สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
..ก่อนอื่น น้าขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียคุณพ่อไป..ด้วยนะคะ
..น้าในฐานะเป็นแม่คน ..และเมื่อ 26 ปีก่อน ก็เคยเป็นนักศึกษาปี 1 ..
แม้ระบบการศึกษาในบ้านเมืองเรา ..เรื่องว่าด้วยวิชาที่เปิดสอน ในระดับอุดมศึกษา
ไปจนถึงการประกอบอาชีพ จะมีความเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยน้า
..แต่มีเรื่องที่เป็นข้อเท็จจริงในชีวิต ที่สามารถทำความเข้าใจได้ ..มาเล่าสู่หนูฟังค่ะ ^^
..ถึงน้าจะไม่เคยมีประสบการณ์สูญเสียผู้ใหญ่ในบ้าน ไปในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิตแบบหนู
แต่สิ่งที่สามารถเข้าใจได้คือ สมาชิกที่เหลือในครอบครัว จะรู้สึกเคว้งคว้าง ..ขาดความมั่นคง
หนูต้องรู้บริบทในครอบครัวดีกว่าใคร ว่าพ่อหนูมีบทบาทแค่ไหน ในบ้าน
..หากพ่อเคยเป็นเสาหลัก ในการเลี้ยงครอบครัว .. วันที่พ่อไม่อยู่ .. แต่ภาระค่าใช้จ่ายในบ้าน ไม่ได้ลดลง
คนที่ต้องลุกขึ้นมาค้ำจุนครอบครัวต่อ คือ "แม่" ..ใช่มั้ย ?
ดังนั้น แม่หนู ท่านก็คงคิดสะระตะแล้วว่า หนทางข้างหน้า จะทำยังไง ถึงจะพาลูกๆ ให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
..อย่างในเรื่องของการศึกษาต่อ .. หนูเป็นเด็กเรียนดี เพราะหนูทุ่มเท ตั้งใจอ่านหนังสือ ไม่เกเร ทำตัวเหลวไหล
ไม่บ้าผู้ชายเหมือนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน .. นั่นเป็นสิ่งที่ดี ..ดีกับตัวหนูเอง ..อยู่แล้วค่ะ ..อย่าทดท้อ ถอดใจ จนเลิกทำความดี
..หนูลองมองดูบริบท สิ่งต่างๆ สภาพที่อยู่รอบตัวหนูในเวลานี้ดูสิคะ ว่ามันเอื้อให้หนูทำตามความฝันที่หนูเคยวาดไว้แค่ไหน
น้าไม่ใช่คนข้างบ้านหนูนะ ..แต่น้าขอสมมุติ ..ว่าแม่หนูต้องทำงานหนัก เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แทนพ่อซึ่งจากไป
ในขณะที่หนูยังมีน้อง ซึ่งอนุมานว่าน่าจะเรียนมัธยมอยู่ ..และน้องอาจดูแลรับผิดชอบตัวเองไม่ได้
หรือถ้าปล่อยให้อยู่เอง ก็มีหวัง ..เล่นแต่เกม เล่นแต่โซเชี่ยล ..จนไม่เป็นอันเรียน
มันจึงเป็นไปแทบไม่ได้เลย ที่หนูจะขอไปเรียนไกลบ้าน ซึ่งต้องไปอยู่หอ ..ทิ้งให้บ้านนี้ มีแค่แม่กับน้อง
..และแม่ก็มีภาระ น้องก็ยังดูแลตัวเองไม่ได้
คนเรานะลูก ..มันมักจะมีปัญหา มีอุปสรรค มาท้าทายเรา มาทดสอบความอดทน ทดสอบสติปัญญา
ว่าเราจะสามารถก้าวข้ามปัญหา-อุปสรรคเหล่านี้ในชีวิตไปได้ยังไง
..ยิ่งน้าอยู่บนโลกใบนี้มานานกว่าหนูมากกว่า 2 รอบ ..เห็นความเป็นมา และเป็นไป ในชีวิตมาหลากหลายรูปแบบ
ทั้งของตัวเอง คนรอบข้าง และคนในสังคม
น้าก็ยิ่งตระหนักว่า คนเรามีความฉลาดในการเรียนรู้ หรือเรียนหนังสือเก่ง หรือ IQ สูงอย่างเดียว ..มันไม่พอจริงๆ ค่ะ
..การที่เราจะดำเนินชีวิต ไม่ว่าในช่วงวัยใดก็ตาม ได้อย่างมีความสุข ..ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ ยิ่งสำคัญมากๆ
คนที่ EQ ต่ำ ..ทำเรื่องง่าย ให้เป็นเรื่องยาก ..ทำเรื่องเล็ก ให้เป็นเรื่องใหญ่
คน EQ สูง ..ทำเรื่องยาก ให้เป็นเรื่องง่าย ..ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ..ทำปัญหาเล็กๆ ให้มันหมดไป ..ไม่มีปัญหา
..การเรียน ในระดับอุดมศึกษา ..หรือแม้แต่ชื่อชั้นของสถาบัน .. มีส่วนมั้ยกับอนาคตในการทำงาน
มันก็น่าจะมีบ้าง ..ไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปาก เพราะบางองค์กร เค้าก็มี "สี" มีหมู่เหล่าของเค้า
แต่ ..ชาดจะดี ไม่ต้องทาสี ..มันก็แดง ..
