เมื่อมี สติ กำหนดรู้อยู่สตินี้แหละเป็นตัว วิชา เมื่อวิชา เกิดขึ้นตั้งอยู่ อวิชาก็ ดับไป สังขารก็ดับ ตัณหาก็กับหทัยวัตถุก็ว่างเปล่า เหมือนจอหนังจะว่างก็เพราะรูปหุ่นมันไม่มี รูปหุ่นจะไม่มีมาก็เพราะเครื่องฉายมันหยุด เครื่องฉายมันจะหยุด ก็เพราะ คนฉายหนังหยุดฉาย
ขันธ์เป็นเอง และขันธ์ดัดแปลง
เมื่อวางอารมณ์สามกาลไม่คิดเรื่องอะไร หทัยวัตถุก็ว่าง เปล่าเท่านั้น ให้อยู่กับความว่างเปล่านี้แหละห้ามไม่ให้ความคิดในสามกาลบังเกิดขึ้น ความคิด ในสามกาลเป็นตัว สมุทัย เป็นเหตุ ให้เกิดทุกข์เป็นกิจที่ควรประหารไม่ให้เกิดขึ้นส่วนตัวทุกขสัจจ์มันเกิดมันดับ ซึ่งเป็นขันธ์ที่เป็นเองอย่าเข้าไปอยู่กับมัน ระวังตัวสมุทัยสัจจ์ มันจะเกิดขึ้นในลำดับแห่งทุกขสัจจ์ เหตุนั้นจึงให้ออกจากมัน มันเห็นเอง มันได้ยินเองมันหิวมันกระหายเอง มันหนาวมันร้อน เอง มันแก่ มันเจ็บ มันตายของมันเอง เราไม่ได้บอกให้เป็น มันเป็นเองท่านจึงเรียกว่า ขันธ์เป็นเอง
ระวังแต่ขันธ์ดัดแปลง ถ้าขันธ์ดัดแปลงเกิดขึ้นในกาลใดในกาลนั้นเป็นตัวสมุทัยเกิดทุกข์ ขันธ์ดัดแปลงก็คือ ขันธ์โลก ขันธ์โกรธ ขันธ์หลง นี้เองขันธ์ดัดแปลงมันจะเกิดขึ้นมันก็อาศัยขันธ์เป็นเอง เราไม่รู้เท่าขันธ์เป็นเองว่าธรรมชาติของมันเป็นอยู่อย่างนั้น ๆ
ขันธ์เป็นเอง คือ อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกอายตนะ แปลว่าเครื่องต่อ ถ้ายังไม่ต่อก็ไม่เรียกว่า อายตนะเมื่อมันต่อกันขึ้นจึงเรียกว่า อายตนะ เมื่อตาเห็นรูปจักขุวิญญาณเกิดขึ้น เมื่อหูฟังเสียงโสตวิญญาณจึงเกิดขึ้นตากับรูปเป็น รูปความรู้อันเกิดแต่ตาเป็น นาม หู กับเสียงเป็น รูป ความรู้อันเกิดแต่หูเป็น นาม นามและรูป เกิดแล้วก็ดับ เราไม่รู้จักว่า นาม และรูป ไม่รู้จักว่า ขันธ์ 5 ไม่รู้จัก อายตนะ ว่าเป็นของร้อน จึงเข้าไป ยึด ถือเอาโดยความเป็น เจ้าของ ตัวของ เรา จึงร้อนร้อนเพราะไฟคือ ราคะ ร้อนเพราะไฟคือ โทสะ ร้อน เพราะไฟ คือ โมหะ ร้อนไปด้วยความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เรียกว่าอยู่ใน วัฏฏ สงสาร
การกำหนดอุทยัพพยญาณ
เมื่อกำหนดอุทยัพพยญาณ อันเป็นตัวทุกขสัจจ์อยู่ ส่วนญาณอื่นๆ ไม่ต้องกำหนด เกิดขึ้นเอง กำหนดแต่อุทยัพพยญาณอันเดียวตลอดได้สำเร็จอรหันต์ ภยตุปัฎฐาญาณ การเห็นภัยในสังขาร ว่าเป็นของ น่ากลัว นี้เป็นตัวผลเกิดมาจากอุทยัพพยญาณเมื่อเห็นภัยแล้วก็เห็นโทษ เรียกว่า อาทีนวญาณ เมื่อเห็นโทษแล้วย่อมหน่วยนี้เรียกว่า นิพพิทาญาณ เห็นเบื่อหน่ายแล้วก็หาทางหนี เรียกว่า มุญจิตกัมมยตาญาณ การจะหนี ก็ต้องหาอุบายในการปล่อยวาง เรียกว่า ปฏิสังขารญาณ อุบายที่สำคัญก็คือ วางใจเป็นกลาง ไม่รัก – ไม่ชังเพราะห้ามมันไม่ได้ มันอยากแก่ อยากเจ็บ อยากตาย ของมันเป็นเอง ปล่อยวางไปตามสภาพของมัน นี้ท่านเรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ หรือเรียกว่า อนุโลมญาณเป็นยอดแห่งญาณ การที่กล่าวมาตามลำดับ อันนี้เรียกว่า วิปัสสนาทั้ง 9 เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน มาจากอุทยัพพยญาณทั้งสิ้น ที่ว่าอนุโลมญาณ หมายความว่า ตรวจดูภพทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ภพเหล่านี้ประชุมอยู่ที่หทัยวัตถุหทัยวัตถุเป็นผู้รับรู้ทั้งสิ้น ถ้าวางความรู้ใน อารมณ์สามกาลหมด ตัวภพทั้งปวงก็ดับไปด้วยประการทั้งปวง
