สวัสดีคะ ดิฉันมีปัญหาหนักอก ที่สะสางไม่ได้สักที มาขอคำปรึกษา
คือตัวดิฉันเอง ตอนนี้อยู่ต่างประเทศ ไม่สามาถกลับไทยภายในปีนี้
มาจัดการเรื่องมรดกได้ด้วยตนเอง จึงขอคำปรึกษา
เกริ่นก่อนนะคะ
ก่อนหน้านี้ดิฉันอาศัยกับคุณแม่เพียงลำพัง จนคุณแม่สนับสนุนให้ไปเรียนต่อต่างประเทศ จนจบปริญญาตรี ดิฉันพบรักกับแฟนชาวต่างชาติ จึงแต่งงานกัน ย้ายมาอยู่ที่ไทยได้สักพัก
สามีได้งานใหม่ที่ต่างประเทศ ดิฉันก็ย้ายตามไป วางแผนว่าจะทำเรื่องพาคุณแม่ไปอยู่ด้วย
สองปีที่แล้วดิฉันกลับไทยไปนานหน่อย เนื่องจากคุณแม่ป่วยหนักกระทันหัน จึงกลับไปดูแลคุณแม่ เป็นปีจนท่านเสีย ก่อนหน้านี้คุณแม่แยกทางกับคุณพ่อ ไปหลายสิบปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน เพราะคุณพ่อไม่ยอม และแยกตัวออกไปอาศัยภรรยาใหม่
ดิฉันมีพี่สาวแท้ๆ อยู่หนึ่งคน ซึ่งมีแฟนแล้ว แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และพี่สาวบุญธรรมที่เป็นลูกป้า ซึ่งคุณแม่เลี้ยงมาแต่เด้ก เป็นโสด และดิฉันเป็นลูกคนสุดท้อง แต่งงานตามกฎหมายไทย กับชาวอเมริกันกับชาวต่างชาติ
คุณแม่เป็นอดีตข้าราชการ พอเสียชีวิตเลยมีเงินช่วยทำศพกับเงินทดแทนให้ครอบครัวและคุณแม่ก็มีเงินเก็บที่ทิ้งไว้ในธนาคารจำนวนหนึ่งกับที่ดินที่ ( เจ้าปัญหา) ที่จะขออธิบายในที่หลัง
ในเวลานั้นดิฉันยอมรับว่าอ่อนแอ เศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของคุณแม่ เพราะสนิทกันท่านมาก
อีกทั้งรับหน้าที่จัดการบริหารงานศพลำพัง ทุกอย่างจึงมารุมค่อนข้างมากในช่วงนั้น พอเสร็จงานศพ
พี่สาวคนโตก็ทะเลาะกับคุณพ่อ เพราะคุณพ่อกลับมาขอส่วนแบ่งในกองมรดก และตามขั้นตอนของเงินทางราชการนั้น สามีผู้ตายจะได้รับเงินก้อนมากกว่าทายาท ซึ่งเพราะคุณพ่อไม่หย่ากับคุณแม่ เงินในส่วนต่างๆ ของทางราชการท่านก็รับไปครึ่งหนึ่งตามสิทธิ์ของท่าน ดิฉันก็เห็นว่าเป็นแบบนี้แล้ว แก้ไขไม่ได้ จึงพูดคุยกับพี่สาวจนยอมให้คุณพ่อไป
(พี่สาวบุญธรรมนั้น ไม่ได้เป็นทายาทตามกฎหมาย พี่สาวจึงไม่ได้ร้องขอส่วนแบ่งอะไร เพราะเขาก็มีครอบครัวที่แท้จริง และเห็นว่าที่คุณแม่ดิฉันเลี้ยงส่งเสียพี่เขามาแล้ว คือบุญคุณยิ่งใหญ่จึงไม่ได้ขอมีส่วนแบ่งใดๆ ทั้งสิ้น)
ที่นี่ก็มาถึงตอนเรื่องการจัดการมรดก
คุณแม่ดิฉันท่านไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้คะ
พี่สาวคนโตทะเลาะกับคุณพ่อหนักขึ้น และแต่ละฝ่ายพยายามเข้ามาหว่านล้อมดิฉันเรื่องขอเป็นผู้จัดการมรดก แต่เพียงผู้เดียว
