เมื่อคืนหงส์พลาดท่าพ่ายจุดโทษต่อเบซิคตัส ทีมเหยี่ยวดำแห่งตุรกี
ตกรอบยูโรป้าลีกแบบน่าเขกกระโหลก
การไปเยือนด้วยสกอร์เป็นต่อนิดๆ หากแค่ยันเสมอ...ก็ผ่านเข้ารอบ...ฉลุย
ตรงนี้น่าวิเคราะห์เบื้องลึกมากที่สุด ...จะโทษดวงหรือการวางหมากที่ผิดพลาด...อย่างไหนดี
...ทำไมเอาไม่อยู่ ...มันเกิดจากสาเหตุใดมากที่สุด
1.พะวักพะวงกับเกมวันอาทิตย์...
เกมที่เล่นติดต่อกันอาทิตย์ละ 3 แมทซ์ ทำให้เกิดความพะวักพะวง โดยเฉพาะการรับมือกับแมนซิในวันอาทิตย์
เป็นเกมยากอีกเกม...หากไม่จัดเต็ม โอกาสแพ้มีมากกว่าชนะหรือเสมอ
...แม้เป็นแค่เกมหนึ่งที่เหลืออีก 10 กว่าเกม
แต่มันเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายได้เหมือนกัน เพราะถ้าพลาดท่าแพ้...อาจหลุดวงโคจรแชมเปียนลีกได้ง่ายๆ
จะว่าไปหากเปรียบเทียบความสำคัญกับเกมยูโรป้า...มันมองได้หลายมุม
ทั้งรักพี่และเสียดายน้อง พรีเมียร์ก็ลุ้น เกมยูโรป้า...ก็แนวโน้มดี เกมเลยออกมาอย่างที่เห็น
2.เจ็บ-ดรอป จนทีมขาดความสมดุล
จุดนี้โทษใครไม่ได้ เพราะองค์ประกอบของทีมอันน้อยนิด...กับนักเตะนัดกันบาดเจ็บ
เมื่อวานรูปเกมของลิเวอร์พูล แดนกลางไม่มีใครเป็นคนทำเกมไดัเลย
สเตอริดกับบาโล ลงมาล้วงบอลเองหลายต่อหลายครั้ง
อัลเลนและชานที่เล่นเป็นกองกลางตามถนัด...กับผิดพลาดกันง่ายๆ
ทั้งเกมเกินกว่าครึ่ง...ทั้งอัลเลนและชาน จ่ายบอลเสีย....ถูกคู่แข่งโต้กลับ
จนต้องลงมาช่วยกันตั้งรับกันจ้าละหวั่น
ดีที่กองหลังทั้ง 3 กับมิโญเล่ย์ ...ผิดพลาดน้อย...เลยช่วยยื้อเกมยาว
3.ลังเลกับการวางหมาก...คิดจะมาแค่ตั้งรับรอสวนหรือจะบุกสู้ ...ประสบการณ์รอดเจอร์ล้วนๆ
ประเด็นนี้อ่านใจรอดเจอร์ยาก...ใช่อาจมีเจ็บ... มีดรอป... เข้าใจ.... ทุกแมทซ์สำคัญทั้งนั้น
แต่เมื่อตัดสินใจเอาบาโลลงเล่นหน้าคู่กับสเตอริด และสเตอริงทำเกม...นั่นหมายถึงมาบุกสู้ ไม่ใช่แค่รอสวน
ซึ่งการตุนความได้เปรียบเล็ก ๆ ไม่ควรจะวางหมากบุกสู้แบบนี้
เพราะจุดเด่นที่ผ่านมาของหงส์ คือ เกมรับซึ่งลงตัวมาก สามารถยื้อเกม 0-0 ได้สบาย
การมาเยือนเบซิตัส อ่านง่ายๆ เขาต้องปูพรมบุกแหลกใส่ หวังทำสกอร์แน่ ๆ
...การตั้งรับน่าจะเป็นหมากที่น่าสนใจมากกว่า
ขนาดขั้นเทพอย่างน้ามูยังถูกนินทาว่า เอารถบัสมาขวาง และรอดเจอร์ล่ะ กลัวเสียทรงหรือไง
ครึ่งแรกน่าจะเลือกบาโลหรือสเตอริด เพียงคนใดคนหนึ่งลงก่อน
แล้วอัดกองกลางเพิ่มอย่างลาลานา...ไปเน้นครองบอล อัดกลาง 5 ตัว...น่าจะสมดุลกว่า ไม่ได้ก็ไม่เสีย
