CHAPPIE จักรกลเปลี่ยนโลก - มันเหมือนดู Robocop ในแบบที่เด็กลงมาอีกหน่อย และมีปรัชญาชีวิตมากขึ้น เหมือน AI ที่ใส่ความตลกเข้าไป และเหมือน District 9 ในแบบหุ่นยนต์Robot
สัปดาห์นี้หนังเข้าน้อยเหลือเกิน แค่สามเรื่อง เรื่องที่เด่นที่สุดของสัปดาห์นี้ก็คงหนีไม่พ้นหนังฟอร์มใหญ่อย่าง Chappie นี่แหละครับ ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของผู้กำกับ Neill Blomkamp ผู้เคยฝากผลงานคุณภาพไว้อย่าง District 9 (2009) และ Elysium (2013) นะครับ ตอนแรกผมก็คิดว่าหนังไม่น่าจะมีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าหนังหุ่นยนต์อยากมีชีวิตทั่วไป แต่มันก็มีอะไรแฝงเข้ามาหลังจากที่ผมดูจบ เพราะหนังมันเหมือนเอา core idea ของหนังหลายๆ เรื่องมายำรวมกันจนเกิดเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่สนุกพอตัวเลย
หนังบอกเล่าเรื่องราวของหุ่นยนต์ตำรวจที่วันหนึ่ง ถูกขโมยไปทำการทดลองใส่จิตใต้สำนึกเข้าไป แชปปี้เริ่มต้นการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เช่นเดียวกับเด็กที่มีทั้งจิตใจอ่อนโยน ฝักใฝ่ศิลปะ ตลอดจนมีความคิดที่บริสุทธิ์ แม้จะอยู่ในครอบครัวที่ไม่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่า “ขาวสะอาด” ในสังคมมนุษย์ก็ตาม แต่แล้วโลกอันโหดร้ายที่มาจากความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในสิ่งที่มนุษย์ไม่คุ้นเคยก็ค่อยๆ ทำให้แชปปี้ได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเขา และสิ่งที่เรียกว่า “มนุษย์”
ตอนแรกเลย ผมคิดว่าหนังจะต้องออกมาเป็นแนว #Action กระหน่ำแหลกแต่แฝงความตลกเอาไว้ แต่ที่ไหนได้ หนังไม่ได้เน้นความเป็น action สักเท่าไหร่ หนังไปให้ความสำคัญกับปรัชญาชีวิตในเรื่องของการมีจิตใต้สำนึกซะมากกว่า หนังปูเรื่องได้ค่อนข้างดี ทำให้เราเห็นพัฒนาการของการมีจิตใต้สำนึกของหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่เริ่มจากการเรียนรู้เหมือนเด็กแรกเกิด จนมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง และพยายามเลือกหาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีและเหมาะสม แต่หนังก็ใส่รายละเอียดเข้ามามากซะจนบางช่วงบางตอนมันดูเหมือนจะยาวเกินไปและไม่จำเป็น เพราะด้วยตัวเนื้อหาหนังเอง เราเห็นแบบนี้มาค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่ Robocop, AI, Bicentennial Man ซึ่งมันคือหนังที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของหุ่นที่มีจิตใจทั้งนั้น เพราะฉะนั้นช่วงแรกๆ ผมดูแล้วก็เลยไม่รู้สึกแปลกใหม่เท่าไหร่
