สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
..ขออนุญาตแนะนำให้ฐานะลูกหนี้แบงค์รุ่นพี่ และเอาอายุคุณ รวมกับอายุแฟนแล้ว น้อยกว่าอายุพี่นิดเดียว ^^
..อย่างแรก ..อย่าเพิ่งรีบซื้อบ้าน โดยเฉพาะคิดจะช่วยกันผ่อนกับ "แฟน"
ซึ่งหมายถึงสถานะแค่ คนที่กำลังคบหาดูใจ ..ไม่ใช่ "สามี"
..หลายกรณีมากๆ ที่คบเป็นแฟนกันอยู่ แล้ววาดฝันสวยงาม อยากมีบ้านไว้เป็นรังรักซะก่อน ถึงจะแต่งงาน
ไอ่ครั้นจะให้คนใดคนหนึ่งทำเรื่องกู้ ..เงินเดือนรึก็ยังน้อยนิด ..profile ไม่พอกู้ เพราะบ้านก็ราคาเป็นล้าน
ก็เลยต้อง "กู้ร่วม" ซึ่งธนาคารเค้าก็ยอมแหละ ..โดยอาจลงว่า ผู้กู้ร่วมนั้น ..สมรสโดยไม่จดทะเบียน..
..สมมุติกู้ผ่านแล้ว มีบ้าน พร้อมหนี้สิน ..สมใจอยาก ..
แต่ถ้าเริ่มผ่อนบ้านแล้ว ต่อมาเกิดผิดใจกัน หรือเกิดหมดรักกันขึ้นมาซะดื้อๆ ..
งานจะเข้าทันที เพราะคนน่ะไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้ว แต่ยังมีบ้านเป็นภาระผูกพัน ..ชิ้นใหญ่
จะถอนชื่ออีกคนออก ..คนที่เหลือก็เงินเดือนไม่พอจะกู้คนเดียว ..
..ครั้นจะประกาศขายทิ้ง ซะให้จบๆ .. ขายบ้านมันก็ไม่ง่ายเหมือนขายรถยนต์ ที่ขับไปขายที่เต๊นท์ก็ยังได้
งานนี้ วุ่นวายระดับมหกรรมล่ะคุณน้องเอ๋ย ..
ดังนั้น คำแนะนำคือ เก็บเงินค่ะ แล้วดูใจกันให้นานพอ
ถ้ามั่นใจว่าคนนี้ตัวจริง ตกลงปลงใจแต่งงาน อยู่กินฉันท์สามีภรรยาที่ถูกต้อง
..และมีหน้าที่การงานที่มั่นคง รู้พิกัดที่จะลงหลักปักฐานเมื่อไหร่ ..ค่อยพิจารณาซื้อบ้านค่ะ
พี่แนะนำบ่อยๆ ว่า จริงอยู่ คนมักจะพูดกันว่า บ้านมีแต่ราคาจะขึ้น ..ไม่รีบซื้อตอนอายุน้อยๆ ราคาก็จะแพงไปเรื่อยๆ
หรือค่าเช่าหอ ค่าเช่าบ้าน บางทีก็ไม่ใช่ถูกๆ ..เติมอีกนิด เท่ากับค่างวดส่งแบงค์แล้ว ..เสียดายค่าเช่าที่จ่ายไปเปล่าๆ ปลี้ๆ
..แต่ก่อนจะตัดสินใจเป็นหนี้ ก้อนใหญ่ ..ใหญ่กว่าฐานเงินเดือน-เงินได้เป็นหลายสิบเท่า
และระยะเวลาผ่อนชำระยาวนานเป็นสิบๆ ปี ..