ในที่สุด ดิฉันตัดสินใจยินยอมให้ทั้งคู่ เป็นผู้จัดการร่วมกัน เพราะทั้งคู่จ้องจะฟ้องศาลสู้กันเองเพื่อเป็นผู้จัดการแต่เพียงผุ้เดียว
ในตอนนั้นดิฉันถูกกดดันมากๆ จากทางญาติ พวกเขาอยากให้พี่สาวจัดการทุกอย่าง เพราะดิฉันแต่งงานกับต่างชาติ ซึ่งทางญาติฝั่งคุณแม่ไม่ค่อยพอใจเพราะ เป็นครอบครัวหัวอนุรักษ์และมองว่า ดิฉันอยู่ต่างประเทศ ควรให้พี่สาวทางไทยจัดการจะเหมาะกว่า
ทางคุณพ่อก็โมโห อยากจะเข้ามาจัดการมรดกเอง เพราะถือว่าบ้านที่คุณแม่อยู่ก็เงินท่านสร้าง ที่ดินบางส่วนก็เป็นชื่อท่าน ยังไม่หย่ากัน ชั้นต้องได้สิ
ดราม่าได้อีกคะ ครอบครัวดิฉัน
ดิฉันไม่รู้ว่าการตัดสินใจให้ทั้งสองมาจัดการมรดกนี้จะเป็นการกระทำที่มีปัญหาเรื้อรังตามมาให้ตัวเองในอนาคต
พอทั้งพี่สาวและคุณพ่อได้เป็นผู้จัดการมรดกสมใจก็ถึงเวลาแบ่งมรดกคะ ซึ่งตอนนั้นดิฉันกลับต่างประเทศไปและกลับมาอีก
ทรัพย์สินพวกสังหาริมทรัพย์
คุณพ่อขอครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งพี่สาวกับดิฉันจะต้องแบ่งกัน ก่อนหน้านี้ พี่สาวขอเป็นคนเก็บดูแลในส่วนของเราสองคนไว้ก่อน และบอกว่าจะแบ่งเมื่องานทุกอย่างเรียบร้อย
พอดิฉันกลับมาไทยอีกครั้ง พี่สาวบ่ายเบี่ยงไม่ยอมแบ่งในส่วนสังหาริมทรัพย์ พอดิฉันถามก็บอกนำไปเก็บไปตู้เซฟของแฟน ไม่มีเวลาไปไข เพราะยุ่ง ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวถึงนำของมีค่าไปให้แฟนเก็บไว้ พี่สาวก็หงุดหงิดใส่ดิฉันหาว่าไม่ไว้ใจเขา จน กระทั้ง ณ วันนี้ ดิฉันก็ยังไม่เคยได้ส่วนแบ่งนั้นกลับมา
(ซึ่งจริงๆ แล้วของเหล่านั้นส่วนใหญ่คือของที่ดิฉันซื้อให้คุณแม่เป็นของขวัญตามวาระต่างๆ ด้วยซ้ำ)
ทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์
คุณแม่มีที่ดินอยู่หลายแห่งที่ร่วมสะสมมากับคุณพ่อ พองานศพเสร็จ ทราบว่า ส่วนที่มีโฉนดอยู่ในมือคุณพ่อเอง ท่านก็เอาไปขายและเปลี่ยนมือไป คงเหลือโฉนดที่อยู่กับคุณแม่ ซึ่งมีที่ดินทั้งหมดสามผืน
ผืนแรกเป็นบ้านพร้อมที่ดิน ที่คุณแม่อาศัยกับดิฉันจนสิ้นชีวิต ผืนที่ ๒ เป็นที่ชื่อคุณพ่อ ผืนที่สามเป็นชื่อคุณแม่ และในระหว่างงานศพพี่สาวคนโตกับแฟนก็แอบมาเอาทุกโฉดที่กล่าวมาไปครอบครอง ซึ่งดิฉันมารู้ในภายหลัง
ที่ดินที่ควรแบ่งกันคนละครึ่ง พี่สาวก็เริ่มไม่ยอม โดยพักหลังพี่สาวไม่ยอมคุยกับดิฉันโดยตรง ให้คุณพ่อมาเจรจาให้ และแฟนของพี่สาวก์เริ่มเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของครอบครัวเรา
