ตอนนี้งงนิดๆ ตอนมีข่าวแรกๆ บอกว่าเก็บเพื่อลดความเลื่อมล้ำ
ตอนนี้เหตุผลที่เก็บคือไม่มีเงิน แต่ๆๆๆ ไปดูงบกองทัพฟาดไป400,000ล้าน
ปีเดียวน่ะ งบมากกว่าที่จะเอาไปทำ2.2ล้าน เพื่อพัฒนาประเทศซะอีก
ข่าวเก่าเมื่อปี 52
ดร.โกร่งชี้ กม.ภาษีที่ดินซึ่ง รมว.คลังเตรียมชง ครม.อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำมากกว่าเป็นธรรม พร้อมสอนมวยหน้าที่ภาษี ด้านอดีตนายกฯ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยหวั่นคนซื้อบ้าน-อสังหาฯ แบกภาระเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในเดือน ส.ค.นี้ นายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกรรวงการคลัง เตรียมเสนอหลักการของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ... เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งหลัก การของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีโรงเรือน และที่ดินเดิมซึ่งมีมากกว่า 12 ฉบับให้ชัด เจนขึ้นจากที่แยกย่อยมากกว่า 34 อัตรา เหลืออยู่เพียง 3 อัตราเท่านั้น ประกอบด้วย
1. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ มีเพดานการจัดเก็บไม่เกิน 0.5% เช่น ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างราคา 1 ล้านบาท เสียภาษีในอัตราสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาทต่อปี
2. ภาษีที่อยู่อาศัยซึ่งไม่ได้ใช้เชิงพาณิชย์ มีเพดานจัดเก็บไม่เกิน 0.1% เช่น ราคา 1 ล้านบาท เสียภาษีในอัตราสูงสุด 1,000 บาท
3. ภาษีสำหรับที่ดินเกษตรกรรมจัดเก็บภาษีไม่เกิน 0.05% เช่น ราคาที่ดิน 1 ล้านบาท เสียภาษี 500 บาทต่อปี
สำหรับที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ กำหนดให้ ต้องเสียภาษีไม่เกิน 0.5% โดยเก็บเป็นลักษณะภาษีก้าวหน้า โดยภายใน 3 ปีถัดไป หากไม่ทำประโยชน์อีก จะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่สูงสุดได้ไม่เกิน 2% ของฐานภาษีหรือราคาประเมิน
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้สร้างภาระกับประชาชนมากเกินไป และเผื่อเวลาให้กรมธนารักษ์ดำเนินการประเมินราคาที่ดินใหม่ทั่วประเทศ 30 ล้านแปลงให้เสร็จสิ้น เมื่อกฎหมายผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา กระทรวงการคลังก็ยังมีการตราบทเฉพาะกาลยกเว้นการบังคับใช้ไว้ก่อน 2 ปี ก่อนเริ่มใช้จริงในปีที่ 3
และเมื่อเริ่มบังคับใช้จริงในปีแรกยังกำหนดข้อผ่อนปรนเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ไม่เคยเสียภาษีที่ดินและโรงเรือนมาก่อน หรือเสียเพิ่มจากที่เคยต้องเสียในช่วงก่อนหน้าให้เสียภาษีเพียง 50% ของภาษีที่ต้องจ่ายเพิ่มปีที่ 2 เพิ่มเป็นเสียภาษี 75% และปีที่ 3 เป็นต้นไปจึงจะเสียเต็มจำนวนหรือเสียภาษีเต็ม 100%
ด้านนายวีรพงษ์ รามางกูร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า การนำเอาภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งก็คือ ภาษีทรัพย์สินและมรดกมาใช้ภายใต้ข้อกำหนดที่เพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีขึ้น เป็นสิ่งที่น่าจะต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบด้าน การอธิบายเหตุผลว่า ภาษีนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้ให้รัฐ ไม่ใช่เป็นรายได้ของรัฐบาลกลาง หากแต่ต้องการให้เป็นรายได้ของท้องถิ่นเอาไว้พัฒนาท้องถิ่นตน ที่สำคัญยังเป็นไปเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมนั้น อาจจะฟังดูดี แต่ในข้อเท็จจริง หากภาษีนั้นสร้างความยุ่งยาก มีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บมาก หรือเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ทุจริตได้ง่าย หรือทำให้คุ้มค่าที่จะเลี่ยง และหนีภาษี แทนที่จะสร้างความเป็นธรรมในสังคมอย่างที่ตั้งใจ ก็อาจจะสร้างความไม่เป็นธรรมให้มากขึ้นแทน
