ มันเปียก เปียกทั้งคนทั้งกล้องนั่นแหละ คนเปียกไม่กลัว กล้องเปียกค่ารักษาพยาบาลกล้อง มันคงแพงไม่ใช่เล่น แถมเราจะอดถ่ายภาพตลอดการเดินทางเลยทีเดียว
หมอเริ่มถามไกด์ ว่า “อากาศแบบนี้มันจะเห็นอะไร”
คำตอบมันคือ “มันคือธรรมชาติ เราก็มีความสุขกับสิ่งรอบข้างสิ”
อ้าว!!! มันแปลว่าไม่เห็นอะไรชัดๆ นอกจากหมอกและฝน หมอเริ่มร้องไม่ยอมเดิน กลัวกล้องพินาศ สรุปเราโบกรถที่ไปส่งนักท่องเที่ยวเดินภูเขาไฟกลับไปยังที่พัก จากนั้นเราก็ตัดสินใจปั่นจักรยานกลับไปที่เขาลูกเดิม ขี่ไปกลับ 18 กิโลเมตรอีกครั้ง
คราวนี้เราจะปั่นไปให้ถึงปลายทางให้ได้ แต่โชคไม่เข้าข้างเราเอาซะเลยวันนี้ จักรยานที่ได้มาแย่กว่าวันแรกอีก ถ้าใครเคยปั่นจักรยานคงจะเข้าใจ
เวลาเราลงจากเนิน มันจะมีแรงส่งให้ขึ้นเนินถัดไปได้สักพัก พอจักรยานชะลอเราจะปั่นเล็กน้อยให้จักรยานขึ้นถึงยอดได้อย่างไม่ยากเย็น แต่นี่มันปั่นแล้วเท้าเราฟรี ปั่นไปไม่มีประโยชน์จนกว่ามันจะใกล้หยุดสุดๆ แล้วถึงจะปั่นได้ มีเกียร์แต่เกียร์ไม่ทำงาน จะมีกี่เกียร์ก็ตามใช้ได้เกียร์เดียว คือเกียร์ที่ถูกตั้งเอาไว้แต่แรกนั่นแหละ
แดดร้อนมาก ร้อนจนเผาแขนและหน้าขา จากแดงกลายเป็นดำ มันร้อนกว่าวันแรกอีก ช่างทุกข์ทรมาน แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ก็อดทนต่อไป ในที่สุดเราก็ถึงปลายทาง ที่นั่นมันมีชื่อภาษาอังกฤษว่า "THE WALL OF TEARS" สิ่งที่เราเห็นคือกำแพงที่ใช้หินซ้อนๆกันให้สูงสัก 10 กว่าเมตรได้มั้ง ยาวสัก 200-300 เมตร และมีบันไดเดินขึ้นอีกสัก 100 ขั้น ขึ้นไปดูจุดชมวิว ดูจุดชมวิวจริงๆ ก็วิวไง ป่าตะบองเพชรกับต้นไม้อันแห้งแล้ง กำแพงก็ขนาดที่บอกนั่นแหละ หมดละ 18 กิโลเมตรนะ มีแค่นี้อ่ะ!!!!! แงๆๆๆๆๆ. มันให้ความรู้สึกว่า เมื่อเราเห็นกำแพงแห่งน้ำตา น้ำตาเราก็จะไหลพลากๆ มันเหนื่อยนะ มีแค่นี้เหรอ ง่ะ!!! เห็นแล้วอึ้งกับระยะทาง ที่นี่มีประวัตินะ มันเป็นจุดที่นักโทษการเมืองถูกจับมาปล่อยเกาะ แล้วบังคับให้สร้างกำแพงเพื่อกันตัวเองหนี สุดท้ายทนความเหนื่อยยากไม่ไหว เลยต้องตายจากไป เป็นเหตุให้ผู้คนมากมายตายเพราะกำแพงแห่งนี้ บางช่วงเหมือนเรื่องเล่ากำแพงเมืองจีนป่ะ เรื่องเดียวกันเลยนะว่ามั้ย พอเราเห็นกำแพงแห่งน้ำตา พร้อมกับความเศร้าหมองของเรา เพราะถีบจักรยานไกลนะ มันทำให้ไม่ได้ซาบซึ้งกับเรื่องราวที่อ่านเลย คือมันเหนื่อยอ่ะ ถีบจักรยาน ไปกลับ 18 กิโลเมตรเพื่อมาดูกำแพงเล็กๆ น่ารัก แถมไซด์ของกำแพงระหว่าง กำแพงแห่งน้ำตา กับกำแพงเมืองจีนเนี่ย มัน มันออกแนว ทวดกำแพงกับ เหลนกำแพงเลยนะ