ภพเหล่านี้จะดับอาศัยพระไตรลักษณ์ทั้งสาม เป็นอารมณ์แห่งพระนิพพาน ถ้าผู้ปฏิบัติเกิดสงสัยว่า ตนถึง นิพพานแล้วหรือไม่ถึง ต้องดูพระไตรลักษณ์ พระนิพพานไม่มีการยึดถือเอาสิ่งไรจึงเรียกว่า เอาอนัตตา เป็นอารมณ์ก่อน ตั้งแต่มรรคผลจะเกิดขึ้น กามาวจรญาณสัมปยุต บังเกิดขึ้นในตันมโนวิถี ตัดกระแสภวังค์ให้ขาด ภวังคจิต แปลว่า จิตดวงนี้ไปสู่ดวงอื่น คือ ทวาร 6 รับรู้อารมณ์ เรียกว่า วิถีจิตเกิด เมื่อทวาร 6 หยุด รับรู้เรียกว่า ภวังค์
ที่ว่าให้กำหนดความ เกิดดับ ก็หมายความว่า ให้รู้ความเกิดเป็นวิถีจิต ความดับเป็นภวังคจิต ที่ว่ากามาวจรสัมปยุต คือตัวปัญญาของเราเพ่งอยู่ที่หทัยวัตถุของเรา หมายความว่าให้รู้ตัวอยู่เสมอเมื่ออะไรผ่านมาที่หทัยวัตถุของเราจะเป็นอิฎฐารมณ์หรือ อนิฏฐารมณ์ เป็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ อารมณ์ที่กล่าวมานี้เปรียบเหมือนรูปหุ่นมาปรากฏที่จอหนัง จอหนังเปรียบเหมือนหทัยวัตถุของเรา หทัยวัตถุของเรามมันไม่ว่างจากอารมณ์ ตัวกามาวจร ญาณสัมปยุตคือ ปัญญาเห็นว่าจิตเหล่านี้ไม่เที่ยง ทั้งเป็นทุกข์ด้วย จึงได้ปฏิเสธจิตเหล่านี้ ไม่ให้มันมาเกิดในมโนทวาร ถ้ามันมาเกิดแล้วมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวเรา จึงได้นึกในใจว่า
• ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง
• เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ ดังนี้บ้าง
• ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา ดังนี้บ้าง
จะเลือกเอาข้อไหนก็ได้ไม่ต้องว่าหลายอัน ที่ 1 เป็น บริกรรม ที่ว่าบริกรรม คือ หทัยวัตถุของเรามันยังไม่ว่างจากสังขาร สังขารจะมาเกิด อาศัย เผลอสติ จิตที่เป็นกามาวจรญาญ สัมปยุตดับไป แปลว่า ตกภวังค์ จิตดวงอื่นมาเกิด ถ้ากามาวจรญาณสัมปยุต ตัดกระแสภวังค์ให้ขาดเลยที่เดียว ตัวญาณสัมปยุตกามาวจรคิดอยู่ในใจว่า อะไร ๆ ก็ใช่เรา อะไร ๆ ก็ไม่ใช่เรา อารมณ์ที่กล่าวมามันมาเกิดไม่ได้เรียกว่า อุปจาระที่ 2
อธิบายอริยสัจจ์ 4
เมื่อตัววิปัสสนา คือ อนัตตลักษณะ ตัดกระแสของภพทั้งสาม วางลง เรียกว่า อนุโลม หรืออัปปนาที่ 3 เมื่อออกจาก สังขารนิมิต ที่กล่าวมานั้นได้เด็ดขาด หทัยวัตถุว่างเปล่า เรียกว่า โคตรภูจิต ที่แปลว่า จิต ล่วงจาก โลกียจิต เข้าสู่ โลกุตตรจิต เมื่อกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ทั้ง 3 ดับ ลงในกาลใด ในกาลนั้นเรียกว่า มหคต เกิดเมื่อ มรรคเกิด ผลเกิด คือ จิตไม่มีอาการ ไปอาการมา ไม่มีอาการจุติการเกิด ครั้นแล้วจิตก็ตกภวังค์ดังเก่า หมายความว่า จิตไป รู้ถึงโลกุตตรจิตแล้วจิตก็ตกภวังค์ ตัวปัจจเวกขณะญาณบังเกิดขึ้นในต้นมโนวิถี พิจารณามรรคธรรม ผลธรรมที่ตนได้แล้ว
• กำหนดทุกขสัจจ์ ละสมุทัยสัจจ์ ทำนิโรธสัจจ์ ให้แจ้งทำมรรคสัจจ์ให้เกิดมีขึ้น
• กำหนดทุกขสัจจ์ ก็คือ นามและรูป ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 เป็นตัวทุกข์สจจ์
