แฉ อสมท.ซุ่มเงียบเลิกสัมปทานเคเบิ้ลกับทรู วิชั่นส์ ยอมรับค่าชดเชยรายได้แค่ 45 ล้าน แถมเปิดทางเอกชนซื้อคืนอุปกรณ์เครื่องรับสัญญาณมูลค่านับพันล้านในราคาต่ำติดดินแค่ 220 ล้านเท่านั้น ทำวงการอึ้ง-ไฟเขียวได้อย่างไร หวั่นเจริญรอยตามคดีอื้อฉาว “ไร่ส้ม-สรยุทธ” ที่โดน ป.ป.ช.เชือดกราวรูด
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการ อสมท.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พิจารณาบันทึกข้อตกลงร่วม ระหว่าง อสมท.กับบริษัท ทรูวิชั่นส์ เคเบิ้ล ที่ได้มีการเจรจาจัดทำข้อตกลงเพื่อยุติสัมปทานการให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (เคเบิ้ลทีวี) จากสัมปทานเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2562
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2557 บริษัท ทรู วิชั่นส์ ได้ทำเรื่องส่งมอบอุปกรณ์เครื่องรับให้แก่ อสมท. จำนวน 1,551 รายการและทาง อสมท.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อดำเนินการตรวจนับและประเมินราคาอุปกรณ์ดังกล่าว โดยคณะกรรมการได้ดำเนินการตรวจรับไปแล้ว 1,224 รายการ ก่อนที่คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน จะมีการสอบถามความเห็นหน่วยงานภายใน อสมท. ถึงความจำเป็นในการใช้งานอุปกรณ์ที่ได้รับมอบมาเหล่านี้ ก่อนจะสรุปว่า อุปกรณ์ส่งสัญญาณที่ได้รับมอบมาดังกล่าว ไม่มีความจำเป็นและ ไม่เหมาะสมแก่การใช้งานของ อสมท. เนื่องจากไม่สอดคล้องกับระบบออกอากาศที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จึงเสนอให้คณะกรรมการจำหน่ายพัสดุโดยวิธีพิเศษ ดำเนินการพิจารณาประเมินราคาเพื่อจะได้หาทางจำหน่ายทรัพย์สินเหล่านี้ออกไป
ขณะเดียวกันกลุ่มทรูวิชั่นส์ก็ได้มีหนังสือมายัง อสมท.เพื่อขอซื้อคืนอุปกรณ์เหล่านี้ พร้อมขอให้ อสมท.ยกเว้นค่าใช้จ่ายเครื่องมืออุปกรณ์ที่บริษัทใช้งานไปในช่วงที่ผ่านมา นับแต่วันที่ 1 ต.ค.56 จนกว่าจะซื้อ -ขายจ่ายโอนกันแล้วเสร็จ ก่อนที่คณะทำงานติดตามการปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานจะมีการเจรจาจนได้ข้อยุติและจัดทำร่าง บันทึกข้อตกลงระหว่าง อสมท.กับทรูวิชั่นส์ โดยนอกจากทรู วิชั่นส์มีข้อเรียกร้องให้ อสมท.ยอมรับรายการ ทรัพย์สินคงเหลือเมื่อสิ้นสุดสัญญาจำนวน 1,551 เครื่อง ที่บริษัทส่งมอบให้แก่ อสมท.แล้ว ยังเสนอซื้อคืนอุปกรณ์เครื่องรับเหล่านี้จาก อสมท.ในราคาไม่เกิน 221 ล้านบาท โดยแบ่งจ่ายออกเป็น 2 งวด
นอกจากนี้ อสมท.ยังได้ท้วงติงทรูวิชั่นส์กรุ๊ป กรณีที่บริษัทประกอบกิจการโทรทัศน์แบบไม่ใช่คลื่น ประเภทโครงข่ายโดยได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ซึ่งถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาร่วมดำเนินกิจการ โทรทัศน์ แบบบอกรับสมาชิกกับ อสมท. แต่บริษัทก็อ้างว่าดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย และในสัญญาสัมปทานไม่ได้มีเงื่อนไขห้าม ทรูวิชั่นส์ หรือกลุ่มบริษัทดำเนินกิจการในลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตามเพื่อให้การเจรจาเป็นที่ยุติ ทางกลุ่มทรูได้เสนอที่จะออกอากาศช่องรายการชดเชยให้แก่ อสมท.จำนวน 2 ช่องไปจนสิ้นสุดปี 62