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวต่อว่า ยิ่งถ้าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ทำให้ เกิดการเสียเปรียบในการแข่งขัน และทำลายประสิทธิภาพในการผลิต และเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวในทางเศรษฐกิจ ตลอดจนทำลายแรงจูงใจในการออม ภาษีชนิดนี้ก็ไม่ควรมีการจัดเก็บ ยิ่งถ้าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมีการปรับปรุงทั้งฐานภาษี และอัตราภาษีให้สูงขึ้น ก็น่าจะสร้างปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งในด้านจุดมุ่งหมาย และในแง่ของการปฏิบัติ
"ภาษี ควรทำหน้าที่อย่างเดียว คือ สร้างรายได้เพื่อให้รัฐสามารถนำรายได้นั้นไปจัดการสร้างระบบสาธารณูปโภคแก่ประชาชนในประเทศ หรือทำอย่างไรให้ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของผู้คนไม่แตกต่างกันมาก ในสมัยที่สังคม นิยมกำลังพัดแรง หลายคนมีความคิดที่จะใช้ ภาษีอากรเป็นเครื่องมือในการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในด้านรายได้และทรัพย์สิน แต่ถึงวันนี้ ความคิดแบบเก่าเหล่านั้นเปลี่ยนไปแล้ว และสำคัญน้อยกว่าความแตกต่างทางด้านความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิต" นายวีรพงษ์ กล่าว และว่า ผลของการจัดเก็บภาษีนี้ อาจจะทำให้มีผู้คนบางกลุ่มบางเหล่า ไม่มีความสามารถในการเสียภาษี เพราะผลตอบแทนของที่ดิน หรือทรัพย์สินมีอัตราต่ำกว่าภาษี ก็อาจจะถูกทางการฟ้องร้องบังคับขาย เพื่อนำเงินมาชำระภาษีได้
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวอีกว่า ที่สำคัญคือ อัตราภาษีที่สูงเกินไป อาจจะทำให้คนในเมืองต้องแบ่งแยกกันอยู่ เป็นย่านคนรวย กับย่านคนจน เหมือนอย่างในต่างประเทศ หรือเมืองใหญ่ๆหลายแห่ง ซึ่งรัฐบาลหลายประเทศอยากจะเลิก และก็ทยอยเลิกใช้กฎหมายแบบเดียวกันนี้ไปแล้วจำนวนไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ภาษีที่ดิน ทรัพย์สิน หรือสิ่งปลูกสร้างที่สูง อาจจะทำให้ราคาทรัพย์สิน หรือราคาอสังหาริมทรัพย์มีราคาลดลง เพราะอย่างที่บอก ถ้าเจ้าของที่ดิน ทรัพย์สิน หรือสิ่งปลูกสร้างไม่มีความสามารถในการเสียภาษี เนื่องจากผลตอบแทนในที่ดิน และทรัพย์สินนั้นๆ ต่ำกว่าอัตราภาษี เจ้าของก็จะต้องประกาศขายทรัพย์สินที่มีในมือออกไป ถ้าไม่รีบขาย รัฐก็อาจเข้ามายึด เมื่อเป็นเช่นนี้ ราคาย่อมต้องลดลง ปัญหายังมีอยู่ด้วยว่า ถ้าจะต้องใช้เจ้าพนักงานในการประเมินประเภทที่ดิน ขนาดของที่ดิน และการใช้ประโยชน์ ของที่ดินแล้วล่ะก็ โอกาสที่เจ้าพนักงานจะมีความผิดพลาดทั้งที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ จะมีอยู่สูงมาก ทีนี้คนที่รับกรรมก็คือ ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน และทรัพย์สินนั้น
นายวีรพงษ์ยัง กล่าวด้วยว่า คนมีมรดกก็จำเป็นจะต้องสละมรดก เพราะเวลาที่พ่อแม่ตาย ทรัพย์สินต่างๆ ที่พ่อแม่ทิ้งไว้ จะต้องมาตีมูลค่าทรัพย์สินเพื่อเสียภาษีให้แก่รัฐ ทีนี้ ถ้าพ่อแม่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอีที่ทำกันมาจากครัวเรือนหลายชั่วอายุคน บรรดาลูกๆหลานๆที่รับมรดกหรือมีสิทธิได้รับมรดกตกทอดก็ต้องขายออกไป แล้วไปเป็นลูกจ้างเขาดีกว่า อย่างที่กล่าวไว้ว่า เมื่อมีการขายทรัพย์สิน หรือที่ดินออกมา ราคาก็จะต้องลดลง บางคนอาจจะมองว่าเป็นของดี แต่หลายคนก็มองว่า ไม่เป็นผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถาบันการเงินในระบบทุนนิยมเสรี เพราะจะทำให้หลักประกันในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินด้อยค่าลงไป
http://money.sanook.com/10110/