เราตัดสินใจออกจากเกาะ Isabela ก่อนกำหนดเพราะมันไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว และตอนนี้เวลาฉันเดินผ่านอีกัวน่า แมวน้ำ หรือเต่า มันเริ่มให้ความรู้สึกเหมือนเห็นหมาแมวแถวบ้านเลย ต่างคนต่างเดินละกัน เราตัดสินใจจองโรงแรม ซื้อตั๋วเรือเดินทางไปยังเกาะ San Cristobel ในวันรุ่งขึ้น
วันเดินทางออกจากเกาะ วันนี้เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อที่จะเดินทางข้ามเกาะ ตามกำหนดการเราต้องขึ้นเรือจาก เกาะ Isabela ตอน 6 โมงเชัา ถึง Santa Cruz ตอน 8 โมงเช้า แล้วนั่งเรือรอบบ่ายสอง ถึง San Cristobel ตอน 5 โมงเย็น แต่ด้วยความวุ่นวายในช่วงเช้าที่มีคนจำนวนมาก และเรือหลายลำ เจ้าหน้าที่ประจำเรือก็ไม่รู้ลำไหนเป็นใคร ไม่มีป้ายบอกใดๆทั้งสิ้น เราต้องเดินหาเอาเองแล้วเอากระดาษโชว์ให้คนที่ถือแผ่นกระดานดูว่าเรามีรายชื่ออยู่ในนั้นมั้ย เราลงเรือผิดด้วย กระเป๋าโหลดไปแล้วต้องยกขึ้นมาใหม่มันหนักมากนะ สุดท้ายเราก็หาเรือของเราเจอ กว่าจะได้ออกเรือก็ช้าไปครึ่งชั่วโมง
ในขณะที่เรากำลังจะลงเรือ ก็มีหนุ่มผมทองเดินมาคุยกับหมอ ในช่วงที่เรานั่งเรือแสนลำบาก ฉันก็พบว่า หนุ่มคนนั้นตามจีบเพื่อนเราซะแล้ว นั่งมองอย่างสนใจ ถึงเกาะ Santa Cruz เราตั้งใจจะไปกินซูชิ ปรากฎว่ามันปิด อยากกินรอ 4 โมงเย็น อดเลย เสียใจจัง เราไปหาอะไรกินเรื่อยเปื่อย เราพบคนไทยที่นี่ด้วยดีใจมาก เค้ามากันเป็นครอบครัว แล้วซื้อล๊อบเตอร์ไปกินตั้ง 10 กิโลอ่ะ เยอะมากกกกกก
แล้วเรานั่งเรือแท๊กซี่ ไปที่ Las Grietas หลังจากขึ้นจากเรือเราก็เดินไปอีกสัก 15 นาที ก็ถึงปากทางเข้า ที่นี่จำกัดจำนวนคน ต้องรอคนออกก่อนถึงจะเข้าได้ หนึ่งคนห้ามอยู่เกิน 1 ชั่วโมง เรารอจนได้สิทธ์เข้าไป และที่นั่นเราก็พบกับหนุ่มคนเดิมที่มีถ้าทีสนใจหมอ พวกเขาสองคนเดินคุยกัน ทำความรู้จักกันอีกระยะ หลังจากที่ได้คุยกันบนเรือมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว จากนั้นเรา 3 คน ต้องเดินไปอีก 10 กว่านาทีก็ถึงจุดหมาย