พอหนังเข้าช่วงที่สองที่เริ่มมีการตามล่ากัน ช่วงนี้แหละถึงจะโอเคขึ้นมาหน่อย เพราะหนังไปเน้น action มากขึ้น ซึ่งฉาก action ของหนังเรื่องนี้ทำได้สุดยอดมาก เรียกได้ว่าระเบิดปูพรมกันมาเลยทีเดียว หลายๆ ฉากทำออกมาได้ดูดี เจ๋ง และสนุกตื่นเต้นมาก จนถึงช่วงท้ายของหนังเลยทีเดียว แต่ตอนจบนี้คาดไม่ถึงว่าจะจบแบบนี้ เรียกได้ว่าค่อนข้างอึ้งไปเหมือนกัน ต้องไปดูเอง
อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นว่าหนังมันเหมือนเอา core idea ของหนังหลายๆ เรื่องมายำรวมๆ กัน เรื่องของหุ่นมีจิตใจ (AI, Robocop, Bicentennial Man) เรื่องของการต่อสู้ระหว่างหุ่นกับหุ่น (Robocop) หรือแม้แต่เรื่องของการย้ายจิตใต้สำนึกจากร่างสู่ร่าง (District 9, Avatar) แต่เป็นการยำที่ครบเครื่องและดูสนุก ตัวนักแสดงเองก็เล่นได้ดีทุกคน Hugh Jackman ใครจะคิดว่าเป็นตัวร้ายแล้วดูน่าหมั่นไส้ เรื่องนี้จะเห็นพี่แกหมดสภาพเลยล่ะ Dave Patel ดูโตขึ้นและแสดงได้ดีกว่าเดิม คนอื่นๆ ก็มีความสำคัญกับเรื่องแตกต่างกันไป ถือว่ากระจายความสำคัญตัวละครได้ดีเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าเนื้อหามันจะดูไม่ค่อยน่าแปลกใหม่เท่าไหร่ แต่ด้วยสไตล์ของผู้กำกับ Neill Blomkamp ที่มักจะหาปรัชญาชีวิตมาใส่ในหนังของตัวเองแล้วเล่าออกมาในสไตล์ของเขา มันก็ทำให้หนังที่มี concept คล้ายๆ หนังเรื่องอื่น ออกมาสนุกแตกต่างไปได้เช่นกัน ลองไปดูกันครับ แล้วจะรู้เอง
พูดคุยติชมได้ที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/DooNangGunMai
[CR] Review CHAPPIE จักรกลเปลี่ยนโลก - เหมือนเอาหนังหลายๆ เรื่องมายำกันแล้วดูสนุก
CHAPPIE จักรกลเปลี่ยนโลก - มันเหมือนดู Robocop ในแบบที่เด็กลงมาอีกหน่อย และมีปรัชญาชีวิตมากขึ้น เหมือน AI ที่ใส่ความตลกเข้าไป และเหมือน District 9 ในแบบหุ่นยนต์Robot
สัปดาห์นี้หนังเข้าน้อยเหลือเกิน แค่สามเรื่อง เรื่องที่เด่นที่สุดของสัปดาห์นี้ก็คงหนีไม่พ้นหนังฟอร์มใหญ่อย่าง Chappie นี่แหละครับ ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของผู้กำกับ Neill Blomkamp ผู้เคยฝากผลงานคุณภาพไว้อย่าง District 9 (2009) และ Elysium (2013) นะครับ ตอนแรกผมก็คิดว่าหนังไม่น่าจะมีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าหนังหุ่นยนต์อยากมีชีวิตทั่วไป แต่มันก็มีอะไรแฝงเข้ามาหลังจากที่ผมดูจบ เพราะหนังมันเหมือนเอา core idea ของหนังหลายๆ เรื่องมายำรวมกันจนเกิดเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่สนุกพอตัวเลย
หนังบอกเล่าเรื่องราวของหุ่นยนต์ตำรวจที่วันหนึ่ง ถูกขโมยไปทำการทดลองใส่จิตใต้สำนึกเข้าไป แชปปี้เริ่มต้นการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เช่นเดียวกับเด็กที่มีทั้งจิตใจอ่อนโยน ฝักใฝ่ศิลปะ ตลอดจนมีความคิดที่บริสุทธิ์ แม้จะอยู่ในครอบครัวที่ไม่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่า “ขาวสะอาด” ในสังคมมนุษย์ก็ตาม แต่แล้วโลกอันโหดร้ายที่มาจากความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในสิ่งที่มนุษย์ไม่คุ้นเคยก็ค่อยๆ ทำให้แชปปี้ได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเขา และสิ่งที่เรียกว่า “มนุษย์”