ภาษีที่ดินที่จะออกมา ดัดแปลงมาจาก สมัยนายกรณ์ จาติกวนิช เป็นรมต.คลัง ดร.โกร่งเคยเตือนไว้แล้ว
ตอนนี้เหตุผลที่เก็บคือไม่มีเงิน แต่ๆๆๆ ไปดูงบกองทัพฟาดไป400,000ล้าน
ปีเดียวน่ะ งบมากกว่าที่จะเอาไปทำ2.2ล้าน เพื่อพัฒนาประเทศซะอีก
ข่าวเก่าเมื่อปี 52
ดร.โกร่งชี้ กม.ภาษีที่ดินซึ่ง รมว.คลังเตรียมชง ครม.อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำมากกว่าเป็นธรรม พร้อมสอนมวยหน้าที่ภาษี ด้านอดีตนายกฯ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยหวั่นคนซื้อบ้าน-อสังหาฯ แบกภาระเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในเดือน ส.ค.นี้ นายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกรรวงการคลัง เตรียมเสนอหลักการของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ... เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งหลัก การของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีโรงเรือน และที่ดินเดิมซึ่งมีมากกว่า 12 ฉบับให้ชัด เจนขึ้นจากที่แยกย่อยมากกว่า 34 อัตรา เหลืออยู่เพียง 3 อัตราเท่านั้น ประกอบด้วย
1. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ มีเพดานการจัดเก็บไม่เกิน 0.5% เช่น ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างราคา 1 ล้านบาท เสียภาษีในอัตราสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาทต่อปี
2. ภาษีที่อยู่อาศัยซึ่งไม่ได้ใช้เชิงพาณิชย์ มีเพดานจัดเก็บไม่เกิน 0.1% เช่น ราคา 1 ล้านบาท เสียภาษีในอัตราสูงสุด 1,000 บาท
3. ภาษีสำหรับที่ดินเกษตรกรรมจัดเก็บภาษีไม่เกิน 0.05% เช่น ราคาที่ดิน 1 ล้านบาท เสียภาษี 500 บาทต่อปี
สำหรับที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ กำหนดให้ ต้องเสียภาษีไม่เกิน 0.5% โดยเก็บเป็นลักษณะภาษีก้าวหน้า โดยภายใน 3 ปีถัดไป หากไม่ทำประโยชน์อีก จะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่สูงสุดได้ไม่เกิน 2% ของฐานภาษีหรือราคาประเมิน
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้สร้างภาระกับประชาชนมากเกินไป และเผื่อเวลาให้กรมธนารักษ์ดำเนินการประเมินราคาที่ดินใหม่ทั่วประเทศ 30 ล้านแปลงให้เสร็จสิ้น เมื่อกฎหมายผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา กระทรวงการคลังก็ยังมีการตราบทเฉพาะกาลยกเว้นการบังคับใช้ไว้ก่อน 2 ปี ก่อนเริ่มใช้จริงในปีที่ 3
และเมื่อเริ่มบังคับใช้จริงในปีแรกยังกำหนดข้อผ่อนปรนเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ไม่เคยเสียภาษีที่ดินและโรงเรือนมาก่อน หรือเสียเพิ่มจากที่เคยต้องเสียในช่วงก่อนหน้าให้เสียภาษีเพียง 50% ของภาษีที่ต้องจ่ายเพิ่มปีที่ 2 เพิ่มเป็นเสียภาษี 75% และปีที่ 3 เป็นต้นไปจึงจะเสียเต็มจำนวนหรือเสียภาษีเต็ม 100%
ด้านนายวีรพงษ์ รามางกูร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า การนำเอาภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งก็คือ ภาษีทรัพย์สินและมรดกมาใช้ภายใต้ข้อกำหนดที่เพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีขึ้น เป็นสิ่งที่น่าจะต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบด้าน การอธิบายเหตุผลว่า ภาษีนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้ให้รัฐ ไม่ใช่เป็นรายได้ของรัฐบาลกลาง หากแต่ต้องการให้เป็นรายได้ของท้องถิ่นเอาไว้พัฒนาท้องถิ่นตน ที่สำคัญยังเป็นไปเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมนั้น อาจจะฟังดูดี แต่ในข้อเท็จจริง หากภาษีนั้นสร้างความยุ่งยาก มีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บมาก หรือเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ทุจริตได้ง่าย หรือทำให้คุ้มค่าที่จะเลี่ยง และหนีภาษี แทนที่จะสร้างความเป็นธรรมในสังคมอย่างที่ตั้งใจ ก็อาจจะสร้างความไม่เป็นธรรมให้มากขึ้นแทน