พี่สาวต้องการที่ดินทั้งหมดทั้งสองแห่ง และจะให้บ้านกะที่ดินดิฉันเท่านั้น ซึ่งตอนแรกดิฉันก็เครียดว่า พี่สาวทำไมเป็นแบบนี้ และไม่ยอมตกลง ประกอบกับดิฉันต้องกลับมาต่างประเทศจึงยังไม่ได้ตกลงกัน ส่วนคุณพ่อก็เริ่มสนิทกับพี่สาว และเห็นด้วยกับพี่สาวทุกอย่าง ญาติ ทางฝั่งคุณพ่อท่านหนึ่ง แอบมาบอกดิฉันว่าที่เป็นแบบนี้เพราะพี่สาวบอกว่า ถ้าคุณพ่อสนับสนุนให้พี่สาวได้ถือครองที่ดินทั้งหมด แฟนพี่สาวจะเอาที่ดินไปทำธุรกิจ เข้าธนาคาร และนำเงินนั้นมาแบ่งกับคุณพ่อ เพราะทั้งสองคนรู้ว่าดิฉันไม่มีแผนจะขายที่ดินของคุณแม่ จึงมองว่าไม่เกิดประโยชน์
ดิฉันไม่สามารถกลับไปไทยได้ในปีนี้ เพราะติดเรียนเรียน ป โท และดิฉันกำลังป่วย
เพิ่มเติม ส่วนเงินมรดกอะไรทั้งหมด ดิฉันก้ไม่เคยได้รับส่วนแบ่งเลยคะ
ที่ดินทั้งสองผืน มีมูลต่าแต่ละผืนมากกว่าบ้านมากๆคะ ซึ่งในตอนแรก ดิฉันก็ยอมที่อะไรก็ได้ แล้วแต่พี่พ่อจะอยากได้ เพราะเราเป็นลุกคนเล็ก ความรู้น้อยว่าเขาด้วย คืดว่าได้บ้านกับที่อีกสองไร่ ก็พอแล้ว พอคิดว่าตัวเองมีปัญญาหาได้เองใหม่ แต่เพื่อนๆ ญาตืบางคน รวมทั้งสามี บอกว่า ดิฉันใจดีเกินไป แม้เราจะไม่ได้อยากได้จริงๆ แต่ก็ไม่ควรจะให้มาเอาเปรียบจนเด่นชัดขนาดนี้ ขนาดเราเลือกจะยอมเอาส่วนน้อย เขาก็ไม่ยอมจะเอาส่วนมากแทบทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาดิฉันคนเดียวอยู่กับแม่ ทำงานก็ให้เงินแม่ ค่ารักษาพยาบาลเป็นล้านๆ งานศพคุณแม่ดิฉันออกเองหมด ส่วนพี่สาวกับพ่อไม่เคยมาดูแลแม่ แต่ก็จะเอาส่วนมากและวางแผนเอาไปขาย จากใจด้วยความสัตย์ ดิฉันไม่เคยอิจฉา แต่ดิฉันยอมมามากแล้ว แอบน้อยใจที่ทำไมสายเลือดเดียวกัน ไมทำแบบนี้ ที่จะขอแบ่งให้เท่ากันๆ คือ แค่ความยุติธรรม
คำถาม
๑) ดิฉันสามารถใช้ทนายมาเป็นตัวแทนเจรจาและทำสัญญาเรื่องโอนที่ดินได้หรือไม่
๒) และอีกทาง ดิฉันมีความคิดที่จะพยายามพูดคุยให้ตกลงกันเองกับพี่สาวก่อน ถ้าตกลงกันได้ ดิฉันสามารถให้ทนายเป็นตัวแทนโอนที่ดินกับพี่สาวได้หรือไม่
๓) สนนราคาทนายประมาณเท่าไรในเคสดิฉัน
๔) ดิฉันควรทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตดี ยอมรับว่าเครียดมาก ไม่ได้เครียดเรื่องส่วนแบ่ง แต่เครียดว่าไม่อยากมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับพี่สาวและพ่อเลย รักพี่สาวมากคะ
อยู่ต่างประเทศ มีปัญหาแบ่งมรดกที่ไทยไม่ลงตัว ใช้ทนายทำแทนได้หรือไม่
คือตัวดิฉันเอง ตอนนี้อยู่ต่างประเทศ ไม่สามาถกลับไทยภายในปีนี้
มาจัดการเรื่องมรดกได้ด้วยตนเอง จึงขอคำปรึกษา
เกริ่นก่อนนะคะ
ก่อนหน้านี้ดิฉันอาศัยกับคุณแม่เพียงลำพัง จนคุณแม่สนับสนุนให้ไปเรียนต่อต่างประเทศ จนจบปริญญาตรี ดิฉันพบรักกับแฟนชาวต่างชาติ จึงแต่งงานกัน ย้ายมาอยู่ที่ไทยได้สักพัก
สามีได้งานใหม่ที่ต่างประเทศ ดิฉันก็ย้ายตามไป วางแผนว่าจะทำเรื่องพาคุณแม่ไปอยู่ด้วย
สองปีที่แล้วดิฉันกลับไทยไปนานหน่อย เนื่องจากคุณแม่ป่วยหนักกระทันหัน จึงกลับไปดูแลคุณแม่ เป็นปีจนท่านเสีย ก่อนหน้านี้คุณแม่แยกทางกับคุณพ่อ ไปหลายสิบปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน เพราะคุณพ่อไม่ยอม และแยกตัวออกไปอาศัยภรรยาใหม่
ดิฉันมีพี่สาวแท้ๆ อยู่หนึ่งคน ซึ่งมีแฟนแล้ว แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และพี่สาวบุญธรรมที่เป็นลูกป้า ซึ่งคุณแม่เลี้ยงมาแต่เด้ก เป็นโสด และดิฉันเป็นลูกคนสุดท้อง แต่งงานตามกฎหมายไทย กับชาวอเมริกันกับชาวต่างชาติ
คุณแม่เป็นอดีตข้าราชการ พอเสียชีวิตเลยมีเงินช่วยทำศพกับเงินทดแทนให้ครอบครัวและคุณแม่ก็มีเงินเก็บที่ทิ้งไว้ในธนาคารจำนวนหนึ่งกับที่ดินที่ ( เจ้าปัญหา) ที่จะขออธิบายในที่หลัง
ในเวลานั้นดิฉันยอมรับว่าอ่อนแอ เศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของคุณแม่ เพราะสนิทกันท่านมาก
อีกทั้งรับหน้าที่จัดการบริหารงานศพลำพัง ทุกอย่างจึงมารุมค่อนข้างมากในช่วงนั้น พอเสร็จงานศพ
พี่สาวคนโตก็ทะเลาะกับคุณพ่อ เพราะคุณพ่อกลับมาขอส่วนแบ่งในกองมรดก และตามขั้นตอนของเงินทางราชการนั้น สามีผู้ตายจะได้รับเงินก้อนมากกว่าทายาท ซึ่งเพราะคุณพ่อไม่หย่ากับคุณแม่ เงินในส่วนต่างๆ ของทางราชการท่านก็รับไปครึ่งหนึ่งตามสิทธิ์ของท่าน ดิฉันก็เห็นว่าเป็นแบบนี้แล้ว แก้ไขไม่ได้ จึงพูดคุยกับพี่สาวจนยอมให้คุณพ่อไป
(พี่สาวบุญธรรมนั้น ไม่ได้เป็นทายาทตามกฎหมาย พี่สาวจึงไม่ได้ร้องขอส่วนแบ่งอะไร เพราะเขาก็มีครอบครัวที่แท้จริง และเห็นว่าที่คุณแม่ดิฉันเลี้ยงส่งเสียพี่เขามาแล้ว คือบุญคุณยิ่งใหญ่จึงไม่ได้ขอมีส่วนแบ่งใดๆ ทั้งสิ้น)
ที่นี่ก็มาถึงตอนเรื่องการจัดการมรดก
คุณแม่ดิฉันท่านไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้คะ
พี่สาวคนโตทะเลาะกับคุณพ่อหนักขึ้น และแต่ละฝ่ายพยายามเข้ามาหว่านล้อมดิฉันเรื่องขอเป็นผู้จัดการมรดก แต่เพียงผู้เดียว