สิ่งที่เห็นคือช่องเขาที่มีน้ำอยู่ตรงกลางระหว่างหน้าผา แต่มันไม่ติดทะเลนะ ด้านหลังมีหินขวางอยู่ แต่ฉันเชื่อว่าต้องมีทางน้ำให้น้ำไหลเข้าออกได้ อาจจะเป็นอุโมงใต้น้ำก็ได้ เพราะน้ำมันใส เหมือนน้ำที่ไหลเวียนได้เป็นอย่างดี ถ่ายรูปเสร็จเราก็กลับเพราะใกล้เวลาเรือออกแล้ว แต่สำหรับ โคล หนุ่มผมทองที่เราพบระหว่างทาง ยังคงสนุกกับการเล่นน้ำอีกระยะ ก่อนจะกลับไปยังเกาะ Santa Cruz เพื่อต่อเรือไปยังเกาะ San Cristobal
บ่ายโมงกว่าเราก็มารอเรือ ที่นี่ความวุ่นวายน้อยกว่าการลงเรือที่ Isabela เราเลยลงเรือตรงเวลา และเราก็ได้พบโคลอีกครั้งบนเรือนี้ โคลกับหมอก็คุยกันสนุกสนานตลอดการเดินทาง ในขณะนั่งเรือ เราสัมผัสได้ว่าเรือขับฝ่าคลื่นสูง สูงกว่าครึ่งลำเรือ บางครั้งก็สูงมากจนเรือต้องหยุดแล่นเลยทีเดียว เป็นแบบนี้เกือบตลอดทาง มันทำให้เราจุกไปหมด แต่ในความน่ากลัวเราก็ได้เห็น.... ปลาโลมาหลายตัว มันว่ายน้ำเล่นอยู่ แล้วกระโดดตีลังกาหนึ่งรอบโชว์เราอีกต่างหาก มันสุดยอด ก็เพิ่งเห็นอ่ะ ฉันเลยตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ ลองเห็นจนเกินอิ่มเมื่อไหร่ ฉันคงเห็นมันเป็นปลาทูนึ่งในตลาดอีกแน่ๆเลย นอกจากความตื่นเต้นจากความน่ากลัว ว่าเรือจะคว่ำแล้ว ฉันยังจินตนาการต่ออีก ถ้าเรือคว่ำจะมีใครมาเราเก็บป่าว Passport จะทำใหม่ยังไง ที่นี่ไม่มีสถานฑูตไทยนะ คิดเพ้อเจ้อมากมาย
พอถึงฝั่งเราก็ขนของขึ้นจากเรือ ในขณะที่เรากำลังจะแบกเป้ โคลก็เดินมาหาหมอ แล้วบอกหมอว่าคืนนี้จะแวะไปหา ฟังแล้วงง แต่ก็เข้าใจมันเป็นเรื่องปกติของฝรั่ง คงอยากจะทำความรู้จักกันต่ออีกระยะก่อนจากกันละกระมัง จากนั้นเราสองคนก็เดินหาแท็กซี่เพื่อที่จะไปโรงแรมที่เราจองเอาไว้ ว่างของเสร็จ เราก็ไปเดินเล่นที่ชายหาดกัน ถ่ายรูปเล่น และหาอาหารเย็นกินแถวชายหาด ก่อนจะกลับมาพักผ่อนที่ห้อง จนแล้วจนรอด โคลก็ไม่มา มันหายไปเฉยเลย แล้วจะมานัดทำไมเนี่ย หรือว่าหาเราไม่เจอกันนะ
ขอบฟ้าไกล ใครว่าไปไม่ถึง : กาลาปากอส, เอกวาดอร์ 3_5