ความไม่รู้นามและรูป ไม่รู้นามและรูป ไม่รู้ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 แล้วไปยึดถือเอา เป็นสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้าปล่อยวางนามรูป ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 เป็นนิโรธความดับทุกข์ กิริยาที่ทำการปล่อยวางเป็นมรรค เห็นประจักษ์เป็นสันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติเห็นด้วยตนเองเรียกว่า พุทธ แปลว่า ผู้รู้ รู้ธรรมที่ไม่ตาย
คำอธิบายใน ฐานที่ 7 ให้ถามถึงผู้ไม่ตาย 4
ฐานที่ 7 นี้เป็น เครื่องสอบผลจิต อันเกิดแต่มรรคเป็นผู้ทำไว้ ผลเป็นผู้เสวยกำไร เมื่อมรรคฆ่ากิเลสให้ตายเป็นสมุจเฉทประหารโดย เอกเทศ หรือ สิ้นเชิง ตามวาสนาบารมี
• พระโสดา พระสกิทาคา ไม่ตายใน พระวินัย
• พระอนาคา ไม่ตายใน พระสูตร คือจะขึ้นไปบังเกิดในชั้นสุทธาวาสพรหม ไม่กลับมาเข้าสู่ครรภ์ แล้วสิ้นลมหายใจเข้าโลงอีก จึงนับว่าไม่ตายในพระสูตร
• พระอรหัตตไม่ตายใน พระปรมัตถ์ คือจิตของท่านไม่ตายจากบาปมาเป็นบุญ สิ้นบุญสิ้นบาป เป็นผู้มีจิตไม่กำเริบ จิตของท่านไม่มีอาการไปอาการมา การจุติปฏิสนธิการเกิดการตาย ไม่ยึดเอาอะไรมาเป็นอารมณ์อีก ถือเอาอนัตตาเป็นอารมณ์โดยส่วนเดียวภพทั้งปวงเกิดขึ้นไม่ได้อีก เพราะท่านปล่อย วางนาม วางรูป วางขันธ์ 5 อายตนะ อันเป็นของร้อน ไม่เข้าไปยึดอีก แต่อายตนะของ ท่าน ก็คงมีอยู่ตามเดิม แต่มันเป็นของ เย็น เย็นอยู่ทั้ง กลางวันกลางคืน ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน ข้อนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า“อัตถิ ภิกขเว ตทายตนํ “
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะ นั้นมีอยู่ ที่ไม่เกิดแล้วไม่เป็นแล้ว ไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงไม่แต่งแล้ว ที่ว่า ไม่เกิดแล้ว คือ ไม่เกิดราคะ โทสะ โมหะ ไม่เกิด บุญเกิดบาป ไม่เกิดรัก เกิดชัง อีก ที่ว่าไม่เป็นแล้ว คือไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา ไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย ไม่เป็นสัตว์ไม่เป็นคน ไม่เป็นก๊กไม่เป็นเหล่า ไม่เป็นธรรมยุติ ไม่เป็นมหานิกาย ไม่เป็นอะไร ๆ เลยในโลกนี้ และโลกอื่น
• ที่ว่าไม่ทำแล้ว ไม่ทำบุญทำบาป ไม่ทำดีทำชั่ว ทำอะไรเป็นแต่กิริยาที่ทำ ไม่เป็นกรรม
• ที่ว่า ไม่ปรุงไม่แต่งแล้ว คือไม่ปรุงในอดีต อนาคตและปัจจุบัน
จิตของท่านไม่ลักลั่น ท่านจะใช้ให้ คิด ก็เป็น กิริยาที่คิด จิตของท่านอยู่เหนือ อำนาจแห่ง โลกธรรมทั้งสิ้น ศีล สมาธิ ปัญญา ของท่านเป็นของเป็นเอง ไม่ต้องรักษา เพราะอกุศลจิตและกุศลจิตขาดหมด
พระอริยเจ้า กับ ปุถุชน ถือไตรสรณาคมณ์ ต่าง กัน
พระอริยเจ้าทุก ๆ จำพวก เป็นผู้ถึงมหัคตสรณาคมณ์มรรคศีล หมายความว่าไม่ขาดจากพระไตรสรณาคมณ์ ไม่ขาดจากศีล เพราะกิเลสไม่มาจับต้องพระไตรสรณาคมณ์และศีล