คนที่ใจเร็ว ใจร้อน ไม่ดูให้ถ้วนถี่ ..แล้วต้องมาอวดครวญ ขอคำแนะนำ ..มีเยอะจนไม่อยากจะพูด
..เดี๋ยวจะหาว่าไปซ้ำเติมเค้า
แต่ถ้าเราคิดดีๆ ไม่ประมาท โอกาสที่จะต้องประสบเคราะห์กรรมแบบนั้น ก็จะน้อยลง
..และจาก profile ..หนูและแฟน ทำงานเป็นลูกจ้างประจำ เป็นมนุษย์เงินเดือน ผู้มีสลิปเงินเดือน
ก็ทำงานช่วยกันเก็บเงินไปก่อนค่ะ เพราะซื้อบ้าน ไม่ใช่การจับเสือมือเปล่า
มันมีค่าใช้จ่ายเยอะแยะ .. ไม่ๆ นะ ก็ต้องมีค่าโอน ค่าจดจำนอง ..ไม่รวมถึงแบงค์มักจะไม่ปล่อยกู้เต็ม 100%
หนูต้องมีเงินจอง เงินทำสัญญา เงินดาวน์ .. เข้าอยู่แล้ว ยังมีค่าตกแต่ง ต่อเติม ซื้อของเข้าบ้าน ฯลฯ
และสุดท้าย concept ของ "นกน้อยทำรังแต่พอตัว" ยังใช้ได้ดี
..พี่ไม่นิยมการจัดหนัก จัดเต็ม ..ชนิดเต็มเพดานความสามารถ ..เพราะถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน ..มันจะไม่มีที่ให้ดิ้นได้
นิยามของคำว่า "เพดานความสามารถในการชำระหนี้" ..คือประมาณ 40% ของรายได้รวมต่อเดือน
ที่กันไว้สำหรับการจ่ายหนี้สินสารพัดผ่อน
..เหลือ 60% สำหรับดำเนินชีวิต และแบ่งบางส่วนไว้เป็นเงินออม ..ซึ่งเรียกว่า "เงินรองรัง"
สมมุติ หนูกับแฟน เงินเดือนรวมกัน 30,000 ..เพดานฯ ของพวกหนู คือ 12,000 บ.
เหลือ 18,000 ไว้กิน-ใช้-ออม
ใน 12,000 นี่ รวมทุกหนี้ ..ตั้งแต่บัตรเครดิต บัตรผ่อนของ สินเชื่อบุคคล ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ฯลฯ
ถ้าหนี้รวมแล้วเกิน 40% ..การันตีได้เลยว่า หนูจะต้องกระเบียดกระเสียร จนหาความสุขในชีวิตไม่ได้
เวลาเราจะหาวงเงินกู้ หรือหาบ้าน ในราคาที่เหมาะสมกับฐานานุรูปของเรานะคะ
..เราก็เอาเพดานฯ นี่แหละมาคิด .. ถ้าสมมุติหนูไม่มีหนี้สินอื่นเลยนะ ก็เอา 12,000 นี้มาคิดเป็นวงเงินกู้
โดยเอา 7,000 ( คือตามที่ คห.ข้างบนเล่าให้ฟัง ว่าเป็น rate หยาบๆ ของการผ่อน ต่อวงเงินกู้ 1 ล้าน ) ไปหาร
หนูก็จะได้ผลลัพธ์ 1.714 ..หน่วยเป็น "ล้านบาท" ..นั่นคือ ราคาบ้านสูงสุด ที่พอซื้อไหว
..ฉะนั้น ถ้าเพดานฯ เราซื้อบ้านราคา 1.7 ล้านได้ ..เราก็หาบ้านในระดับราคาไม่เกินนี้
มีคนอีกประเภทเหมือนกัน ที่มักจะคิดว่า ซื้อบ้านทั้งที ก็ซื้อดีๆ ใหญ่ๆ ไปเลยสิ
..กู้คนเดียวไม่ผ่าน ก็กู้ร่วม ..บางทีไปเอาพ่อแม่พี่น้อง แฟน พี่น้องแฟน ลูกหลาน ..มีกู้ร่วม 3 คน 4 คน ..จะเอาบ้านหลังใหญ่ๆ
วุ่นวายกันทั้งตระกูลเลยทีนี้ ..เพราะคนที่โดนยืมชื่อมากู้ ..บางทีไม่ได้ช่วยจ่ายค่างวดหรอก เพราะบ้านก็ไม่ได้ไปอยู่กับเค้า
..พอตอนหลัง อยากซื้อบ้าน ซื้อรถของตัวเองขึ้นมา ..ก็ทำไม่ได้ เพราะมีชื่อเป็นผู้กู้ร่วมของหนี้ก้อนใหญ่นั้นด้วย
ซึ่งไปลดทอนเพดานฯ ของตัวเองซะงั้น ..