หนูมีความตั้งใจ ใฝ่ดี ..หนูก็สามารถที่จะดีได้ค่ะ
และชีวิตหนูยังไม่ถึงจุดที่ต้องออกมาทำมาหากิน เลี้ยงตัวเอง ..
ดังนั้น สิ่งที่หนูนึกคิดอยู่ตอนนี้ วาดฝันอนาคต อยากจบไปทำอาชีพนั้น อาชีพนี้ ..ล้วนเป็น "ความใฝ่ฝัน" ทั้งสิ้น
..ในความเป็นจริง ..ต่อให้เรียนจบมาทางสาขาวิชานั้น สาขาวิชานี้ ..ถึงเวลาหางานทำ หนูอาจไม่ได้งานที่ตรงสาย
หรือแม้แต่ได้งานตรงสาย ..ไปทำเข้าจริงๆ ..กลับไม่ชอบ ไม่ถูกจริต ..ไม่อยากทำซะละ ..ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้นค่ะ
จากประสบการณ์ ที่นานกว่าอายุของหนู ..น้าเห็นว่า ทางข้างหน้า เป็นสิ่งที่เราวางแผนได้ค่ะ
แต่ต้องปรับเปลี่ยนได้ เมื่อถึงจุดนั้นจริงๆ .. แผนการของหนู จึงต้องยืดหยุ่นได้
..ซึ่งหนูต้องเริ่มเดี๋ยวนี้เลย ..ด้วยการทำใจยอมรับสภาพความเป็นจริงในชีวิตซะเดี๋ยวนี้ ว่าบ้านเราไม่เหมือนเดิม
เป็นช่วงเวลาที่สมาชิกที่เหลือในบ้าน ต้องรักกันมากๆ เข้าใจกันมากๆ ..และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
..ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งเศร้าโศกา ตัดพ้อความอยุติธรรมในชีวิต ..
หนูควรเปลี่ยนมันให้เป็นพลัง ในการต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิต ฝ่าฟันมันไปให้ได้ค่ะ
ชีวิต - อนาคตข้างหน้า ยังอีกยาวไกลนักค่ะ .. มันไม่หมดสิ้นเพราะพ่อไม่อยู่ หรือไม่ได้เรียนที่หนูอยากเรียนหรอกค่ะ
สู้ต่อไป ทำดีต่อไป อย่าท้อแท้ค่ะ ..
ส่งกำลังใจให้ค่ะ สาวน้อย
ปล. น้าอ่อนกว่าคุณพี่ คห.3 ปีเดียว ( ที่จริง ได้เป็น "ย่า" แล้วด้วย เพราะไอ่หลานชาย ลูกของลูกพี่ลูกน้องคุณสามีน้า
อายุเท่าหนู จขกท. เลย ..ดันทะลึ่งมีเมีย มีลูกซะไว ..ยังเคืองอยู่เลยเนี่ย ) ..แต่ขี้เกียจแก่ อิอิ
..น้าในฐานะเป็นแม่คน ..และเมื่อ 26 ปีก่อน ก็เคยเป็นนักศึกษาปี 1 ..
แม้ระบบการศึกษาในบ้านเมืองเรา ..เรื่องว่าด้วยวิชาที่เปิดสอน ในระดับอุดมศึกษา
ไปจนถึงการประกอบอาชีพ จะมีความเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยน้า
..แต่มีเรื่องที่เป็นข้อเท็จจริงในชีวิต ที่สามารถทำความเข้าใจได้ ..มาเล่าสู่หนูฟังค่ะ ^^
..ถึงน้าจะไม่เคยมีประสบการณ์สูญเสียผู้ใหญ่ในบ้าน ไปในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิตแบบหนู
แต่สิ่งที่สามารถเข้าใจได้คือ สมาชิกที่เหลือในครอบครัว จะรู้สึกเคว้งคว้าง ..ขาดความมั่นคง
หนูต้องรู้บริบทในครอบครัวดีกว่าใคร ว่าพ่อหนูมีบทบาทแค่ไหน ในบ้าน
..หากพ่อเคยเป็นเสาหลัก ในการเลี้ยงครอบครัว .. วันที่พ่อไม่อยู่ .. แต่ภาระค่าใช้จ่ายในบ้าน ไม่ได้ลดลง
คนที่ต้องลุกขึ้นมาค้ำจุนครอบครัวต่อ คือ "แม่" ..ใช่มั้ย ?