พระโสดาฆ่าอกุศลได้ 5 คือ ทิฏฐิสัมปยุติ จิตกล้าในบาป อันเกิดในโลภมูล 4 ดวง วิจิกิจฉาในโมหมูล 1 ดวง ละวิจิกิจฉานิวรณ์ 1 ดวง ละสังโยชน์ได้ 3 คือ สักกายทิฏฐิวิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส เมื่อสังโยชน์นิวรณ์ อกุศลเหล่านี้ขาด ศีล 5 จึงเป็น อธิศีล ขาดจากเจตนาความตั้งใจที่จะฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ แต่พระโสดายังหนักศีล 8 เพราะละกามฉันทะยังไม่ได้ ( จึงยังต้องเป็นผู้ครองเรือน ) จะเกิดมาในโลกนี้เพียง 7 ชาติ เป็นอย่างมาก
พระสกิทา ละได้เท่ากัน แต่ละกามฉันท พยาบาทให้เบาลง จะมาเกิดในโลกนี้คราวเดียว
พระอนาคา ละอกุศลได้ 7 คือ ที่พระโสดาละได้ 5 กับโทสะมูลอีก 2 ดวง ละนิวรณ์ได้ 3 คือ กามฉันท พยาบาท วิจิกิจฉา ละสังโยชน์ได้ 5 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส กามฉันท พยาบาท มีศีล 8 เป็นเอง
พระอรหัตต ละอกุศล 12 นิวรณ์ 5 สังโยชน์10 มี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเอง ไม่ต้องรักษา
พระพุทธตุ๊กตา – พระธรรมเวทมนต์กลคาถา
พระอริยเจ้า ทุกจำพวกเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภายใน ส่วนปุถุชนถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กายนอก คือถึงแต่ตำรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปุถุชน ถึงแต่ตำราภายนอก แบ่งออกเป็น 2 พวก
• พวกหนึ่งไปอบาย
• พวกหนึ่งไปสวรรค์
จำพวกที่ไปอบาย คือ ถือพระพุทธตุ๊กตา ถือพระธรรมเวทมนต์กลคาถา ว่าฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก แต่เจ้าตัวไม่มีศีลธรรม อะไร ต้องการจะให้ พระพุทธ พระธรรมช่วย พระพุทธ พระธรรมช่วยคนที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมไม่ได้ ช่วยได้แต่คนที่มีศีลมีธรรมเท่านั้นเหมือนพระราชาช่วยได้แต่คนไม่ทำผิดกฎหมายเท่านั้นส่วนคนที่ทำผิดกฎหมายช่วยไม่ได้
ผู้ที่ถือเอาตำราพระสงฆ์ คือถือเอาพระธรรมยุติเป็นที่พึ่ง ถือเอาพระมหานิกายเป็นที่พึ่ง นิยมในลัทธินิกาย ถือกันเป็นก๊กเป็นเหล่า ใครก็ว่าใครดี เกิดริษยากันทางวาจา หนักเข้าทุบตีกันทางกาย จำพวกที่ถือตำรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้ แหละนำไปอบายรวมทั้ง จำพวกที่ถือ พระพุทธปฏิมากร อันเป็นตำราเสกสรรปรุงแต่งขึ้นด้วยอิฐด้วยปูน หรือเอาพระเล็ก ๆ มาแขวนคอไว้ก็ตาม ถือเอาด้วยความเลื่อมใส ถึงจะถือเอาเป็นของขลังก็ตาม
ส่วนการถึงตำราพระธรรม ถือเอาเสียงไหว้พระสวดมนต์เป็นที่ยินดี ถึงตำราพระสงฆ์ ถือเอาธรรมยุติ มหานิกาย ถือเอาด้วยความเลื่อมใส ไม่ถือพวกถือเหล่า ไม่ผิดศีลธรรม พวกนี้ไปสวรรค์
พระพุทธะกับ ปัจเจกพุทธะ
ส่วนพระอริยเจ้า ถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภายใน แปลว่า ถึงตัวจริง ถึงตัวพระพุทธะแท้ พุทธะแปลว่า ผู้รู้
• ผู้รู้ก่อนเรียกว่า สัพพัญญูพุทธะ
• ผู้รู้แล้วสั่งสอนผู้อื่นไม่ได้เรียกว่า ปัจเจกพุทธะ
• ผู้รู้ตามเรียกว่า สาวกพุทธะ
รู้อะไรจึงเรียกว่า พุทธะ รู้อริยสัจจ์ 4 คือรู้ทุกข์รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ ผู้ใด เห็นพระอริยสัจจธรรม ก็แปลว่า ผู้นั้นถึงพระธรรมผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นก็ได้เห็นพระพุทธะ ตัวผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้เห็นพระพุทธ ได้เห็นพระธรรม นั้นแลชื่อว่า พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงอยู่ร่วมเป็นอันเดียวกัน
