“ความสุขของพระ”

กราบนมัสการพระคุณเจ้า
อ้างอิง

https://www.facebook.com/PhraAjarnSuchart?fref=nf

-------
พระจะหาความสุขความสบายใจด้วยการตัดกิเลส ตัดของฟุ่มเฟือยต่างๆ ไม่ยินดีกับสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ จากการทำจิตใจให้สงบ เพราะเป็นความสุขที่แท้จริง ไม่ได้เกิดจากการใช้ของฟุ่มเฟือย จากการดูการฟังการดื่มการรับประทาน เพราะไม่จีรังถาวร สุขเพียงขณะที่ได้เสพได้สัมผัส แล้วก็เกิดความหิว เกิดความอยาก เกิดความยึดติด เหมือนกับคนติดยาเสพติด เมื่อได้ดูได้ฟังได้กินได้ดื่มแล้วก็ติดเป็นนิสัย จะต้องเสพอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่ได้เสพก็หงุดหงิดใจเบื่อหน่ายเศร้าสร้อยหงอยเหงา แต่ความสุขที่ได้จากความสงบของจิตใจ จะไม่ทำให้เรายึดติดแต่อย่างใดเป็นความสุขที่เราสามารถมีได้ตลอดเวลา เพราะมีอยู่ในตัวเรา ไม่จำเป็นต้องมีเงินมีทอง มีคนนั้นคนนี้ เพียงแต่ทำใจให้สงบนิ่งปล่อยวางได้ ก็จะมีความสุขความอิ่มความพอ ถ้าอยากจะพบกับความสุขที่แท้จริง ก็ต้องปล่อยวางความสุขปลอมทั้งหลาย เพราะไม่สามารถเอาความสุขทั้ง ๒ ชนิดมาปนกันได้ เพราะมันเป็นของตรงกันข้ามกัน เหมือนกับเหรียญถ้าจะเอาด้านหัวให้หงายขึ้น ด้านก้อยก็ต้องคว่ำลง จะให้หัวกับก้อยหงายพร้อมๆกันไม่ได้ จะให้กลางวันกลางคืนปรากฏขึ้นมาพร้อมๆกันไม่ได้ ถ้าเป็นกลางวันก็ไม่เป็นกลางคืน ถ้าเป็นกลางคืนก็ไม่เป็นกลางวัน ถ้าอยากจะได้ความสุขสงบของจิตใจ ก็ต้องละความสุขทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ความสุขที่เกิดจากการได้กินได้ดื่มได้ดูได้ฟัง ต้องงดต้องตัดไป เพื่อจะได้มีเวลามาหาความสุขภายในใจ เช่นเสาร์วันอาทิตย์แทนที่จะไปเที่ยวกัน ก็มาอยู่วัดกัน มาถือศีล ๘ อดข้าวเย็น นอนกับพื้น แต่งเนื้อแต่งตัวแบบเรียบง่าย ไม่ใช้น้ำหอมเครื่องสำอาง แล้วก็สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิกัน ควบคุมจิตใจไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องต่างๆ
ถ้าสวดมนต์ก็ให้อยู่กับการสวดมนต์อย่างเดียว สวดไปเรื่อยๆ อย่าไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ดึงใจเอาไว้ ถ้าเผลอไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ดึงกลับมาหาบทสวดมนต์ ถ้าบริกรรมพุทโธๆ ก็อยู่กับคำบริกรรมไปในใจ อย่าไปคิดถึงเรื่องอะไร ดึงกลับมาเรื่อยๆ ถ้าไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ต่อให้นั่งสมาธิเป็นชั่วโมงๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะจิตจะไม่สงบ จะสงบได้ก็ต่อเมื่อจิตไม่คิดเรื่องต่างๆ ถ้าอยู่กับบทสวดมนต์หรือการบริกรรมพุทโธๆอย่างต่อเนื่อง บางครั้งเพียง ๕ นาทีจิตก็จะรวมลง เวลารวมลงจะเหมือนกับตกหลุมตกบ่อตกเหว จะวูบลงไปแล้วก็นิ่งสงบ ตอนนั้นเรื่องอะไรต่างๆหายไปหมด ใจจะไม่รับรู้เรื่องอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นเสียงเป็นรูปเป็นกลิ่นเป็นอะไรก็ตาม ขณะนั้นใจจะไม่สนใจกับสิ่งต่างๆ จะมีความสุขอยู่กับความสงบของตน ความสุขนี้แลที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขต่างๆในโลกนี้ นัตถิ สันติ ปรังสุขัง เป็นความสุขที่พวกเราทุกคนมีสิทธิ์หาไว้เป็นสมบัติได้ ไม่ต้องเป็นคนรวย คนจนก็ได้ คนรวยก็ได้ ผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ได้ คนแก่ก็ได้ คนหนุ่มคนสาวก็ได้ เด็กก็ได้ ผู้ใหญ่ก็ได้ ถ้ารู้จักวิธีทำใจให้สงบเสียอย่างเดียว ก็จะได้รับความสุขที่ประเสริฐนี้อย่างแน่นอนทุกคน จึงควรให้ความสนใจต่อการหาความสุขแบบนี้ ด้วยการลดละหาความสุขชนิดอื่น ตัดเรื่องการอยากดู อยากฟัง อยากกิน อยากดื่ม ให้กินให้ดื่มเท่าที่จำเป็น ถ้าเป็นพระวัดนี้ก็ฉันเพียงวันละมื้อ ก็อยู่ได้แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องรับประทานถึงวันละ ๓ ครั้ง รับประทานครั้งเดียวให้พอเลยก็ได้เหมือนกับเวลาที่เติมน้ำมันรถ เติมทีเดียวให้เต็มถังไปเลย ไม่จำเป็นต้องแบ่งไว้เติมที่ละ ๓ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง เติมทีเดียวให้เต็มถังไปเลย กินไปทีเดียวให้อิ่มท้องไปเลย รับรองไม่ตาย อยู่ได้จนถึงพรุ่งนี้ แล้วค่อยกลับมากินใหม่ เพื่อจะได้ไม่ต้องมากังวลกับการรับประทาน จะได้มีเวลาปฏิบัติ นั่งสมาธิ สวดมนต์ มาวัดมารักษาศีล มาทำบุญทำทาน เพื่อความสงบร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีวิธีอื่น มีวิธีนี้เพียงวิธีเดียวเท่านั้น
ไม่มีใครทำให้เราได้ พระพุทธเจ้าทำให้เราไม่ได้ พระอริยสงฆ์ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อมีเสียงก็ทำให้เราไม่ได้ ไม่สามารถเสกเป่าประพรมน้ำมนต์ให้เราได้พบกับความสุขแบบนี้ได้ เพราะความสุขแบบนี้ต้องทำเอง อัตตา หิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ต้องปฏิบัติเอง สร้างความสุขชนิดนี้เอง ถ้ามีความตั้งใจ มีความยินดี มีความพอใจแล้ว จะไม่ยากเย็นอะไรเลย ถ้ารู้ว่ามีคุณค่าอย่างยิ่ง ก็จะเกิดความยินดี ความพอใจ ความขยันหมั่นเพียร ที่จะสร้างความสุขแบบนี้ให้เกิดขึ้น ในเบื้องต้นจึงต้องทำให้เห็นถึงคุณค่าอันวิเศษของความสุขแบบนี้ ให้เห็นว่าความสุขต่างๆที่มีอยู่ไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริง ไม่ได้เป็นที่พึ่ง ยามที่ประสบเคราะห์กรรมความทุกข์ต่างๆ แต่ความสุขในใจเป็นที่พึ่งได้ในยามที่มีความทุกข์ใจเศร้าโศกเสียใจ เพียงทำจิตให้สงบเท่านั้น ความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจต่างๆ ก็จะหายหมดไปเลย เป็นที่พึ่งทั้งในเวลาทุกข์ยากและเวลาสุข ในขณะที่ไม่ทุกข์ก็จะมีความสุขอิ่มหนำสำราญใจในขณะที่ทุกข์ก็สามารถทำให้ทุกข์หายไปได้ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะกำจัดความทุกข์ให้หายไปจากใจได้ เงินทองเป็นหมื่นล้านแสนล้านก็ไม่สามารถดับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะมีตำแหน่งสูงขนาดไหน จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นอะไรก็ตาม ก็ไม่สามารถดับความทุกข์ใจได้ มีแต่ความสงบเท่านั้นที่จะดับได้
เป็นสิ่งที่เราต้องสร้างกันขึ้นมา ด้วยการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง อย่างที่ได้มาบำเพ็ญมาปฏิบัติกันในวันนี้ เป็นการเดินเข้าหาความสงบสุขของจิตใจ เริ่มต้นด้วยการทำบุญทำทานรักษาศีล แล้วก็มาอยู่วัด มาปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์ ทำจิตใจให้สงบ บริกรรมพุทโธๆภายในใจไปเรื่อยๆ มีเวลามากน้อยเท่าไรก็ให้มุ่งมาทางนี้ ทำแต่สิ่งนี้ รับรองได้ว่าไม่ช้าก็เร็วก็จะได้พบกับความสุขที่เลิศที่ประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ได้พบได้สัมผัส ได้นำเอามาเผยแผ่สั่งสอนพวกเรา ขอให้น้อมเอามาปฏิบัติ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง อย่าประมาทนอนใจเพราะชีวิตเราไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะมีโอกาสได้ทำบุญ ได้ปฏิบัติหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่วันนี้มีโอกาสแล้ว ควรรีบฉวยโอกาสนี้เสีย น้ำขึ้นให้รีบตัก เพราะไม่รู้ว่าน้ำจะลดลงไปเมื่อไร พอลดลงไปแล้วก็จะไม่มีน้ำให้ตัก ชีวิตของเราก็เป็นอย่างนั้น ขณะนี้เรามีเวลาทำบุญ รักษาศีล มาอยู่วัด มาปฏิบัติธรรมกันได้ ก็ให้รีบตักตวงโอกาสนี้ อย่าปล่อยให้ผ่านไป เพราะเมื่อหมดโอกาสแล้ว จะมาร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจอย่างไร ก็ไม่เกิดประโยชน์.
กัณฑ์ที่ ๓๐๙ วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๐ (กำลังใจ ๓๑)
“อายุของพระศาสนา”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่