ดังนั้น แม่หนู ท่านก็คงคิดสะระตะแล้วว่า หนทางข้างหน้า จะทำยังไง ถึงจะพาลูกๆ ให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
..อย่างในเรื่องของการศึกษาต่อ .. หนูเป็นเด็กเรียนดี เพราะหนูทุ่มเท ตั้งใจอ่านหนังสือ ไม่เกเร ทำตัวเหลวไหล
ไม่บ้าผู้ชายเหมือนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน .. นั่นเป็นสิ่งที่ดี ..ดีกับตัวหนูเอง ..อยู่แล้วค่ะ ..อย่าทดท้อ ถอดใจ จนเลิกทำความดี
..หนูลองมองดูบริบท สิ่งต่างๆ สภาพที่อยู่รอบตัวหนูในเวลานี้ดูสิคะ ว่ามันเอื้อให้หนูทำตามความฝันที่หนูเคยวาดไว้แค่ไหน
น้าไม่ใช่คนข้างบ้านหนูนะ ..แต่น้าขอสมมุติ ..ว่าแม่หนูต้องทำงานหนัก เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แทนพ่อซึ่งจากไป
ในขณะที่หนูยังมีน้อง ซึ่งอนุมานว่าน่าจะเรียนมัธยมอยู่ ..และน้องอาจดูแลรับผิดชอบตัวเองไม่ได้
หรือถ้าปล่อยให้อยู่เอง ก็มีหวัง ..เล่นแต่เกม เล่นแต่โซเชี่ยล ..จนไม่เป็นอันเรียน
มันจึงเป็นไปแทบไม่ได้เลย ที่หนูจะขอไปเรียนไกลบ้าน ซึ่งต้องไปอยู่หอ ..ทิ้งให้บ้านนี้ มีแค่แม่กับน้อง
..และแม่ก็มีภาระ น้องก็ยังดูแลตัวเองไม่ได้
คนเรานะลูก ..มันมักจะมีปัญหา มีอุปสรรค มาท้าทายเรา มาทดสอบความอดทน ทดสอบสติปัญญา
ว่าเราจะสามารถก้าวข้ามปัญหา-อุปสรรคเหล่านี้ในชีวิตไปได้ยังไง
..ยิ่งน้าอยู่บนโลกใบนี้มานานกว่าหนูมากกว่า 2 รอบ ..เห็นความเป็นมา และเป็นไป ในชีวิตมาหลากหลายรูปแบบ
ทั้งของตัวเอง คนรอบข้าง และคนในสังคม
น้าก็ยิ่งตระหนักว่า คนเรามีความฉลาดในการเรียนรู้ หรือเรียนหนังสือเก่ง หรือ IQ สูงอย่างเดียว ..มันไม่พอจริงๆ ค่ะ
..การที่เราจะดำเนินชีวิต ไม่ว่าในช่วงวัยใดก็ตาม ได้อย่างมีความสุข ..ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ ยิ่งสำคัญมากๆ
คนที่ EQ ต่ำ ..ทำเรื่องง่าย ให้เป็นเรื่องยาก ..ทำเรื่องเล็ก ให้เป็นเรื่องใหญ่
คน EQ สูง ..ทำเรื่องยาก ให้เป็นเรื่องง่าย ..ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ..ทำปัญหาเล็กๆ ให้มันหมดไป ..ไม่มีปัญหา
..การเรียน ในระดับอุดมศึกษา ..หรือแม้แต่ชื่อชั้นของสถาบัน .. มีส่วนมั้ยกับอนาคตในการทำงาน
มันก็น่าจะมีบ้าง ..ไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปาก เพราะบางองค์กร เค้าก็มี "สี" มีหมู่เหล่าของเค้า
แต่ ..ชาดจะดี ไม่ต้องทาสี ..มันก็แดง ..
หนูมีความตั้งใจ ใฝ่ดี ..หนูก็สามารถที่จะดีได้ค่ะ
และชีวิตหนูยังไม่ถึงจุดที่ต้องออกมาทำมาหากิน เลี้ยงตัวเอง ..