ดวงตาเห็นธรรม * ไม่ลูบคลำหนทาง
(ต่อความเห็นที่ 1)
รูปาวจรภูมิ-อรูปาวจรภูมิและโลกุตตรภูมิ ตอน 8 (จบ)
ขันธ์เป็นเอง และขันธ์ดัดแปลง
เมื่อวางอารมณ์สามกาลไม่คิดเรื่องอะไร หทัยวัตถุก็ว่าง เปล่าเท่านั้น ให้อยู่กับความว่างเปล่านี้แหละห้ามไม่ให้ความคิดในสามกาลบังเกิดขึ้น ความคิด ในสามกาลเป็นตัว สมุทัย เป็นเหตุ ให้เกิดทุกข์เป็นกิจที่ควรประหารไม่ให้เกิดขึ้นส่วนตัวทุกขสัจจ์มันเกิดมันดับ ซึ่งเป็นขันธ์ที่เป็นเองอย่าเข้าไปอยู่กับมัน ระวังตัวสมุทัยสัจจ์ มันจะเกิดขึ้นในลำดับแห่งทุกขสัจจ์ เหตุนั้นจึงให้ออกจากมัน มันเห็นเอง มันได้ยินเองมันหิวมันกระหายเอง มันหนาวมันร้อน เอง มันแก่ มันเจ็บ มันตายของมันเอง เราไม่ได้บอกให้เป็น มันเป็นเองท่านจึงเรียกว่า ขันธ์เป็นเอง
ระวังแต่ขันธ์ดัดแปลง ถ้าขันธ์ดัดแปลงเกิดขึ้นในกาลใดในกาลนั้นเป็นตัวสมุทัยเกิดทุกข์ ขันธ์ดัดแปลงก็คือ ขันธ์โลก ขันธ์โกรธ ขันธ์หลง นี้เองขันธ์ดัดแปลงมันจะเกิดขึ้นมันก็อาศัยขันธ์เป็นเอง เราไม่รู้เท่าขันธ์เป็นเองว่าธรรมชาติของมันเป็นอยู่อย่างนั้น ๆ
ขันธ์เป็นเอง คือ อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกอายตนะ แปลว่าเครื่องต่อ ถ้ายังไม่ต่อก็ไม่เรียกว่า อายตนะเมื่อมันต่อกันขึ้นจึงเรียกว่า อายตนะ เมื่อตาเห็นรูปจักขุวิญญาณเกิดขึ้น เมื่อหูฟังเสียงโสตวิญญาณจึงเกิดขึ้นตากับรูปเป็น รูปความรู้อันเกิดแต่ตาเป็น นาม หู กับเสียงเป็น รูป ความรู้อันเกิดแต่หูเป็น นาม นามและรูป เกิดแล้วก็ดับ เราไม่รู้จักว่า นาม และรูป ไม่รู้จักว่า ขันธ์ 5 ไม่รู้จัก อายตนะ ว่าเป็นของร้อน จึงเข้าไป ยึด ถือเอาโดยความเป็น เจ้าของ ตัวของ เรา จึงร้อนร้อนเพราะไฟคือ ราคะ ร้อนเพราะไฟคือ โทสะ ร้อน เพราะไฟ คือ โมหะ ร้อนไปด้วยความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เรียกว่าอยู่ใน วัฏฏ สงสาร
การกำหนดอุทยัพพยญาณ
เมื่อกำหนดอุทยัพพยญาณ อันเป็นตัวทุกขสัจจ์อยู่ ส่วนญาณอื่นๆ ไม่ต้องกำหนด เกิดขึ้นเอง กำหนดแต่อุทยัพพยญาณอันเดียวตลอดได้สำเร็จอรหันต์ ภยตุปัฎฐาญาณ การเห็นภัยในสังขาร ว่าเป็นของ น่ากลัว นี้เป็นตัวผลเกิดมาจากอุทยัพพยญาณเมื่อเห็นภัยแล้วก็เห็นโทษ เรียกว่า อาทีนวญาณ เมื่อเห็นโทษแล้วย่อมหน่วยนี้เรียกว่า นิพพิทาญาณ เห็นเบื่อหน่ายแล้วก็หาทางหนี เรียกว่า มุญจิตกัมมยตาญาณ การจะหนี ก็ต้องหาอุบายในการปล่อยวาง เรียกว่า ปฏิสังขารญาณ อุบายที่สำคัญก็คือ วางใจเป็นกลาง ไม่รัก – ไม่ชังเพราะห้ามมันไม่ได้ มันอยากแก่ อยากเจ็บ อยากตาย ของมันเป็นเอง ปล่อยวางไปตามสภาพของมัน นี้ท่านเรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ หรือเรียกว่า อนุโลมญาณเป็นยอดแห่งญาณ การที่กล่าวมาตามลำดับ อันนี้เรียกว่า วิปัสสนาทั้ง 9 เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน มาจากอุทยัพพยญาณทั้งสิ้น ที่ว่าอนุโลมญาณ หมายความว่า ตรวจดูภพทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ภพเหล่านี้ประชุมอยู่ที่หทัยวัตถุหทัยวัตถุเป็นผู้รับรู้ทั้งสิ้น ถ้าวางความรู้ใน อารมณ์สามกาลหมด ตัวภพทั้งปวงก็ดับไปด้วยประการทั้งปวง