อย่างไรก็ตามการขอยุติสัญญาสัมปทานก่อนกำหนดข้างต้น คณะทำงานติดตามการปฏิบัติตามสัญญา สัมปทานเห็นว่า อสมท.ควรได้รับค่าชดเชย/ค่าเสียโอกาสจากบริษัท โดยพิจารณาจากรายได้ค่าบริการโทรทัศน์ แบบบอกรับสมาชิกของทรูวิชั่น กรุ๊ป ตามงบการเงินที่ปรากฏหรือจากรายได้ที่ทรูวิชั่นส์ เคเบิ้ล นำมาคำนวณเป็นส่วนแบ่งรายได้ให้ อสมท.ในปี 2556 ในอัตราร้อยละ 2.5 ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างค่าตอบแทนตามสัญญาร่วมการงานฯ (6.5%) และค่าธรรมเนียมที่ทรูวิชั่น กรุ๊ป ชำระให้ กสทช. (4%) รวมเม็ดเงินทั้งสิ้น 45.7 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การเจรจาจัดทำข้อตกลงเพื่อซื้อคืนอุปกรณ์เครื่องรับของทรูวิชั่นส์ ที่ส่งมอบให้แก่ อสมท. จำนวน 1,551 รายการ มูลค่า 221 ล้านบาทนั้น รวมทั้งยินยอมให้บริษัทยุติสัญญาระหว่างกันก่อนสิ้นสุดสัมปทานในปี 62 โดยยอมรับเงินชดเชย 2.5% อันเป็นส่วนต่างค่าตอบแทนที่บริษัทต้องจ่ายแก่ อสมท.และ กสทช.ประมาณ 45 ล้านบาทนั้น ก่อให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนหรือไม่? และยังตั้งข้อสงสัยด้วยว่า เป็นไปได้อย่างไรที่อุปกรณ์เครื่องรับที่ทรูวิชั่นส์ลงทุนไปตลอดช่วงสัญญา ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านบาท แต่กลับตีมูลค่าทรัพย์สินที่จะขอซื้อคืนเพียง 221 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งยังก่อให้เกิดคำถามตามมาด้วยว่า การอ้างผลสำรวจหน่วยงานภายในและระบุว่าอุปกรณ์ที่ได้รับมอบมาเหล่านี้ล้าสมัย ไม่เหมาะสมสอดคล้องกับระบบออกอากาศที่ อสมท.มีอยู่นั้น หากอุปกรณ์ที่บริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานส่งมอบให้แก่รัฐล้าสมัย เหตุใดบริษัทกลับยังคงซื้อกลับไปใช้ออกอากาศได้ตามปกติ
ที่สำคัญ อสมท.จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องเร่งขายคืนให้แก่บริษัท ไม่มีหนทางเลือกอื่นในการบริการอุปกรณ์ เครื่องรับเหล่านี้เลยหรือ เหตุใดจึงไม่เปิดกว้างให้เอกชนรายอื่นๆ ยื่นข้อเสนอเข้ามาเปรียบเทียบ สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น
หากกรณี “ไร่ส้ม-สรยุทธ” ของนักข่าวเลื่องชื่อที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้บริหารบริษัทเอกชนกราวรูด โทษฐานไม่ชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้แก่บริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน) ซึ่งล่าสุดสำนักงานอัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องผู้เกี่ยวข้องต่อศาลไปแล้ว กรณีการยกเลิกสัญญาสัมปทานกับบริษัท ทรู วิชั่นเคเบิ้ลครั้งนี้ ทางฝ่ายบริหารและบอร์ด อสมท.คงต้องเตรียมตอบคำถามคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า สิ่งที่ฝ่ายบริหารและบอร์ด อสมท.ดำเนินการไปล่าสุดนั้น เข้าข่ายเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชนหรือไม่ เป็นอีกกรณีศึกษาที่กำลังจะเจริญรอบตามคดีไร่ส้มหรือไม่?