ตอนแรกเลย ผมคิดว่าหนังจะต้องออกมาเป็นแนว #Action กระหน่ำแหลกแต่แฝงความตลกเอาไว้ แต่ที่ไหนได้ หนังไม่ได้เน้นความเป็น action สักเท่าไหร่ หนังไปให้ความสำคัญกับปรัชญาชีวิตในเรื่องของการมีจิตใต้สำนึกซะมากกว่า หนังปูเรื่องได้ค่อนข้างดี ทำให้เราเห็นพัฒนาการของการมีจิตใต้สำนึกของหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่เริ่มจากการเรียนรู้เหมือนเด็กแรกเกิด จนมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง และพยายามเลือกหาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีและเหมาะสม แต่หนังก็ใส่รายละเอียดเข้ามามากซะจนบางช่วงบางตอนมันดูเหมือนจะยาวเกินไปและไม่จำเป็น เพราะด้วยตัวเนื้อหาหนังเอง เราเห็นแบบนี้มาค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่ Robocop, AI, Bicentennial Man ซึ่งมันคือหนังที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของหุ่นที่มีจิตใจทั้งนั้น เพราะฉะนั้นช่วงแรกๆ ผมดูแล้วก็เลยไม่รู้สึกแปลกใหม่เท่าไหร่
พอหนังเข้าช่วงที่สองที่เริ่มมีการตามล่ากัน ช่วงนี้แหละถึงจะโอเคขึ้นมาหน่อย เพราะหนังไปเน้น action มากขึ้น ซึ่งฉาก action ของหนังเรื่องนี้ทำได้สุดยอดมาก เรียกได้ว่าระเบิดปูพรมกันมาเลยทีเดียว หลายๆ ฉากทำออกมาได้ดูดี เจ๋ง และสนุกตื่นเต้นมาก จนถึงช่วงท้ายของหนังเลยทีเดียว แต่ตอนจบนี้คาดไม่ถึงว่าจะจบแบบนี้ เรียกได้ว่าค่อนข้างอึ้งไปเหมือนกัน ต้องไปดูเอง
อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นว่าหนังมันเหมือนเอา core idea ของหนังหลายๆ เรื่องมายำรวมๆ กัน เรื่องของหุ่นมีจิตใจ (AI, Robocop, Bicentennial Man) เรื่องของการต่อสู้ระหว่างหุ่นกับหุ่น (Robocop) หรือแม้แต่เรื่องของการย้ายจิตใต้สำนึกจากร่างสู่ร่าง (District 9, Avatar) แต่เป็นการยำที่ครบเครื่องและดูสนุก ตัวนักแสดงเองก็เล่นได้ดีทุกคน Hugh Jackman ใครจะคิดว่าเป็นตัวร้ายแล้วดูน่าหมั่นไส้ เรื่องนี้จะเห็นพี่แกหมดสภาพเลยล่ะ Dave Patel ดูโตขึ้นและแสดงได้ดีกว่าเดิม คนอื่นๆ ก็มีความสำคัญกับเรื่องแตกต่างกันไป ถือว่ากระจายความสำคัญตัวละครได้ดีเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าเนื้อหามันจะดูไม่ค่อยน่าแปลกใหม่เท่าไหร่ แต่ด้วยสไตล์ของผู้กำกับ Neill Blomkamp ที่มักจะหาปรัชญาชีวิตมาใส่ในหนังของตัวเองแล้วเล่าออกมาในสไตล์ของเขา มันก็ทำให้หนังที่มี concept คล้ายๆ หนังเรื่องอื่น ออกมาสนุกแตกต่างไปได้เช่นกัน ลองไปดูกันครับ แล้วจะรู้เอง
พูดคุยติชมได้ที่ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้