หมอดูเล่าเรื่อง มาแชร์ประสบการณ์ในเรื่องของดูดวงและเรื่องของหมอดูบ้าง

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับ ผมเองเป็นหมอดูในศาสตร์ของไพ่ต่างๆ และเป็นคนที่เคยไปตระเวนดูดวงมาแล้วทั้งหมอดูแผงลอย หมอดูที่มีญาณจริงๆก็เคยไปดูมาแล้ว วันนี้ก็เลยอยากจะมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับหมอดูและการดูดวงก่อนว่าเจอไรมาบ้าง พร้อมกับไขข้อข้องใจให้กับคนที่ยังมีความสงสัยอยู่ว่าทำไม รวมถึงคนที่สนใจที่จะศึกษาในเรื่องของโหราศาสตร์แขนงต่างๆด้วย

ปุจฉา-วิสัชนา
1. เป็นหมอดู ยากไหม
- ไม่ยากและไม่ง่าย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวหมอดูคนนั้น และประสบการของตัวหมอดูคนนั้นด้วย สำหรับผมแล้วผมมองว่าไม่ยากและไม่ง่าย การดูดวงนอกจากจะต้องศึกษาในศาสตร์นั้นและท่องจำตามตำราแล้ว คุณจำเป็นที่จะต้องใช้เซ็นส์ในการผสมผสานกับศาสตร์ที่คุณศึกษาด้วย เพื่อความแม่นยำมากขึ้น นอกจากนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม ต้องฝึกปฏิบัติธรรมกรรมฐานจนเกิดตัวรู้และเข้าใจถึงสภาวะของตัวเองทั้งทางโลกและทางธรรมเสียก่อน ต้องเข้าใจถึงปัญหาและความทุกข์ของตัวเองและผู้อื่นเสียก่อน ถึงจะช่วยเหลือผู้อื่นได้โดยสามารถแก้ไขปัญหาและความทุกข์ได้อย่างตรงจุด เพราะถ้ายังไม่เข้าใจถึงสภาวะปัญหาและความทุกข์แล้วก็ยากที่จะช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาของคนได้อย่างตรงจุด ตัวผู้ดูเองนอกจากไม่รู้ถึงปัญหาแล้ว ก็จะเกิดความสงสัย ตระเวนหาหมอดูคนอื่นๆไปเรื่อยๆ

2. ควรศึกษาศาสตร์ไหนดี และศาสตร์อะไรที่แม่นที่สุด
- ไม่มีศาสตร์อะไรที่แม่นที่สุด แต่มีศาสตร์ที่ถูกจริตกับคุณที่สุด ขอให้คุณมีความศรัทธาและตั้งใจศึกษาในศาสตร์นั้นๆ เพราะทุกศาสตร์มีครูบาอาจารย์ มีความแม่นยำอยู่ในตัวของมันเอง จะเอามาเปรียบเทียบกันก็ไม่ได้ และทุกศาสตร์ไม่มีคำว่าแม่นยำ 100%

3. เรื่องการเรียนการสอน และการถ่ายทอดวิชาความรู้ของครูบาอาจารย์
- ศาสตร์บางศาสตร์ การศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองก็ยากที่จะเข้าใจ จำเป็นที่จะต้องศึกษากับครูบาอาจารย์ที่ความรู้ในศาสตร์นั้นๆเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่ครูผู้สอนก็มีทั้งดีและไม่ดี บางคนก็เก็บค่าเรียนแพงมาก แพงเกินเหตุก็มี บางคนก็กั๊ก บางคนความรู้ไม่ถึงก็มาเปิดสอนก็มี ฯลฯ ดังนั้นการเลือกหาครูผู้สอนที่ดีๆสักคนก็ควรใช้การสังเกตุหรือใช้เซ็นส์ความรู้สึกภายใจตนเอง แต่ก็ยากสำหรับการสังเกตุอยู่บ้างเพราะบางครั้งไม่ว่าจะบุคลิกท่าทาง การแต่งตัวทางภายนอกที่ดูดี มันไม่สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนๆนั้นได้ทั้งหมดว่าดีหรือไม่ดี