อสมท.-ทรูวิชั่น มุบมิบเลิกสัมปทานเคเบิ้ลทีวี
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการ อสมท.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พิจารณาบันทึกข้อตกลงร่วม ระหว่าง อสมท.กับบริษัท ทรูวิชั่นส์ เคเบิ้ล ที่ได้มีการเจรจาจัดทำข้อตกลงเพื่อยุติสัมปทานการให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (เคเบิ้ลทีวี) จากสัมปทานเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2562
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2557 บริษัท ทรู วิชั่นส์ ได้ทำเรื่องส่งมอบอุปกรณ์เครื่องรับให้แก่ อสมท. จำนวน 1,551 รายการและทาง อสมท.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อดำเนินการตรวจนับและประเมินราคาอุปกรณ์ดังกล่าว โดยคณะกรรมการได้ดำเนินการตรวจรับไปแล้ว 1,224 รายการ ก่อนที่คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน จะมีการสอบถามความเห็นหน่วยงานภายใน อสมท. ถึงความจำเป็นในการใช้งานอุปกรณ์ที่ได้รับมอบมาเหล่านี้ ก่อนจะสรุปว่า อุปกรณ์ส่งสัญญาณที่ได้รับมอบมาดังกล่าว ไม่มีความจำเป็นและ ไม่เหมาะสมแก่การใช้งานของ อสมท. เนื่องจากไม่สอดคล้องกับระบบออกอากาศที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จึงเสนอให้คณะกรรมการจำหน่ายพัสดุโดยวิธีพิเศษ ดำเนินการพิจารณาประเมินราคาเพื่อจะได้หาทางจำหน่ายทรัพย์สินเหล่านี้ออกไป
ขณะเดียวกันกลุ่มทรูวิชั่นส์ก็ได้มีหนังสือมายัง อสมท.เพื่อขอซื้อคืนอุปกรณ์เหล่านี้ พร้อมขอให้ อสมท.ยกเว้นค่าใช้จ่ายเครื่องมืออุปกรณ์ที่บริษัทใช้งานไปในช่วงที่ผ่านมา นับแต่วันที่ 1 ต.ค.56 จนกว่าจะซื้อ -ขายจ่ายโอนกันแล้วเสร็จ ก่อนที่คณะทำงานติดตามการปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานจะมีการเจรจาจนได้ข้อยุติและจัดทำร่าง บันทึกข้อตกลงระหว่าง อสมท.กับทรูวิชั่นส์ โดยนอกจากทรู วิชั่นส์มีข้อเรียกร้องให้ อสมท.ยอมรับรายการ ทรัพย์สินคงเหลือเมื่อสิ้นสุดสัญญาจำนวน 1,551 เครื่อง ที่บริษัทส่งมอบให้แก่ อสมท.แล้ว ยังเสนอซื้อคืนอุปกรณ์เครื่องรับเหล่านี้จาก อสมท.ในราคาไม่เกิน 221 ล้านบาท โดยแบ่งจ่ายออกเป็น 2 งวด
นอกจากนี้ อสมท.ยังได้ท้วงติงทรูวิชั่นส์กรุ๊ป กรณีที่บริษัทประกอบกิจการโทรทัศน์แบบไม่ใช่คลื่น ประเภทโครงข่ายโดยได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ซึ่งถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาร่วมดำเนินกิจการ โทรทัศน์ แบบบอกรับสมาชิกกับ อสมท. แต่บริษัทก็อ้างว่าดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย และในสัญญาสัมปทานไม่ได้มีเงื่อนไขห้าม ทรูวิชั่นส์ หรือกลุ่มบริษัทดำเนินกิจการในลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตามเพื่อให้การเจรจาเป็นที่ยุติ ทางกลุ่มทรูได้เสนอที่จะออกอากาศช่องรายการชดเชยให้แก่ อสมท.จำนวน 2 ช่องไปจนสิ้นสุดปี 62