เพราะบาโล สเตอริด และสเตอริง ทั้ง 3 คนเล่นบอลทรงคล้ายกันมาก คือ ชอบเก็บบอลไว้กับตัว (ขี้เลี้ยงนะแหละ)
และเสียบอลง่ายๆเกือบทุกจังหวะ
ทำให้โอกาสจบสกอร์จากการบุกสู้แบบ...จะแจ้งได้เสีย...มีน้อยเกินไป
4.ขาดเธอขาดใจ
เป็นที่ประจักษ์แจ่มแจ้งแล้วว่า คูตินโญ่กับเฮนโด้สำคัญจริงๆ โดยเฉพาะหลังๆ คูตินโญ่ดีขึ้นผิดหูผิดตา
คิลลิ่งพาสได้เสียตลอด การยิงแถวสองก็พัฒนาขึ้นมาก
เพราะแดนกลางเมื่อไม่มีคูตินโญ่เป็นเพลย์เมคเกอร์....ไม่มีเฮนโด้ไว้โฮลด์บอล
รู้ได้เลยว่า....ทีมขาดเพลเยอร์ที่เป็นเพลย์เมคเกอร์จริงๆ เพราะหลังจากเจอราร์ดหลุดฟอร์มเพราะอายุ
หงส์ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่จะมาแทนง่ายๆ
โดยเฉพาะเฮนโด้...ใครดูว่าเหมือนเล่นแบบไม่ค่อยมีคลาสมากนัก เดินโครงเครง...หลังคร่อมๆ
แต่กลับเป็นนักเตะที่เล่นบอลง่าย...จ่ายบอลจังหวะเดียว และวิ่งห้อตัดเกมแบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย
ทำให้ต้องมาช่วยกันภาวนาว่า...เกมที่เหลือ...ขอให้พี่เฮนโด้และน้องคูตี้
...อย่าเจ็บ...อย่าจน เอ๊ย!! ป่วย เลยนะ
4.วาสนารอดเจอร์
ประเด็นนี้มโนล้วนๆ ..สำหรับการแพ้ลูกโทษ ไม่ขอวิเคราะห์...เพราะแพ้ชนะกันได้เสมอ
ประสาอะไร...ระดับโลกอย่างเมสซี่...ยังยิงลูกโทษไม่ชัวร์เลย
เอาเป็นว่า...หากรอดเจอร์มีบุญวาสนา...อาจจะนำพาหงส์แดงกลับมาตะแคงฟ้าอีกครั้ง (ไปแชมป์เปี้ยนลีก)
หากขาดบุญที่ทำมาจากชาติที่แล้ว...รอดเจอร์ก็อาจเป็นเพียงกุนซือที่วูบวาบ ...ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
คล้ายตำนานหงส์ เควิน คีแกน ....ที่เกือบคว้าถ้วยพรีเมียร์ลีกให้กับนิวคาสเซิล
แต่ต้องพ่ายแพ้ประสบการณ์ของเฟอร์กี้ ทั้งๆที่นำโด่งถึง 12 แต้ม
การตกรอบยูโรป้าเมื่อคืน เป็นอีกนัดหนึ่งที่รอดเจอร์...ต้องเอาเกมนี้ไปเป็นบทเรียน
ไม่ว่าจะเล่นกับทีมรองบ่อน ทีมขนาดใหญ่ หรือทีมที่ต้องเดินทางไปเยือนในต่างแดน ท่ามเสียงเชียร์ที่กดดันของเจ้าถิ่น
ล้วนเป็นประสบการณ์สำหรับผู้จัดการทีมมือใหม่ จะต้องรับมือกับเกมกดดันให้ได้และต้องละเอียดกับเกมมากกว่านี้
หากจะยกระดับตนเองไปเป็นผู้จัดการทีมชั้นนำในยุโรป
แต่ไม่เป็นไร...รอดเจอร์อายุแค่ 42 ยังมีโอกาส เพราะยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ
ไม่เหมือนแมเนเจอร์วัยแซยิดบางทีม เห็นแฟนๆบ่นกันพรึมพรำว่า
...เป็นคนแก่ที่ดื้อรั้นและชอบดันทุรัง ไม่ฟังใคร
เป็นบอสระดับโลกมาได้ไงฟะ...เล่นระบบอัลไลของ

...