4. การดูดวงเป็นเรื่องงมงาย ไรสาระ สมัยนี้สมัยไหนแล้ว โลกแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำไมยังมาเชื่อเรื่องนี้อีก
- อันนี้ผมเองก็เห็นด้วย แต่มันก็ส่วนหนึ่งในเรื่องของชีวิตประจำวัน ซึ่งสำหรับคนที่ไม่เชื่อก็ไม่ควรที่จะลบหลู่ บางคนเจอแต่หมอดูแย่ๆมา หลอกให้จ่ายเงินค่าสะเดาะเคราะห์แพงๆ(อันนี้ผมก็เคยโดน แต่ไม่หนักมาก) ถ้าไม่สะเดาะเคราะห์แล้วจะไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ ก็เลยอคติกับหมอดูไป บางคนที่ไม่เชื่อแล้วไปได้ยินข่าวหมอดูแย่ๆมา ก็ยิ่งไม่เชื่อหนักเข้าไปอีก ยิ่งอคติเข้าไปอีก บางคนก็เจอแต่หมอดูที่ไม่สามารถรู้และเข้าใจและแก้ไขปัญหาความทุกข์ให้คนนั้นได้ ก็เลยเกิดความอคติไป และส่วนที่บอกว่า โลกสมัยนี้เป็นโลกวิทยาศาสตร์ ทำไมยังเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่ได้ ผมก็จะขอย้อนตอบกลับไปว่า ที่คุณบอกว่าเรื่องของความเชื่อเป็นเรื่องงมงาย(เพราะดูดวงก็เป็นเรื่องของความเชื่อ) แล้วที่คุณสวดมนต์นั่งสมาธิอยู่ทุกวัน ทีคุณไปวัดไปสวดมนต์ขอพรพระ ขอพรเทพพรหมตามที่ต่างๆ ทีพวกคุณต้องไปเวียนเทียนตามวัดในวันสำคัญของพุทธศาสนา พิธีบรวงสรวงต่างๆ ฯลฯ ถามหน่อยว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของความเชื่อไหมล่ะ เพราะตามหลักวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ไม่ได้เหมือนกันว่าทำไปทำไม ทำไปแล้วได้อะไร แล้วจะได้ผลไหม ถ้าพวกคุณมองว่าเรื่องความเชื่อเป็นเรื่องงมงาย พวกคุณก็ต้องไม่ทำตามความเชื่ออื่นๆที่ผมบอกด้วย เวลาคุณมีความทุกข์ก็ไม่ต้องไปวัด ไม่ต้องไปหาพระ ไม่ต้องไปขอพรพระ ขอให้พ้นจากความวุ่นวาย ขอให้มีเงินทองมีการงานที่ดี อย่าไปขอเลย เพราะพวกคุณมองว่าเป็นเรื่องงมงาย(มนุษย์ทุกคนย่อมมีความทุกข์อยู่แล้ว เพราะทุกคนต่างใช้ชีวิตอยู่ในทางโลก คนที่บอกว่าตัวเองไม่ทุกข์อ่ะไม่เชื่อหรอก(เห็นมาหลายคนแล้ว) คุณก็เก็บกดความรู้สึกภายใน ปิดบังความรู้สึกของตัวเองไม่ให้ใครเห็นแล้วบอกว่าตัวเองมีความสุข คุณหลอกตัวเองไม่ได้หรอก และในระยะยาวอารมณ์ที่คุณเก็บไว้จะส่งผลเสียต่อสุขภายกายและจิตของคุณ) ต้องเชื่อในหลักของวิทยาศาสตร์ เหตุผลอย่างเดียว คุณก็มองดูประชากรคนญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้และกันว่าทำไมสองประเทศนี้คนถึงฆ่าตัวตายกันมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก ถ้าคุณมองดูประชากรของทั้งสองประเทศในด้านจิตใจแล้วคุณจะรู้ได้เลยว่าคนทั้งสองประเทศนี้ไม่มีความเชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณพวกนี้เลย(ญี่ปุ่นมีบ้างแต่ไม่ได้ศรัทธาเหมือนบ้านเรา เค้าทำแค่เป็นพิธี ไม่ได้มีอะไรมาก) เชื่อแต่เรื่องของวิทยาศาสตร์อย่างเดียว เชื่อในตัวเอง(แต่ไม่เข้าใจปัญหาของตัวเองเพราะไม่เคยฝึกหรือมีอัตตา) คนไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ วัดก็เป็นแค่สถานที่ท่องเที่ยวอย่างเดียว พอคนมีความทุกข์ก็ไม่มีที่พึ่งทางใจ ไม่รู้จะหันหน้าเข้าหาอะไร พระเอง(พระญี่ปุ่น)ดื่มเหล้า มีเมียมีลูก พระยังละกิเลสไม่ได้ก็ไม่เข้าใจถึงสภาวะทางธรรม จึงไม่สามารถที่จะสอนคนให้เข้าใจทางธรรมหรือเข้าใจถึงความทุกข์ได้ จึงไม่สามารถที่จะเป็นที่พึ่งทางใจของคนได้ และเค้าไม่ได้สอนว่าการฆ่าตัวตายบาปหนักกว่าฆ่าคนตายอีก(หรือสอนแต่จำไม่ได้) คนทั้งสองประเทศถึงฆ่าตัวตายกันเยอะมาก(พูดในเรื่องของความเชื่ออย่างเดียว ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ไม่รวมเรื่องอื่น) การดูดวงจึงเป็นแนวทางอย่างนึงที่ตัวหมอดูต้องชี้แนะแนวทางและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ต้องให้ผู้ดูรู้และเข้าใจถึงความทุกข์และให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาได้ เพื่อให้ตัวผู้ดูนำกลับไปแก้ไขปรับปรุงตนเองเพื่อให้ดีขึ้น