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวต่อว่า ยิ่งถ้าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ทำให้ เกิดการเสียเปรียบในการแข่งขัน และทำลายประสิทธิภาพในการผลิต และเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวในทางเศรษฐกิจ ตลอดจนทำลายแรงจูงใจในการออม ภาษีชนิดนี้ก็ไม่ควรมีการจัดเก็บ ยิ่งถ้าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมีการปรับปรุงทั้งฐานภาษี และอัตราภาษีให้สูงขึ้น ก็น่าจะสร้างปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งในด้านจุดมุ่งหมาย และในแง่ของการปฏิบัติ
"ภาษี ควรทำหน้าที่อย่างเดียว คือ สร้างรายได้เพื่อให้รัฐสามารถนำรายได้นั้นไปจัดการสร้างระบบสาธารณูปโภคแก่ประชาชนในประเทศ หรือทำอย่างไรให้ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของผู้คนไม่แตกต่างกันมาก ในสมัยที่สังคม นิยมกำลังพัดแรง หลายคนมีความคิดที่จะใช้ ภาษีอากรเป็นเครื่องมือในการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในด้านรายได้และทรัพย์สิน แต่ถึงวันนี้ ความคิดแบบเก่าเหล่านั้นเปลี่ยนไปแล้ว และสำคัญน้อยกว่าความแตกต่างทางด้านความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิต" นายวีรพงษ์ กล่าว และว่า ผลของการจัดเก็บภาษีนี้ อาจจะทำให้มีผู้คนบางกลุ่มบางเหล่า ไม่มีความสามารถในการเสียภาษี เพราะผลตอบแทนของที่ดิน หรือทรัพย์สินมีอัตราต่ำกว่าภาษี ก็อาจจะถูกทางการฟ้องร้องบังคับขาย เพื่อนำเงินมาชำระภาษีได้
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวอีกว่า ที่สำคัญคือ อัตราภาษีที่สูงเกินไป อาจจะทำให้คนในเมืองต้องแบ่งแยกกันอยู่ เป็นย่านคนรวย กับย่านคนจน เหมือนอย่างในต่างประเทศ หรือเมืองใหญ่ๆหลายแห่ง ซึ่งรัฐบาลหลายประเทศอยากจะเลิก และก็ทยอยเลิกใช้กฎหมายแบบเดียวกันนี้ไปแล้วจำนวนไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ภาษีที่ดิน ทรัพย์สิน หรือสิ่งปลูกสร้างที่สูง อาจจะทำให้ราคาทรัพย์สิน หรือราคาอสังหาริมทรัพย์มีราคาลดลง เพราะอย่างที่บอก ถ้าเจ้าของที่ดิน ทรัพย์สิน หรือสิ่งปลูกสร้างไม่มีความสามารถในการเสียภาษี เนื่องจากผลตอบแทนในที่ดิน และทรัพย์สินนั้นๆ ต่ำกว่าอัตราภาษี เจ้าของก็จะต้องประกาศขายทรัพย์สินที่มีในมือออกไป ถ้าไม่รีบขาย รัฐก็อาจเข้ามายึด เมื่อเป็นเช่นนี้ ราคาย่อมต้องลดลง ปัญหายังมีอยู่ด้วยว่า ถ้าจะต้องใช้เจ้าพนักงานในการประเมินประเภทที่ดิน ขนาดของที่ดิน และการใช้ประโยชน์ ของที่ดินแล้วล่ะก็ โอกาสที่เจ้าพนักงานจะมีความผิดพลาดทั้งที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ จะมีอยู่สูงมาก ทีนี้คนที่รับกรรมก็คือ ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน และทรัพย์สินนั้น
นายวีรพงษ์ยัง กล่าวด้วยว่า คนมีมรดกก็จำเป็นจะต้องสละมรดก เพราะเวลาที่พ่อแม่ตาย ทรัพย์สินต่างๆ ที่พ่อแม่ทิ้งไว้ จะต้องมาตีมูลค่าทรัพย์สินเพื่อเสียภาษีให้แก่รัฐ ทีนี้ ถ้าพ่อแม่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอีที่ทำกันมาจากครัวเรือนหลายชั่วอายุคน บรรดาลูกๆหลานๆที่รับมรดกหรือมีสิทธิได้รับมรดกตกทอดก็ต้องขายออกไป แล้วไปเป็นลูกจ้างเขาดีกว่า อย่างที่กล่าวไว้ว่า เมื่อมีการขายทรัพย์สิน หรือที่ดินออกมา ราคาก็จะต้องลดลง บางคนอาจจะมองว่าเป็นของดี แต่หลายคนก็มองว่า ไม่เป็นผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถาบันการเงินในระบบทุนนิยมเสรี เพราะจะทำให้หลักประกันในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินด้อยค่าลงไป
http://money.sanook.com/10110/