และ คหสต. พี่นิยมให้หาหนี้ต่ำกว่าเพดานไว้ ..เผื่อเหลือเผื่อขาดบ้าง
เช่น เพดานฯ ได้ 1.7 ล้าน ..ก็ลองมองหา สัก 1.2 ไม่เกิน 1.5 ล้าน ..ผ่อนไม่ตึงมือ ..จะดีกว่า
ถ้าเรามีเงินเหลือมากกว่าค่างวด เราจะจ่ายเพิ่ม หรือ "โปะ" ก็จะหมดหนี้ไวขึ้นค่ะ
เงื่อนไขต่างๆ ของการจ่ายค่างวด ขึ้นอยู่กับ "สัญญา" ..ไล่ไปตั้งแต่อัตราดอกเบี้ย ..โปรโมชั่น..
ระยะเวลา การผิดสัญญาจะโดนปรับบ้าง .. ตอนนี้ค่อยหาอ่าน เก็บข้อมูล ไปเรื่อยก่อนๆ ค่ะ
ถามตอนนี้ไปได้ก็งงอยู่ดี ..เพราะถ้าพี่บอกว่า ดอกเบี้ย MLR หรือ MRR - 1% .. หนูก็จะต้องถามอีกว่า MLR คืออะไร ?
เพราะขนาดอัตราดอกเบี้ยที่คุณพี่ คห.1 พูดถึง หนูยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรเลย ..
..ซื้อของเงินผ่อน มันก็ต้องมีดอกเบี้ยสิจ๊ะ ..เรื่องปกติสุดๆ แล้ว
สรุป ..หนูมีความฝัน ..ไม่ใช่เรื่องผิดค่ะ ..แต่หนูต้องศึกษาหาข้อมูลเยอะๆ
และรอจังหวะที่เหมาะสม ค่อยตัดสินใจซื้อค่ะ
ขอให้โชคดีค่ะ

..อย่างแรก ..อย่าเพิ่งรีบซื้อบ้าน โดยเฉพาะคิดจะช่วยกันผ่อนกับ "แฟน"
ซึ่งหมายถึงสถานะแค่ คนที่กำลังคบหาดูใจ ..ไม่ใช่ "สามี"
..หลายกรณีมากๆ ที่คบเป็นแฟนกันอยู่ แล้ววาดฝันสวยงาม อยากมีบ้านไว้เป็นรังรักซะก่อน ถึงจะแต่งงาน
ไอ่ครั้นจะให้คนใดคนหนึ่งทำเรื่องกู้ ..เงินเดือนรึก็ยังน้อยนิด ..profile ไม่พอกู้ เพราะบ้านก็ราคาเป็นล้าน
ก็เลยต้อง "กู้ร่วม" ซึ่งธนาคารเค้าก็ยอมแหละ ..โดยอาจลงว่า ผู้กู้ร่วมนั้น ..สมรสโดยไม่จดทะเบียน..
..สมมุติกู้ผ่านแล้ว มีบ้าน พร้อมหนี้สิน ..สมใจอยาก ..
แต่ถ้าเริ่มผ่อนบ้านแล้ว ต่อมาเกิดผิดใจกัน หรือเกิดหมดรักกันขึ้นมาซะดื้อๆ ..
งานจะเข้าทันที เพราะคนน่ะไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้ว แต่ยังมีบ้านเป็นภาระผูกพัน ..ชิ้นใหญ่
จะถอนชื่ออีกคนออก ..คนที่เหลือก็เงินเดือนไม่พอจะกู้คนเดียว ..
..ครั้นจะประกาศขายทิ้ง ซะให้จบๆ .. ขายบ้านมันก็ไม่ง่ายเหมือนขายรถยนต์ ที่ขับไปขายที่เต๊นท์ก็ยังได้
งานนี้ วุ่นวายระดับมหกรรมล่ะคุณน้องเอ๋ย ..