ภพเหล่านี้จะดับอาศัยพระไตรลักษณ์ทั้งสาม เป็นอารมณ์แห่งพระนิพพาน ถ้าผู้ปฏิบัติเกิดสงสัยว่า ตนถึง นิพพานแล้วหรือไม่ถึง ต้องดูพระไตรลักษณ์ พระนิพพานไม่มีการยึดถือเอาสิ่งไรจึงเรียกว่า เอาอนัตตา เป็นอารมณ์ก่อน ตั้งแต่มรรคผลจะเกิดขึ้น กามาวจรญาณสัมปยุต บังเกิดขึ้นในตันมโนวิถี ตัดกระแสภวังค์ให้ขาด ภวังคจิต แปลว่า จิตดวงนี้ไปสู่ดวงอื่น คือ ทวาร 6 รับรู้อารมณ์ เรียกว่า วิถีจิตเกิด เมื่อทวาร 6 หยุด รับรู้เรียกว่า ภวังค์
ที่ว่าให้กำหนดความ เกิดดับ ก็หมายความว่า ให้รู้ความเกิดเป็นวิถีจิต ความดับเป็นภวังคจิต ที่ว่ากามาวจรสัมปยุต คือตัวปัญญาของเราเพ่งอยู่ที่หทัยวัตถุของเรา หมายความว่าให้รู้ตัวอยู่เสมอเมื่ออะไรผ่านมาที่หทัยวัตถุของเราจะเป็นอิฎฐารมณ์หรือ อนิฏฐารมณ์ เป็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ อารมณ์ที่กล่าวมานี้เปรียบเหมือนรูปหุ่นมาปรากฏที่จอหนัง จอหนังเปรียบเหมือนหทัยวัตถุของเรา หทัยวัตถุของเรามมันไม่ว่างจากอารมณ์ ตัวกามาวจร ญาณสัมปยุตคือ ปัญญาเห็นว่าจิตเหล่านี้ไม่เที่ยง ทั้งเป็นทุกข์ด้วย จึงได้ปฏิเสธจิตเหล่านี้ ไม่ให้มันมาเกิดในมโนทวาร ถ้ามันมาเกิดแล้วมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวเรา จึงได้นึกในใจว่า
• ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง ดังนี้บ้าง
• เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ ดังนี้บ้าง
• ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา ดังนี้บ้าง
จะเลือกเอาข้อไหนก็ได้ไม่ต้องว่าหลายอัน ที่ 1 เป็น บริกรรม ที่ว่าบริกรรม คือ หทัยวัตถุของเรามันยังไม่ว่างจากสังขาร สังขารจะมาเกิด อาศัย เผลอสติ จิตที่เป็นกามาวจรญาญ สัมปยุตดับไป แปลว่า ตกภวังค์ จิตดวงอื่นมาเกิด ถ้ากามาวจรญาณสัมปยุต ตัดกระแสภวังค์ให้ขาดเลยที่เดียว ตัวญาณสัมปยุตกามาวจรคิดอยู่ในใจว่า อะไร ๆ ก็ใช่เรา อะไร ๆ ก็ไม่ใช่เรา อารมณ์ที่กล่าวมามันมาเกิดไม่ได้เรียกว่า อุปจาระที่ 2
อธิบายอริยสัจจ์ 4
เมื่อตัววิปัสสนา คือ อนัตตลักษณะ ตัดกระแสของภพทั้งสาม วางลง เรียกว่า อนุโลม หรืออัปปนาที่ 3 เมื่อออกจาก สังขารนิมิต ที่กล่าวมานั้นได้เด็ดขาด หทัยวัตถุว่างเปล่า เรียกว่า โคตรภูจิต ที่แปลว่า จิต ล่วงจาก โลกียจิต เข้าสู่ โลกุตตรจิต เมื่อกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ทั้ง 3 ดับ ลงในกาลใด ในกาลนั้นเรียกว่า มหคต เกิดเมื่อ มรรคเกิด ผลเกิด คือ จิตไม่มีอาการ ไปอาการมา ไม่มีอาการจุติการเกิด ครั้นแล้วจิตก็ตกภวังค์ดังเก่า หมายความว่า จิตไป รู้ถึงโลกุตตรจิตแล้วจิตก็ตกภวังค์ ตัวปัจจเวกขณะญาณบังเกิดขึ้นในต้นมโนวิถี พิจารณามรรคธรรม ผลธรรมที่ตนได้แล้ว
• กำหนดทุกขสัจจ์ ละสมุทัยสัจจ์ ทำนิโรธสัจจ์ ให้แจ้งทำมรรคสัจจ์ให้เกิดมีขึ้น
• กำหนดทุกขสัจจ์ ก็คือ นามและรูป ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 เป็นตัวทุกข์สจจ์