วันนี้เราต้องตื่นกันตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อที่จะเดินขึ้นภูเขา ไฟของเกาะIsabela รถมารับเราตั้งแต่ 7 โมงเช้า และเวียนรับคนจากโรงแรมต่างๆ คณะที่เราไปด้วยประมาณ 16 คน เรานั่งรถตู้ขึ้นเขา ในขณะที่รถกำลังขึ้นเขาฝนก็ตกลงมา จริงๆแล้วฝนมันไม่หนักมาก มันเป็นฝอยๆ แต่ระยะถี่มากทีเดียว แถมมีหมอกลงอีก จากวิสัยทัศน์ มันไม่น่าจะเห็นอะไรนอกจากหมอก และหมอก และที่แน่ๆ มันเปียก เปียกทั้งคนทั้งกล้องนั่นแหละ คนเปียกไม่กลัว กล้องเปียกค่ารักษาพยาบาลกล้อง มันคงแพงไม่ใช่เล่น แถมเราจะอดถ่ายภาพตลอดการเดินทางเลยทีเดียว
หมอเริ่มถามไกด์ ว่า “อากาศแบบนี้มันจะเห็นอะไร”
คำตอบมันคือ “มันคือธรรมชาติ เราก็มีความสุขกับสิ่งรอบข้างสิ”
อ้าว!!! มันแปลว่าไม่เห็นอะไรชัดๆ นอกจากหมอกและฝน หมอเริ่มร้องไม่ยอมเดิน กลัวกล้องพินาศ สรุปเราโบกรถที่ไปส่งนักท่องเที่ยวเดินภูเขาไฟกลับไปยังที่พัก จากนั้นเราก็ตัดสินใจปั่นจักรยานกลับไปที่เขาลูกเดิม ขี่ไปกลับ 18 กิโลเมตรอีกครั้ง
คราวนี้เราจะปั่นไปให้ถึงปลายทางให้ได้ แต่โชคไม่เข้าข้างเราเอาซะเลยวันนี้ จักรยานที่ได้มาแย่กว่าวันแรกอีก ถ้าใครเคยปั่นจักรยานคงจะเข้าใจ
เวลาเราลงจากเนิน มันจะมีแรงส่งให้ขึ้นเนินถัดไปได้สักพัก พอจักรยานชะลอเราจะปั่นเล็กน้อยให้จักรยานขึ้นถึงยอดได้อย่างไม่ยากเย็น แต่นี่มันปั่นแล้วเท้าเราฟรี ปั่นไปไม่มีประโยชน์จนกว่ามันจะใกล้หยุดสุดๆ แล้วถึงจะปั่นได้ มีเกียร์แต่เกียร์ไม่ทำงาน จะมีกี่เกียร์ก็ตามใช้ได้เกียร์เดียว คือเกียร์ที่ถูกตั้งเอาไว้แต่แรกนั่นแหละ
แดดร้อนมาก ร้อนจนเผาแขนและหน้าขา จากแดงกลายเป็นดำ มันร้อนกว่าวันแรกอีก ช่างทุกข์ทรมาน แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ก็อดทนต่อไป ในที่สุดเราก็ถึงปลายทาง ที่นั่นมันมีชื่อภาษาอังกฤษว่า "THE WALL OF TEARS" สิ่งที่เราเห็นคือกำแพงที่ใช้หินซ้อนๆกันให้สูงสัก 10 กว่าเมตรได้มั้ง ยาวสัก 200-300 เมตร และมีบันไดเดินขึ้นอีกสัก 100 ขั้น ขึ้นไปดูจุดชมวิว ดูจุดชมวิวจริงๆ ก็วิวไง ป่าตะบองเพชรกับต้นไม้อันแห้งแล้ง กำแพงก็ขนาดที่บอกนั่นแหละ หมดละ 18 กิโลเมตรนะ มีแค่นี้อ่ะ!!!!! แงๆๆๆๆๆ. มันให้ความรู้สึกว่า เมื่อเราเห็นกำแพงแห่งน้ำตา น้ำตาเราก็จะไหลพลากๆ มันเหนื่อยนะ มีแค่นี้เหรอ ง่ะ!!! เห็นแล้วอึ้งกับระยะทาง ที่นี่มีประวัตินะ มันเป็นจุดที่นักโทษการเมืองถูกจับมาปล่อยเกาะ แล้วบังคับให้สร้างกำแพงเพื่อกันตัวเองหนี