อ้าว!! ตอนจบ...ไหงหางานให้ตัวเอง...แล้วไหมล่ะ
...ของเค้าระดับโลกนา!!! ไม่เอา...ไม่พูด
สังเคราะห์หลังเกม...หงส์แดงพ่ายเหยี่ยวดำ...โทษดวงหรือวางหมากผิดพลาด
ตกรอบยูโรป้าลีกแบบน่าเขกกระโหลก
การไปเยือนด้วยสกอร์เป็นต่อนิดๆ หากแค่ยันเสมอ...ก็ผ่านเข้ารอบ...ฉลุย
ตรงนี้น่าวิเคราะห์เบื้องลึกมากที่สุด ...จะโทษดวงหรือการวางหมากที่ผิดพลาด...อย่างไหนดี
...ทำไมเอาไม่อยู่ ...มันเกิดจากสาเหตุใดมากที่สุด
1.พะวักพะวงกับเกมวันอาทิตย์...
เกมที่เล่นติดต่อกันอาทิตย์ละ 3 แมทซ์ ทำให้เกิดความพะวักพะวง โดยเฉพาะการรับมือกับแมนซิในวันอาทิตย์
เป็นเกมยากอีกเกม...หากไม่จัดเต็ม โอกาสแพ้มีมากกว่าชนะหรือเสมอ
...แม้เป็นแค่เกมหนึ่งที่เหลืออีก 10 กว่าเกม
แต่มันเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายได้เหมือนกัน เพราะถ้าพลาดท่าแพ้...อาจหลุดวงโคจรแชมเปียนลีกได้ง่ายๆ
จะว่าไปหากเปรียบเทียบความสำคัญกับเกมยูโรป้า...มันมองได้หลายมุม
ทั้งรักพี่และเสียดายน้อง พรีเมียร์ก็ลุ้น เกมยูโรป้า...ก็แนวโน้มดี เกมเลยออกมาอย่างที่เห็น
2.เจ็บ-ดรอป จนทีมขาดความสมดุล
จุดนี้โทษใครไม่ได้ เพราะองค์ประกอบของทีมอันน้อยนิด...กับนักเตะนัดกันบาดเจ็บ
เมื่อวานรูปเกมของลิเวอร์พูล แดนกลางไม่มีใครเป็นคนทำเกมไดัเลย
สเตอริดกับบาโล ลงมาล้วงบอลเองหลายต่อหลายครั้ง
อัลเลนและชานที่เล่นเป็นกองกลางตามถนัด...กับผิดพลาดกันง่ายๆ
ทั้งเกมเกินกว่าครึ่ง...ทั้งอัลเลนและชาน จ่ายบอลเสีย....ถูกคู่แข่งโต้กลับ
จนต้องลงมาช่วยกันตั้งรับกันจ้าละหวั่น
ดีที่กองหลังทั้ง 3 กับมิโญเล่ย์ ...ผิดพลาดน้อย...เลยช่วยยื้อเกมยาว
3.ลังเลกับการวางหมาก...คิดจะมาแค่ตั้งรับรอสวนหรือจะบุกสู้ ...ประสบการณ์รอดเจอร์ล้วนๆ
ประเด็นนี้อ่านใจรอดเจอร์ยาก...ใช่อาจมีเจ็บ... มีดรอป... เข้าใจ.... ทุกแมทซ์สำคัญทั้งนั้น