ความไม่รู้นามและรูป ไม่รู้นามและรูป ไม่รู้ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 แล้วไปยึดถือเอา เป็นสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้าปล่อยวางนามรูป ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 เป็นนิโรธความดับทุกข์ กิริยาที่ทำการปล่อยวางเป็นมรรค เห็นประจักษ์เป็นสันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติเห็นด้วยตนเองเรียกว่า พุทธ แปลว่า ผู้รู้ รู้ธรรมที่ไม่ตาย
คำอธิบายใน ฐานที่ 7 ให้ถามถึงผู้ไม่ตาย 4
ฐานที่ 7 นี้เป็น เครื่องสอบผลจิต อันเกิดแต่มรรคเป็นผู้ทำไว้ ผลเป็นผู้เสวยกำไร เมื่อมรรคฆ่ากิเลสให้ตายเป็นสมุจเฉทประหารโดย เอกเทศ หรือ สิ้นเชิง ตามวาสนาบารมี
• พระโสดา พระสกิทาคา ไม่ตายใน พระวินัย
• พระอนาคา ไม่ตายใน พระสูตร คือจะขึ้นไปบังเกิดในชั้นสุทธาวาสพรหม ไม่กลับมาเข้าสู่ครรภ์ แล้วสิ้นลมหายใจเข้าโลงอีก จึงนับว่าไม่ตายในพระสูตร
• พระอรหัตตไม่ตายใน พระปรมัตถ์ คือจิตของท่านไม่ตายจากบาปมาเป็นบุญ สิ้นบุญสิ้นบาป เป็นผู้มีจิตไม่กำเริบ จิตของท่านไม่มีอาการไปอาการมา การจุติปฏิสนธิการเกิดการตาย ไม่ยึดเอาอะไรมาเป็นอารมณ์อีก ถือเอาอนัตตาเป็นอารมณ์โดยส่วนเดียวภพทั้งปวงเกิดขึ้นไม่ได้อีก เพราะท่านปล่อย วางนาม วางรูป วางขันธ์ 5 อายตนะ อันเป็นของร้อน ไม่เข้าไปยึดอีก แต่อายตนะของ ท่าน ก็คงมีอยู่ตามเดิม แต่มันเป็นของ เย็น เย็นอยู่ทั้ง กลางวันกลางคืน ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน ข้อนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า“อัตถิ ภิกขเว ตทายตนํ “
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะ นั้นมีอยู่ ที่ไม่เกิดแล้วไม่เป็นแล้ว ไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงไม่แต่งแล้ว ที่ว่า ไม่เกิดแล้ว คือ ไม่เกิดราคะ โทสะ โมหะ ไม่เกิด บุญเกิดบาป ไม่เกิดรัก เกิดชัง อีก ที่ว่าไม่เป็นแล้ว คือไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา ไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย ไม่เป็นสัตว์ไม่เป็นคน ไม่เป็นก๊กไม่เป็นเหล่า ไม่เป็นธรรมยุติ ไม่เป็นมหานิกาย ไม่เป็นอะไร ๆ เลยในโลกนี้ และโลกอื่น
• ที่ว่าไม่ทำแล้ว ไม่ทำบุญทำบาป ไม่ทำดีทำชั่ว ทำอะไรเป็นแต่กิริยาที่ทำ ไม่เป็นกรรม
• ที่ว่า ไม่ปรุงไม่แต่งแล้ว คือไม่ปรุงในอดีต อนาคตและปัจจุบัน
จิตของท่านไม่ลักลั่น ท่านจะใช้ให้ คิด ก็เป็น กิริยาที่คิด จิตของท่านอยู่เหนือ อำนาจแห่ง โลกธรรมทั้งสิ้น ศีล สมาธิ ปัญญา ของท่านเป็นของเป็นเอง ไม่ต้องรักษา เพราะอกุศลจิตและกุศลจิตขาดหมด
พระอริยเจ้า กับ ปุถุชน ถือไตรสรณาคมณ์ ต่าง กัน
พระอริยเจ้าทุก ๆ จำพวก เป็นผู้ถึงมหัคตสรณาคมณ์มรรคศีล หมายความว่าไม่ขาดจากพระไตรสรณาคมณ์ ไม่ขาดจากศีล เพราะกิเลสไม่มาจับต้องพระไตรสรณาคมณ์และศีล
พระโสดาฆ่าอกุศลได้ 5 คือ ทิฏฐิสัมปยุติ จิตกล้าในบาป อันเกิดในโลภมูล 4 ดวง วิจิกิจฉาในโมหมูล 1 ดวง ละวิจิกิจฉานิวรณ์ 1 ดวง ละสังโยชน์ได้ 3 คือ สักกายทิฏฐิวิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส เมื่อสังโยชน์นิวรณ์ อกุศลเหล่านี้ขาด ศีล 5 จึงเป็น อธิศีล ขาดจากเจตนาความตั้งใจที่จะฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ แต่พระโสดายังหนักศีล 8 เพราะละกามฉันทะยังไม่ได้ ( จึงยังต้องเป็นผู้ครองเรือน ) จะเกิดมาในโลกนี้เพียง 7 ชาติ เป็นอย่างมาก