สุดท้ายทนความเหนื่อยยากไม่ไหว เลยต้องตายจากไป เป็นเหตุให้ผู้คนมากมายตายเพราะกำแพงแห่งนี้ บางช่วงเหมือนเรื่องเล่ากำแพงเมืองจีนป่ะ เรื่องเดียวกันเลยนะว่ามั้ย พอเราเห็นกำแพงแห่งน้ำตา พร้อมกับความเศร้าหมองของเรา เพราะถีบจักรยานไกลนะ มันทำให้ไม่ได้ซาบซึ้งกับเรื่องราวที่อ่านเลย คือมันเหนื่อยอ่ะ ถีบจักรยาน ไปกลับ 18 กิโลเมตรเพื่อมาดูกำแพงเล็กๆ น่ารัก แถมไซด์ของกำแพงระหว่าง กำแพงแห่งน้ำตา กับกำแพงเมืองจีนเนี่ย มัน มันออกแนว ทวดกำแพงกับ เหลนกำแพงเลยนะ
เราตัดสินใจออกจากเกาะ Isabela ก่อนกำหนดเพราะมันไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว และตอนนี้เวลาฉันเดินผ่านอีกัวน่า แมวน้ำ หรือเต่า มันเริ่มให้ความรู้สึกเหมือนเห็นหมาแมวแถวบ้านเลย ต่างคนต่างเดินละกัน เราตัดสินใจจองโรงแรม ซื้อตั๋วเรือเดินทางไปยังเกาะ San Cristobel ในวันรุ่งขึ้น
วันเดินทางออกจากเกาะ วันนี้เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อที่จะเดินทางข้ามเกาะ ตามกำหนดการเราต้องขึ้นเรือจาก เกาะ Isabela ตอน 6 โมงเชัา ถึง Santa Cruz ตอน 8 โมงเช้า แล้วนั่งเรือรอบบ่ายสอง ถึง San Cristobel ตอน 5 โมงเย็น แต่ด้วยความวุ่นวายในช่วงเช้าที่มีคนจำนวนมาก และเรือหลายลำ เจ้าหน้าที่ประจำเรือก็ไม่รู้ลำไหนเป็นใคร ไม่มีป้ายบอกใดๆทั้งสิ้น เราต้องเดินหาเอาเองแล้วเอากระดาษโชว์ให้คนที่ถือแผ่นกระดานดูว่าเรามีรายชื่ออยู่ในนั้นมั้ย เราลงเรือผิดด้วย กระเป๋าโหลดไปแล้วต้องยกขึ้นมาใหม่มันหนักมากนะ สุดท้ายเราก็หาเรือของเราเจอ กว่าจะได้ออกเรือก็ช้าไปครึ่งชั่วโมง
ในขณะที่เรากำลังจะลงเรือ ก็มีหนุ่มผมทองเดินมาคุยกับหมอ ในช่วงที่เรานั่งเรือแสนลำบาก ฉันก็พบว่า หนุ่มคนนั้นตามจีบเพื่อนเราซะแล้ว นั่งมองอย่างสนใจ ถึงเกาะ Santa Cruz เราตั้งใจจะไปกินซูชิ ปรากฎว่ามันปิด อยากกินรอ 4 โมงเย็น อดเลย เสียใจจัง เราไปหาอะไรกินเรื่อยเปื่อย เราพบคนไทยที่นี่ด้วยดีใจมาก เค้ามากันเป็นครอบครัว แล้วซื้อล๊อบเตอร์ไปกินตั้ง 10 กิโลอ่ะ เยอะมากกกกกก