ในที่สุด ดิฉันตัดสินใจยินยอมให้ทั้งคู่ เป็นผู้จัดการร่วมกัน เพราะทั้งคู่จ้องจะฟ้องศาลสู้กันเองเพื่อเป็นผู้จัดการแต่เพียงผุ้เดียว
ในตอนนั้นดิฉันถูกกดดันมากๆ จากทางญาติ พวกเขาอยากให้พี่สาวจัดการทุกอย่าง เพราะดิฉันแต่งงานกับต่างชาติ ซึ่งทางญาติฝั่งคุณแม่ไม่ค่อยพอใจเพราะ เป็นครอบครัวหัวอนุรักษ์และมองว่า ดิฉันอยู่ต่างประเทศ ควรให้พี่สาวทางไทยจัดการจะเหมาะกว่า
ทางคุณพ่อก็โมโห อยากจะเข้ามาจัดการมรดกเอง เพราะถือว่าบ้านที่คุณแม่อยู่ก็เงินท่านสร้าง ที่ดินบางส่วนก็เป็นชื่อท่าน ยังไม่หย่ากัน ชั้นต้องได้สิ
ดราม่าได้อีกคะ ครอบครัวดิฉัน
ดิฉันไม่รู้ว่าการตัดสินใจให้ทั้งสองมาจัดการมรดกนี้จะเป็นการกระทำที่มีปัญหาเรื้อรังตามมาให้ตัวเองในอนาคต
พอทั้งพี่สาวและคุณพ่อได้เป็นผู้จัดการมรดกสมใจก็ถึงเวลาแบ่งมรดกคะ ซึ่งตอนนั้นดิฉันกลับต่างประเทศไปและกลับมาอีก
ทรัพย์สินพวกสังหาริมทรัพย์
คุณพ่อขอครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งพี่สาวกับดิฉันจะต้องแบ่งกัน ก่อนหน้านี้ พี่สาวขอเป็นคนเก็บดูแลในส่วนของเราสองคนไว้ก่อน และบอกว่าจะแบ่งเมื่องานทุกอย่างเรียบร้อย
พอดิฉันกลับมาไทยอีกครั้ง พี่สาวบ่ายเบี่ยงไม่ยอมแบ่งในส่วนสังหาริมทรัพย์ พอดิฉันถามก็บอกนำไปเก็บไปตู้เซฟของแฟน ไม่มีเวลาไปไข เพราะยุ่ง ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวถึงนำของมีค่าไปให้แฟนเก็บไว้ พี่สาวก็หงุดหงิดใส่ดิฉันหาว่าไม่ไว้ใจเขา จน กระทั้ง ณ วันนี้ ดิฉันก็ยังไม่เคยได้ส่วนแบ่งนั้นกลับมา
(ซึ่งจริงๆ แล้วของเหล่านั้นส่วนใหญ่คือของที่ดิฉันซื้อให้คุณแม่เป็นของขวัญตามวาระต่างๆ ด้วยซ้ำ)
ทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์
คุณแม่มีที่ดินอยู่หลายแห่งที่ร่วมสะสมมากับคุณพ่อ พองานศพเสร็จ ทราบว่า ส่วนที่มีโฉนดอยู่ในมือคุณพ่อเอง ท่านก็เอาไปขายและเปลี่ยนมือไป คงเหลือโฉนดที่อยู่กับคุณแม่ ซึ่งมีที่ดินทั้งหมดสามผืน
ผืนแรกเป็นบ้านพร้อมที่ดิน ที่คุณแม่อาศัยกับดิฉันจนสิ้นชีวิต ผืนที่ ๒ เป็นที่ชื่อคุณพ่อ ผืนที่สามเป็นชื่อคุณแม่ และในระหว่างงานศพพี่สาวคนโตกับแฟนก็แอบมาเอาทุกโฉดที่กล่าวมาไปครอบครอง ซึ่งดิฉันมารู้ในภายหลัง
ที่ดินที่ควรแบ่งกันคนละครึ่ง พี่สาวก็เริ่มไม่ยอม โดยพักหลังพี่สาวไม่ยอมคุยกับดิฉันโดยตรง ให้คุณพ่อมาเจรจาให้ และแฟนของพี่สาวก์เริ่มเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของครอบครัวเรา
พี่สาวต้องการที่ดินทั้งหมดทั้งสองแห่ง และจะให้บ้านกะที่ดินดิฉันเท่านั้น ซึ่งตอนแรกดิฉันก็เครียดว่า พี่สาวทำไมเป็นแบบนี้ และไม่ยอมตกลง ประกอบกับดิฉันต้องกลับมาต่างประเทศจึงยังไม่ได้ตกลงกัน ส่วนคุณพ่อก็เริ่มสนิทกับพี่สาว และเห็นด้วยกับพี่สาวทุกอย่าง ญาติ ทางฝั่งคุณพ่อท่านหนึ่ง แอบมาบอกดิฉันว่าที่เป็นแบบนี้เพราะพี่สาวบอกว่า ถ้าคุณพ่อสนับสนุนให้พี่สาวได้ถือครองที่ดินทั้งหมด แฟนพี่สาวจะเอาที่ดินไปทำธุรกิจ เข้าธนาคาร และนำเงินนั้นมาแบ่งกับคุณพ่อ เพราะทั้งสองคนรู้ว่าดิฉันไม่มีแผนจะขายที่ดินของคุณแม่ จึงมองว่าไม่เกิดประโยชน์
ดิฉันไม่สามารถกลับไปไทยได้ในปีนี้ เพราะติดเรียนเรียน ป โท และดิฉันกำลังป่วย
เพิ่มเติม ส่วนเงินมรดกอะไรทั้งหมด ดิฉันก้ไม่เคยได้รับส่วนแบ่งเลยคะ
ที่ดินทั้งสองผืน มีมูลต่าแต่ละผืนมากกว่าบ้านมากๆคะ ซึ่งในตอนแรก ดิฉันก็ยอมที่อะไรก็ได้ แล้วแต่พี่พ่อจะอยากได้ เพราะเราเป็นลุกคนเล็ก ความรู้น้อยว่าเขาด้วย คืดว่าได้บ้านกับที่อีกสองไร่ ก็พอแล้ว พอคิดว่าตัวเองมีปัญญาหาได้เองใหม่ แต่เพื่อนๆ ญาตืบางคน รวมทั้งสามี บอกว่า ดิฉันใจดีเกินไป แม้เราจะไม่ได้อยากได้จริงๆ แต่ก็ไม่ควรจะให้มาเอาเปรียบจนเด่นชัดขนาดนี้ ขนาดเราเลือกจะยอมเอาส่วนน้อย เขาก็ไม่ยอมจะเอาส่วนมากแทบทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาดิฉันคนเดียวอยู่กับแม่ ทำงานก็ให้เงินแม่ ค่ารักษาพยาบาลเป็นล้านๆ งานศพคุณแม่ดิฉันออกเองหมด ส่วนพี่สาวกับพ่อไม่เคยมาดูแลแม่ แต่ก็จะเอาส่วนมากและวางแผนเอาไปขาย จากใจด้วยความสัตย์ ดิฉันไม่เคยอิจฉา แต่ดิฉันยอมมามากแล้ว แอบน้อยใจที่ทำไมสายเลือดเดียวกัน ไมทำแบบนี้ ที่จะขอแบ่งให้เท่ากันๆ คือ แค่ความยุติธรรม
คำถาม
๑) ดิฉันสามารถใช้ทนายมาเป็นตัวแทนเจรจาและทำสัญญาเรื่องโอนที่ดินได้หรือไม่
๒) และอีกทาง ดิฉันมีความคิดที่จะพยายามพูดคุยให้ตกลงกันเองกับพี่สาวก่อน ถ้าตกลงกันได้ ดิฉันสามารถให้ทนายเป็นตัวแทนโอนที่ดินกับพี่สาวได้หรือไม่
๓) สนนราคาทนายประมาณเท่าไรในเคสดิฉัน
๔) ดิฉันควรทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตดี ยอมรับว่าเครียดมาก ไม่ได้เครียดเรื่องส่วนแบ่ง แต่เครียดว่าไม่อยากมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับพี่สาวและพ่อเลย รักพี่สาวมากคะ