พระสกิทา ละได้เท่ากัน แต่ละกามฉันท พยาบาทให้เบาลง จะมาเกิดในโลกนี้คราวเดียว
พระอนาคา ละอกุศลได้ 7 คือ ที่พระโสดาละได้ 5 กับโทสะมูลอีก 2 ดวง ละนิวรณ์ได้ 3 คือ กามฉันท พยาบาท วิจิกิจฉา ละสังโยชน์ได้ 5 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส กามฉันท พยาบาท มีศีล 8 เป็นเอง
พระอรหัตต ละอกุศล 12 นิวรณ์ 5 สังโยชน์10 มี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเอง ไม่ต้องรักษา
พระพุทธตุ๊กตา – พระธรรมเวทมนต์กลคาถา
พระอริยเจ้า ทุกจำพวกเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภายใน ส่วนปุถุชนถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กายนอก คือถึงแต่ตำรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปุถุชน ถึงแต่ตำราภายนอก แบ่งออกเป็น 2 พวก
• พวกหนึ่งไปอบาย
• พวกหนึ่งไปสวรรค์
จำพวกที่ไปอบาย คือ ถือพระพุทธตุ๊กตา ถือพระธรรมเวทมนต์กลคาถา ว่าฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก แต่เจ้าตัวไม่มีศีลธรรม อะไร ต้องการจะให้ พระพุทธ พระธรรมช่วย พระพุทธ พระธรรมช่วยคนที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมไม่ได้ ช่วยได้แต่คนที่มีศีลมีธรรมเท่านั้นเหมือนพระราชาช่วยได้แต่คนไม่ทำผิดกฎหมายเท่านั้นส่วนคนที่ทำผิดกฎหมายช่วยไม่ได้
ผู้ที่ถือเอาตำราพระสงฆ์ คือถือเอาพระธรรมยุติเป็นที่พึ่ง ถือเอาพระมหานิกายเป็นที่พึ่ง นิยมในลัทธินิกาย ถือกันเป็นก๊กเป็นเหล่า ใครก็ว่าใครดี เกิดริษยากันทางวาจา หนักเข้าทุบตีกันทางกาย จำพวกที่ถือตำรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้ แหละนำไปอบายรวมทั้ง จำพวกที่ถือ พระพุทธปฏิมากร อันเป็นตำราเสกสรรปรุงแต่งขึ้นด้วยอิฐด้วยปูน หรือเอาพระเล็ก ๆ มาแขวนคอไว้ก็ตาม ถือเอาด้วยความเลื่อมใส ถึงจะถือเอาเป็นของขลังก็ตาม
ส่วนการถึงตำราพระธรรม ถือเอาเสียงไหว้พระสวดมนต์เป็นที่ยินดี ถึงตำราพระสงฆ์ ถือเอาธรรมยุติ มหานิกาย ถือเอาด้วยความเลื่อมใส ไม่ถือพวกถือเหล่า ไม่ผิดศีลธรรม พวกนี้ไปสวรรค์
พระพุทธะกับ ปัจเจกพุทธะ
ส่วนพระอริยเจ้า ถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภายใน แปลว่า ถึงตัวจริง ถึงตัวพระพุทธะแท้ พุทธะแปลว่า ผู้รู้
• ผู้รู้ก่อนเรียกว่า สัพพัญญูพุทธะ
• ผู้รู้แล้วสั่งสอนผู้อื่นไม่ได้เรียกว่า ปัจเจกพุทธะ
• ผู้รู้ตามเรียกว่า สาวกพุทธะ
รู้อะไรจึงเรียกว่า พุทธะ รู้อริยสัจจ์ 4 คือรู้ทุกข์รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ ผู้ใด เห็นพระอริยสัจจธรรม ก็แปลว่า ผู้นั้นถึงพระธรรมผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นก็ได้เห็นพระพุทธะ ตัวผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้เห็นพระพุทธ ได้เห็นพระธรรม นั้นแลชื่อว่า พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงอยู่ร่วมเป็นอันเดียวกัน
ดวงตาเห็นธรรม * ไม่ลูบคลำหนทาง
(ต่อความเห็นที่ 1)