แล้วเรานั่งเรือแท๊กซี่ ไปที่ Las Grietas หลังจากขึ้นจากเรือเราก็เดินไปอีกสัก 15 นาที ก็ถึงปากทางเข้า ที่นี่จำกัดจำนวนคน ต้องรอคนออกก่อนถึงจะเข้าได้ หนึ่งคนห้ามอยู่เกิน 1 ชั่วโมง เรารอจนได้สิทธ์เข้าไป และที่นั่นเราก็พบกับหนุ่มคนเดิมที่มีถ้าทีสนใจหมอ พวกเขาสองคนเดินคุยกัน ทำความรู้จักกันอีกระยะ หลังจากที่ได้คุยกันบนเรือมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว จากนั้นเรา 3 คน ต้องเดินไปอีก 10 กว่านาทีก็ถึงจุดหมาย
สิ่งที่เห็นคือช่องเขาที่มีน้ำอยู่ตรงกลางระหว่างหน้าผา แต่มันไม่ติดทะเลนะ ด้านหลังมีหินขวางอยู่ แต่ฉันเชื่อว่าต้องมีทางน้ำให้น้ำไหลเข้าออกได้ อาจจะเป็นอุโมงใต้น้ำก็ได้ เพราะน้ำมันใส เหมือนน้ำที่ไหลเวียนได้เป็นอย่างดี ถ่ายรูปเสร็จเราก็กลับเพราะใกล้เวลาเรือออกแล้ว แต่สำหรับ โคล หนุ่มผมทองที่เราพบระหว่างทาง ยังคงสนุกกับการเล่นน้ำอีกระยะ ก่อนจะกลับไปยังเกาะ Santa Cruz เพื่อต่อเรือไปยังเกาะ San Cristobal
บ่ายโมงกว่าเราก็มารอเรือ ที่นี่ความวุ่นวายน้อยกว่าการลงเรือที่ Isabela เราเลยลงเรือตรงเวลา และเราก็ได้พบโคลอีกครั้งบนเรือนี้ โคลกับหมอก็คุยกันสนุกสนานตลอดการเดินทาง ในขณะนั่งเรือ เราสัมผัสได้ว่าเรือขับฝ่าคลื่นสูง สูงกว่าครึ่งลำเรือ บางครั้งก็สูงมากจนเรือต้องหยุดแล่นเลยทีเดียว เป็นแบบนี้เกือบตลอดทาง มันทำให้เราจุกไปหมด แต่ในความน่ากลัวเราก็ได้เห็น.... ปลาโลมาหลายตัว มันว่ายน้ำเล่นอยู่ แล้วกระโดดตีลังกาหนึ่งรอบโชว์เราอีกต่างหาก มันสุดยอด ก็เพิ่งเห็นอ่ะ ฉันเลยตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ ลองเห็นจนเกินอิ่มเมื่อไหร่ ฉันคงเห็นมันเป็นปลาทูนึ่งในตลาดอีกแน่ๆเลย นอกจากความตื่นเต้นจากความน่ากลัว ว่าเรือจะคว่ำแล้ว ฉันยังจินตนาการต่ออีก ถ้าเรือคว่ำจะมีใครมาเราเก็บป่าว Passport จะทำใหม่ยังไง ที่นี่ไม่มีสถานฑูตไทยนะ คิดเพ้อเจ้อมากมาย
พอถึงฝั่งเราก็ขนของขึ้นจากเรือ ในขณะที่เรากำลังจะแบกเป้ โคลก็เดินมาหาหมอ แล้วบอกหมอว่าคืนนี้จะแวะไปหา ฟังแล้วงง แต่ก็เข้าใจมันเป็นเรื่องปกติของฝรั่ง คงอยากจะทำความรู้จักกันต่ออีกระยะก่อนจากกันละกระมัง จากนั้นเราสองคนก็เดินหาแท็กซี่เพื่อที่จะไปโรงแรมที่เราจองเอาไว้ ว่างของเสร็จ เราก็ไปเดินเล่นที่ชายหาดกัน ถ่ายรูปเล่น และหาอาหารเย็นกินแถวชายหาด ก่อนจะกลับมาพักผ่อนที่ห้อง จนแล้วจนรอด โคลก็ไม่มา มันหายไปเฉยเลย แล้วจะมานัดทำไมเนี่ย หรือว่าหาเราไม่เจอกันนะ