ดังนั้น คำแนะนำคือ เก็บเงินค่ะ แล้วดูใจกันให้นานพอ
ถ้ามั่นใจว่าคนนี้ตัวจริง ตกลงปลงใจแต่งงาน อยู่กินฉันท์สามีภรรยาที่ถูกต้อง
..และมีหน้าที่การงานที่มั่นคง รู้พิกัดที่จะลงหลักปักฐานเมื่อไหร่ ..ค่อยพิจารณาซื้อบ้านค่ะ
พี่แนะนำบ่อยๆ ว่า จริงอยู่ คนมักจะพูดกันว่า บ้านมีแต่ราคาจะขึ้น ..ไม่รีบซื้อตอนอายุน้อยๆ ราคาก็จะแพงไปเรื่อยๆ
หรือค่าเช่าหอ ค่าเช่าบ้าน บางทีก็ไม่ใช่ถูกๆ ..เติมอีกนิด เท่ากับค่างวดส่งแบงค์แล้ว ..เสียดายค่าเช่าที่จ่ายไปเปล่าๆ ปลี้ๆ
..แต่ก่อนจะตัดสินใจเป็นหนี้ ก้อนใหญ่ ..ใหญ่กว่าฐานเงินเดือน-เงินได้เป็นหลายสิบเท่า
และระยะเวลาผ่อนชำระยาวนานเป็นสิบๆ ปี ..
คนที่ใจเร็ว ใจร้อน ไม่ดูให้ถ้วนถี่ ..แล้วต้องมาอวดครวญ ขอคำแนะนำ ..มีเยอะจนไม่อยากจะพูด
..เดี๋ยวจะหาว่าไปซ้ำเติมเค้า
แต่ถ้าเราคิดดีๆ ไม่ประมาท โอกาสที่จะต้องประสบเคราะห์กรรมแบบนั้น ก็จะน้อยลง
..และจาก profile ..หนูและแฟน ทำงานเป็นลูกจ้างประจำ เป็นมนุษย์เงินเดือน ผู้มีสลิปเงินเดือน
ก็ทำงานช่วยกันเก็บเงินไปก่อนค่ะ เพราะซื้อบ้าน ไม่ใช่การจับเสือมือเปล่า
มันมีค่าใช้จ่ายเยอะแยะ .. ไม่ๆ นะ ก็ต้องมีค่าโอน ค่าจดจำนอง ..ไม่รวมถึงแบงค์มักจะไม่ปล่อยกู้เต็ม 100%
หนูต้องมีเงินจอง เงินทำสัญญา เงินดาวน์ .. เข้าอยู่แล้ว ยังมีค่าตกแต่ง ต่อเติม ซื้อของเข้าบ้าน ฯลฯ
และสุดท้าย concept ของ "นกน้อยทำรังแต่พอตัว" ยังใช้ได้ดี
..พี่ไม่นิยมการจัดหนัก จัดเต็ม ..ชนิดเต็มเพดานความสามารถ ..เพราะถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน ..มันจะไม่มีที่ให้ดิ้นได้
นิยามของคำว่า "เพดานความสามารถในการชำระหนี้" ..คือประมาณ 40% ของรายได้รวมต่อเดือน
ที่กันไว้สำหรับการจ่ายหนี้สินสารพัดผ่อน
..เหลือ 60% สำหรับดำเนินชีวิต และแบ่งบางส่วนไว้เป็นเงินออม ..ซึ่งเรียกว่า "เงินรองรัง"
สมมุติ หนูกับแฟน เงินเดือนรวมกัน 30,000 ..เพดานฯ ของพวกหนู คือ 12,000 บ.