5. ทำไมบั้นปลายชีวิตหมอดูส่วนใหญ่ถึงตกต่ำ
- อันนี้ก็เป็นอีกข้อนึงที่ผมเห็นมาหลายคนเลยว่าเพราะอะไร เพราะหมอดูส่วนใหญ่ดูดวงตามแต่ตำราหรือที่เรียนรู้ บางคนไม่มีครูบาอาจารย์ บางคนก็ดูดวงให้คนอื่นในเรื่องที่เค้าห้ามพูด หรือพูดไม่ดี เช่น ดวงคนนี้ความรักไม่ดีจะท้องก่อนแต่ง จะเป็นกี๊กหรือเมียน้อยเค้า จะมีแฟนหลายคน ดวงคู่นี้ไม่ดีจะต้องเลิกกัน หรือเรื่องที่บอกว่าลูกคนไหนให้คุณหรือให้โทษ ฯลฯ ถ้าคุณจะมาเป็นหมอดูเพื่อช่วยคนแล้วเรื่องพวกนี้ห้ามพูดเด็ดขาด เพราะคนที่มาขอดูเค้ามีความทุกข์ความเครียดอยู่แล้ว แทนที่เค้าจะได้รับหนทางการแก้ไขปัญหาที่ดี กับได้เรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจหนักไปอีก บางคนคิดสั้นฆ่าตัวตายก็มี แบบนี้หมอดูเองที่ทำให้คนมาดูดวงเป็นแบบนี้ ย่อมได้รับผลกรรมที่ไม่ดีเช่นกัน หมอดูบางคนที่ดูแม่นมากๆ พอมีชื่อเสียง มีหน้ามีตามีคนมาดูเยอะ โดนความโลภครอบงำ ก็คิดค่าดูจากถูกเป็นแพง ทำเป็นธุรกิจ  จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ครูบาอาจารย์ที่ลงมาคุ้มครองเพื่อให้ช่วยเหลือคน ท่านก็ถอย กลายเป็นมีผีมีหมู่มารมาครอบงำร่างนั้นแทน จากที่ดูแม่นก็เสื่อมลง ชีวิตแย่ลงก็มี (ต้องศึกษาโลกธรรม 8 และมีสติให้มากๆจะดีที่สุด)

6. การดูดวงที่แม่นยำที่สุด ไม่ใช่ดีที่สุด
- หลายคนจำนวนมากมายที่เสาะแสวงหาหมอดูที่สามารถดูดวงตามเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำที่สุด เพราะคิดว่าหมอดูแม่นคือหมอดูที่เก่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่หลายๆคนมองข้ามไปคือ การดูดวงเพื่อเป็นแนวทางให้รู้และเข้าใจถึงสภาวะปัญหาและความทุกข์ เพื่อที่จะได้แก้ปัญหาตรงนี้ได้อย่างตรงจุด และพอแก้ได้แล้วสามารถที่จะพัฒนาตนเองให้สูงต่อไปได้ เหตุการณ์ก็ส่วนหนึ่ง นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หลายๆคนส่วนมากพอดูแล้วเกิดความสงสัย ไปดูดวงกับหมอดูคนอื่นๆต่อไปเรื่อยๆ เพื่ออยากจะรู้ว่าจะแม่นเหมือนหมอดูคนก่อนๆพูดไหม ทำให้ต้องสูญเสียเงินทองไปกับการดูดวงโดยใช่เหตุ และสุดท้ายก็ต้องกลับมามองตัวเองและเชื่อตัวเอง อันนี้ผมเองก็เป็น และผมก็ผ่านตรงจุดๆนี้มาแล้วทั้งในเรื่องของการไปดูดวงและดูดวงให้คนอื่นๆ