ดังนั้น สิ่งที่หนูนึกคิดอยู่ตอนนี้ วาดฝันอนาคต อยากจบไปทำอาชีพนั้น อาชีพนี้ ..ล้วนเป็น "ความใฝ่ฝัน" ทั้งสิ้น
..ในความเป็นจริง ..ต่อให้เรียนจบมาทางสาขาวิชานั้น สาขาวิชานี้ ..ถึงเวลาหางานทำ หนูอาจไม่ได้งานที่ตรงสาย
หรือแม้แต่ได้งานตรงสาย ..ไปทำเข้าจริงๆ ..กลับไม่ชอบ ไม่ถูกจริต ..ไม่อยากทำซะละ ..ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้นค่ะ
จากประสบการณ์ ที่นานกว่าอายุของหนู ..น้าเห็นว่า ทางข้างหน้า เป็นสิ่งที่เราวางแผนได้ค่ะ
แต่ต้องปรับเปลี่ยนได้ เมื่อถึงจุดนั้นจริงๆ .. แผนการของหนู จึงต้องยืดหยุ่นได้
..ซึ่งหนูต้องเริ่มเดี๋ยวนี้เลย ..ด้วยการทำใจยอมรับสภาพความเป็นจริงในชีวิตซะเดี๋ยวนี้ ว่าบ้านเราไม่เหมือนเดิม
เป็นช่วงเวลาที่สมาชิกที่เหลือในบ้าน ต้องรักกันมากๆ เข้าใจกันมากๆ ..และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
..ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งเศร้าโศกา ตัดพ้อความอยุติธรรมในชีวิต ..
หนูควรเปลี่ยนมันให้เป็นพลัง ในการต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิต ฝ่าฟันมันไปให้ได้ค่ะ
ชีวิต - อนาคตข้างหน้า ยังอีกยาวไกลนักค่ะ .. มันไม่หมดสิ้นเพราะพ่อไม่อยู่ หรือไม่ได้เรียนที่หนูอยากเรียนหรอกค่ะ
สู้ต่อไป ทำดีต่อไป อย่าท้อแท้ค่ะ ..
ส่งกำลังใจให้ค่ะ สาวน้อย
ปล. น้าอ่อนกว่าคุณพี่ คห.3 ปีเดียว ( ที่จริง ได้เป็น "ย่า" แล้วด้วย เพราะไอ่หลานชาย ลูกของลูกพี่ลูกน้องคุณสามีน้า
อายุเท่าหนู จขกท. เลย ..ดันทะลึ่งมีเมีย มีลูกซะไว ..ยังเคืองอยู่เลยเนี่ย ) ..แต่ขี้เกียจแก่ อิอิ
แสดงความคิดเห็น
1 ปีกับชีวิตที่ไม่มีความสุข
ตอนนี้เราอายุ 19 ค่ะ เรียนมหาลัยปี 1 ไม่รู้จะเริ่มเล่าตรงไหนดี...
ขอเล่าย้อนก่อนนะคะ คือเราเป็นเด็กชอบเรียนคนนึงค่ะ ชีวิตมัธยมหรือที่ผ่านมา
ไม่ได้มีกิจกรรมหวือหวาอะไร สิ่งที่พอจะใช้เวลากับมันได้ ก็คงจะมีแต่การเรียน
เราโตมาในโรงเรียนประจำค่ะ ตั้งแต่ม.ต้น ม.ปลายถึงจะไม่ได้อยู่โรงเรียนประจำแล้ว แต่ก็ยังอยู่หอ
เรียกได้ว่าแทบไม่ได้อยู่กับครอบครัวเลย
เรื่องเกิดขึ้นช่วงม.6 กำลังจะสอบเข้ามหาลัย
พ่อเราเสียไปอย่างกะทันหันค่ะ.. ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากนั้น
จากที่เคยคิดจะไปเรียนมหาลัยที่อยากไป ก็ต้องพับความฝันนั้นเก็บไว้
แม่เราไม่ให้ไปค่ะ เราสอบติดมหาลัยดีๆหลายที่ ได้คณะที่ตัวเองอยากเรียนด้วย
แต่แม่ไม่อนุญาตให้ไป แม่ให้เรียนที่มหาลัยใกล้บ้านในคณะที่แม่อยากให้เรียนแทน (ซึ่งชื่อเสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่)
ที่เราเสียใจที่สุดคือ เราสอบคิดมหาลัยฯ แห่งหนึ่งทางภาคเหนือ
เป็นมหาลัยที่เราใฝ่ฝันเลย และเราก็ทำได้ ตอนรู้ผลเราดีใจมาก เราวิ่งออกไปหาแม่ ร้องไห้ด้วยเพราะดีใจ
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ แม่ไม่ได้ดีใจไปกับเรา พร้อมบอกว่าไม่ต้องไปหรอก
เราเสียใจมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเรียน เราสู้ทุกอย่างมาด้วยตัวเองหมด
ที่บ้านไม่เคยสนใจเรื่องการเรียนของเราเลย เพราะงานยุ่ง จะมีแค่พ่อที่เราคุยด้วยบ้าง
ตอนนั้นเราคิดอะไรไม่ออก เราไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ไม่เห็นใจเราบ้าง
เราว่าคนที่เรียนมหาลัยเข้าใจดี กว่าที่เราจะสอบเข้าได้ เตรียมตัวตั้งเท่าไหร่ เหนื่อยมาตั้งเท่าไหร่
แต่ทุกอย่างมันพังลงต่อหน้าต่อตา...