เหลือ 18,000 ไว้กิน-ใช้-ออม
ใน 12,000 นี่ รวมทุกหนี้ ..ตั้งแต่บัตรเครดิต บัตรผ่อนของ สินเชื่อบุคคล ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ฯลฯ
ถ้าหนี้รวมแล้วเกิน 40% ..การันตีได้เลยว่า หนูจะต้องกระเบียดกระเสียร จนหาความสุขในชีวิตไม่ได้
เวลาเราจะหาวงเงินกู้ หรือหาบ้าน ในราคาที่เหมาะสมกับฐานานุรูปของเรานะคะ
..เราก็เอาเพดานฯ นี่แหละมาคิด .. ถ้าสมมุติหนูไม่มีหนี้สินอื่นเลยนะ ก็เอา 12,000 นี้มาคิดเป็นวงเงินกู้
โดยเอา 7,000 ( คือตามที่ คห.ข้างบนเล่าให้ฟัง ว่าเป็น rate หยาบๆ ของการผ่อน ต่อวงเงินกู้ 1 ล้าน ) ไปหาร
หนูก็จะได้ผลลัพธ์ 1.714 ..หน่วยเป็น "ล้านบาท" ..นั่นคือ ราคาบ้านสูงสุด ที่พอซื้อไหว
..ฉะนั้น ถ้าเพดานฯ เราซื้อบ้านราคา 1.7 ล้านได้ ..เราก็หาบ้านในระดับราคาไม่เกินนี้
มีคนอีกประเภทเหมือนกัน ที่มักจะคิดว่า ซื้อบ้านทั้งที ก็ซื้อดีๆ ใหญ่ๆ ไปเลยสิ
..กู้คนเดียวไม่ผ่าน ก็กู้ร่วม ..บางทีไปเอาพ่อแม่พี่น้อง แฟน พี่น้องแฟน ลูกหลาน ..มีกู้ร่วม 3 คน 4 คน ..จะเอาบ้านหลังใหญ่ๆ
วุ่นวายกันทั้งตระกูลเลยทีนี้ ..เพราะคนที่โดนยืมชื่อมากู้ ..บางทีไม่ได้ช่วยจ่ายค่างวดหรอก เพราะบ้านก็ไม่ได้ไปอยู่กับเค้า
..พอตอนหลัง อยากซื้อบ้าน ซื้อรถของตัวเองขึ้นมา ..ก็ทำไม่ได้ เพราะมีชื่อเป็นผู้กู้ร่วมของหนี้ก้อนใหญ่นั้นด้วย
ซึ่งไปลดทอนเพดานฯ ของตัวเองซะงั้น ..
และ คหสต. พี่นิยมให้หาหนี้ต่ำกว่าเพดานไว้ ..เผื่อเหลือเผื่อขาดบ้าง
เช่น เพดานฯ ได้ 1.7 ล้าน ..ก็ลองมองหา สัก 1.2 ไม่เกิน 1.5 ล้าน ..ผ่อนไม่ตึงมือ ..จะดีกว่า
ถ้าเรามีเงินเหลือมากกว่าค่างวด เราจะจ่ายเพิ่ม หรือ "โปะ" ก็จะหมดหนี้ไวขึ้นค่ะ
เงื่อนไขต่างๆ ของการจ่ายค่างวด ขึ้นอยู่กับ "สัญญา" ..ไล่ไปตั้งแต่อัตราดอกเบี้ย ..โปรโมชั่น..
ระยะเวลา การผิดสัญญาจะโดนปรับบ้าง .. ตอนนี้ค่อยหาอ่าน เก็บข้อมูล ไปเรื่อยก่อนๆ ค่ะ
ถามตอนนี้ไปได้ก็งงอยู่ดี ..เพราะถ้าพี่บอกว่า ดอกเบี้ย MLR หรือ MRR - 1% .. หนูก็จะต้องถามอีกว่า MLR คืออะไร ?
เพราะขนาดอัตราดอกเบี้ยที่คุณพี่ คห.1 พูดถึง หนูยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรเลย ..
..ซื้อของเงินผ่อน มันก็ต้องมีดอกเบี้ยสิจ๊ะ ..เรื่องปกติสุดๆ แล้ว
สรุป ..หนูมีความฝัน ..ไม่ใช่เรื่องผิดค่ะ ..แต่หนูต้องศึกษาหาข้อมูลเยอะๆ
และรอจังหวะที่เหมาะสม ค่อยตัดสินใจซื้อค่ะ
ขอให้โชคดีค่ะ

แสดงความคิดเห็น
อยากมีบ้าน!
แต่ฝันอยากมี เป็นของตัวเอง
อยากผ่อนบ้านกับนาคาร
เค้าจำกัดไหม ต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ ถึงจะซื้อได้
ผ่อนน้อยสุดเดือนเท่าไหร่ มากสุดได้เดือนเท่าไหร่
ทำสัญญา กับแฟนได้หรือไม่ (ในกรณี หุ้นกัน)
หนูอายุ 23 แฟนอายุ 24
แฟนทำงานโรงแรม หนู กราฟฟิกดีไซด์ (เงินเดือนน้อย หมื่อนต้นๆเอง)
ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