7. ศาสนาอื่นสามารถดูดวงหรือศึกษาวิชาโหราศาสตร์ได้ไหม
- ตอบว่าได้ทุกศาสนา เพราะเรื่องของโหราศาสตร์หรือดูดวงไม่มีการแบ่งแยก สมมุติว่าถ้าคุณเป็นคนคริสต์คุณสามารถที่จะนำคำสอนของศาสนาคริสต์มาประยุกต์กับศาสตร์ที่คุณศึกษาก็ยังได้ หรือแม้แต่ไม่มีศาสนาก็สามารถที่จะไปดูดวงหรือศึกษาวิชาโหราศาสตร์ได้ ขอให้คุณเปิดใจยอมรับก็พอแล้ว

8. ลองของ
- คนพวกนี้เป็นคนในกลุ่มที่ไม่รู้จะดูอะไรหรืออยากลอง ก็ไปหาหมอดูคนๆนั้นให้ทำนายว่าจะแม่นไหม รวมถึงถามคำถามแปลกๆว่า "หวยง่วนนี้ออกเบอร์อะไร" หรือบอกว่า "ถ้าแม่นจริงเก่งจริง ทำไมไม่ไปเล่นหวยหรือมาบอกหวยล่ะ หรือไปเล่นหุ้นรวยคนเดียวล่ะ" ก็จะบอก ณ ที่นี้เลยว่า หมอดูที่มีญาณใบ้หวยหรือมีญาณในเรื่องของการดูหุ้นก็มีนะ แต่ส่วนมากเค้ามักจะไม่เล่นเอง หรือถ้าเล่นก็ฝากคนอื่นเล่น เพราะมันเป็นกฎของทางโลกสวรรค์(ถ้าเล่นเองจะไม่ได้หรือไม่แม่น) หรือหมอดูที่ใบ้หวยแม่นๆแล้วเล่นหวยเองมีไหม ก็มีแต่ส่วนมากมักจะไม่บอกใคร แต่ก็มักจะเป็นรางวัลเล็กๆไม่ได้ใหญ่มาก (ที่บอกไม่ได้ไม่ใช่เพราะหวงนะหรืออยากรวยคนเดียว แต่ถ้าบอกแล้วมันจะเสื่อมทันที) สำหรับผมแล้วถ้าให้ผมบอกเลขหวย ผมบอกไม่ได้หรอก เพราะผมไม่ชอบเล่นการพนัน และสัมผัสที่ 6 ของแต่ละคนย่อมมีไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

9. การดูดวงไม่สามารถที่จะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้
- อันนี้ก็ใช่ เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า การดูดวงเป็นเดรัจฉานวิชา เพราะมันเป็นวิชาที่ทำให้คนไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งตัวหมอดูและคนดูมีความลุ่มหลงหรือหมกมุ่นตรงนี้ เลยทำให้ยากที่จะปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ เพราะการหลุดพ้นจากความทุกข์ พอไปถึงจุดๆหนึ่ง คุณจำเป็นที่จะต้องละทิ้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งตัวตนของตัวเอง ศีล 5 ถ้าคุณคิดว่ายากแล้ว การที่จะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดนั้นยากยิ่งกว่า เพราะนอกจากศีล 5 แล้ว ยังมีศีลที่ละเอียดยิบย่อยกว่านี้เยอะ เช่น ต้องไม่พูดจาส่อเสียด เหน็บแนม ฯลฯ(แค่จะไปถึงสมาบัติฌาณยังยากเลย บางคนฝึกมาทั้งชีวิตก็ยังไม่ได้เลย อย่าพูดถึงเรื่องที่ว่าจะหลุดพ้นจากความทุกข์เลย T_T)

ขอจบเพียงเท่านี้นะครับ ยังไงถ้ามีเรื่องไรอีกจะมาอัพเดทอีกเรื่อยๆ พาพันขอบคุณ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่