อย่างไรก็ตามการขอยุติสัญญาสัมปทานก่อนกำหนดข้างต้น คณะทำงานติดตามการปฏิบัติตามสัญญา สัมปทานเห็นว่า อสมท.ควรได้รับค่าชดเชย/ค่าเสียโอกาสจากบริษัท โดยพิจารณาจากรายได้ค่าบริการโทรทัศน์ แบบบอกรับสมาชิกของทรูวิชั่น กรุ๊ป ตามงบการเงินที่ปรากฏหรือจากรายได้ที่ทรูวิชั่นส์ เคเบิ้ล นำมาคำนวณเป็นส่วนแบ่งรายได้ให้ อสมท.ในปี 2556 ในอัตราร้อยละ 2.5 ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างค่าตอบแทนตามสัญญาร่วมการงานฯ (6.5%) และค่าธรรมเนียมที่ทรูวิชั่น กรุ๊ป ชำระให้ กสทช. (4%) รวมเม็ดเงินทั้งสิ้น 45.7 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การเจรจาจัดทำข้อตกลงเพื่อซื้อคืนอุปกรณ์เครื่องรับของทรูวิชั่นส์ ที่ส่งมอบให้แก่ อสมท. จำนวน 1,551 รายการ มูลค่า 221 ล้านบาทนั้น รวมทั้งยินยอมให้บริษัทยุติสัญญาระหว่างกันก่อนสิ้นสุดสัมปทานในปี 62 โดยยอมรับเงินชดเชย 2.5% อันเป็นส่วนต่างค่าตอบแทนที่บริษัทต้องจ่ายแก่ อสมท.และ กสทช.ประมาณ 45 ล้านบาทนั้น ก่อให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนหรือไม่? และยังตั้งข้อสงสัยด้วยว่า เป็นไปได้อย่างไรที่อุปกรณ์เครื่องรับที่ทรูวิชั่นส์ลงทุนไปตลอดช่วงสัญญา ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านบาท แต่กลับตีมูลค่าทรัพย์สินที่จะขอซื้อคืนเพียง 221 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งยังก่อให้เกิดคำถามตามมาด้วยว่า การอ้างผลสำรวจหน่วยงานภายในและระบุว่าอุปกรณ์ที่ได้รับมอบมาเหล่านี้ล้าสมัย ไม่เหมาะสมสอดคล้องกับระบบออกอากาศที่ อสมท.มีอยู่นั้น หากอุปกรณ์ที่บริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานส่งมอบให้แก่รัฐล้าสมัย เหตุใดบริษัทกลับยังคงซื้อกลับไปใช้ออกอากาศได้ตามปกติ
ที่สำคัญ อสมท.จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องเร่งขายคืนให้แก่บริษัท ไม่มีหนทางเลือกอื่นในการบริการอุปกรณ์ เครื่องรับเหล่านี้เลยหรือ เหตุใดจึงไม่เปิดกว้างให้เอกชนรายอื่นๆ ยื่นข้อเสนอเข้ามาเปรียบเทียบ สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น
หากกรณี “ไร่ส้ม-สรยุทธ” ของนักข่าวเลื่องชื่อที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้บริหารบริษัทเอกชนกราวรูด โทษฐานไม่ชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้แก่บริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน) ซึ่งล่าสุดสำนักงานอัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องผู้เกี่ยวข้องต่อศาลไปแล้ว กรณีการยกเลิกสัญญาสัมปทานกับบริษัท ทรู วิชั่นเคเบิ้ลครั้งนี้ ทางฝ่ายบริหารและบอร์ด อสมท.คงต้องเตรียมตอบคำถามคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า สิ่งที่ฝ่ายบริหารและบอร์ด อสมท.ดำเนินการไปล่าสุดนั้น เข้าข่ายเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชนหรือไม่ เป็นอีกกรณีศึกษาที่กำลังจะเจริญรอบตามคดีไร่ส้มหรือไม่?