แม่ให้เหตุผลว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน คณะที่เราอยากเรียนป.โทค่อยว่ากัน
ซึ่งแม่ไม่ได้เข้าใจเลยสักนิดว่าเรียนป.โทมันต้องมีองค์ประกอบยังไง
คณะที่เราอยากเรียนกับคณะที่แม่อยากให้เราเรียนมันคนละเรื่องกันเลย แม่บอกว่าอยากให้เราอยู่กับแม่
แต่ตอนนี้เรากับแม่ทะเลาะกันแทบทุกวัน แม่เคยพูดออกมาเองว่าแม่อยู่กับเราแล้วเเม่เหนื่อย
เรามีน้องอยุ่คนนึงนะคะ แม่สนใจน้องมากกว่าเรามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
อีกเหตุผลที่เราต้องอยู่บ้าน ก็เพราะแม่บอกว่าให้เราอยู่ดูแลน้อง น้องจะเรียนอย่างนั้นอย่างนี้
แต่แม่ไม่เห็นมีแนวทางสำหรับอนาคตของเราเลย มิหนำซ้ำยังให้เราทิ้งอนาคตเราอีก...
คือตอนนี้เรารู้สึกว่า ชีวิตที่ผ่านมา 1 ปีนี้ เราไม่มีความสุขเลย เราคิดว่าเรียนๆไปเดี๋ยวก็ชอบเอง
แต่จริงๆแล้ว ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่ (เราทำผลการเรียนได้ดีนะคะ A ทุกตัวเลย)
การเรียนคือความสุขเดียวของเรา แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เเล้ว...อย่างน้อยก็ควรได้เรียนในเรื่องที่ตัวเองสนใจสิ..
เราเคยภูมิใจในตัวเองมาก แต่ตอนนี้มันรู้สึกไม่เหมือนเดิม เราไม่อยากบอกใครว่าเราเรียนที่ไหน
เราเคยคิดว่าเราไม่เเคร์ ต่อให้เรียนมหาลัยที่โดนดูถูก แต่เรารู้ตัวดีที่สุดว่าเราไม่ใช่พวกสอบไม่ได้ ไม่มีที่เรียน
แต่จริงๆเเล้ว เราอยู่ในสังคม สังคมจ้างเราทำงาน เราหลีกเลี่ยงไม่ได้..
เรารู้นะคะ ว่าเราพอไม่เป็น มหาลัยที่เราเรียนอยู่ตอนนี้จบมามีงานทำมั้ย ก็มีแหละ
แต่เราคิดว่าเราทำได้ดีกว่านี้ เราร้องไห้ทุกวัน ทุกวันจริงๆ พูดกับใครไม่ได้ พูดกับที่บ้านก็ไม่ได้
เวลาที่เหนื่อย เราคิดถึงพ่อมาก...เรารู้สึกว่าเราไม่มีใครเลย เพื่อนก็แยกย้ายกันไป...
เราขอโทษนะคะ ถ้าสิ่งที่เราระบายออกไปมันทำให้หลายคนไม่พอใจ
เรารับฟังความคิดเห็นของทุกคนค่ะ เรามาที่นี่เพราะอยากหาทางออก
ถ้ามันแก้ไขอะไรไม่ได้เเล้ว เราอยากรู้ว่าเราควรจะทำยังไงให้เราเรียนๆสิ่งที่แม่อยากให้เรียนนี้อย่างมีความสุข
เรารู้ตัวว่าความคิดของเรามันมองมุมเดียว เราไม่อยากเป็นแบบนี้เลย เราไม่อยากทุกข์ แต่เราไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