แต่เมื่อตัดสินใจเอาบาโลลงเล่นหน้าคู่กับสเตอริด และสเตอริงทำเกม...นั่นหมายถึงมาบุกสู้ ไม่ใช่แค่รอสวน
ซึ่งการตุนความได้เปรียบเล็ก ๆ ไม่ควรจะวางหมากบุกสู้แบบนี้
เพราะจุดเด่นที่ผ่านมาของหงส์ คือ เกมรับซึ่งลงตัวมาก สามารถยื้อเกม 0-0 ได้สบาย
การมาเยือนเบซิตัส อ่านง่ายๆ เขาต้องปูพรมบุกแหลกใส่ หวังทำสกอร์แน่ ๆ
...การตั้งรับน่าจะเป็นหมากที่น่าสนใจมากกว่า
ขนาดขั้นเทพอย่างน้ามูยังถูกนินทาว่า เอารถบัสมาขวาง และรอดเจอร์ล่ะ กลัวเสียทรงหรือไง
ครึ่งแรกน่าจะเลือกบาโลหรือสเตอริด เพียงคนใดคนหนึ่งลงก่อน
แล้วอัดกองกลางเพิ่มอย่างลาลานา...ไปเน้นครองบอล อัดกลาง 5 ตัว...น่าจะสมดุลกว่า ไม่ได้ก็ไม่เสีย
เพราะบาโล สเตอริด และสเตอริง ทั้ง 3 คนเล่นบอลทรงคล้ายกันมาก คือ ชอบเก็บบอลไว้กับตัว (ขี้เลี้ยงนะแหละ)
และเสียบอลง่ายๆเกือบทุกจังหวะ
ทำให้โอกาสจบสกอร์จากการบุกสู้แบบ...จะแจ้งได้เสีย...มีน้อยเกินไป
4.ขาดเธอขาดใจ
เป็นที่ประจักษ์แจ่มแจ้งแล้วว่า คูตินโญ่กับเฮนโด้สำคัญจริงๆ โดยเฉพาะหลังๆ คูตินโญ่ดีขึ้นผิดหูผิดตา
คิลลิ่งพาสได้เสียตลอด การยิงแถวสองก็พัฒนาขึ้นมาก
เพราะแดนกลางเมื่อไม่มีคูตินโญ่เป็นเพลย์เมคเกอร์....ไม่มีเฮนโด้ไว้โฮลด์บอล
รู้ได้เลยว่า....ทีมขาดเพลเยอร์ที่เป็นเพลย์เมคเกอร์จริงๆ เพราะหลังจากเจอราร์ดหลุดฟอร์มเพราะอายุ
หงส์ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่จะมาแทนง่ายๆ
โดยเฉพาะเฮนโด้...ใครดูว่าเหมือนเล่นแบบไม่ค่อยมีคลาสมากนัก เดินโครงเครง...หลังคร่อมๆ
แต่กลับเป็นนักเตะที่เล่นบอลง่าย...จ่ายบอลจังหวะเดียว และวิ่งห้อตัดเกมแบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย
ทำให้ต้องมาช่วยกันภาวนาว่า...เกมที่เหลือ...ขอให้พี่เฮนโด้และน้องคูตี้
...อย่าเจ็บ...อย่าจน เอ๊ย!! ป่วย เลยนะ
4.วาสนารอดเจอร์
ประเด็นนี้มโนล้วนๆ ..สำหรับการแพ้ลูกโทษ ไม่ขอวิเคราะห์...เพราะแพ้ชนะกันได้เสมอ
ประสาอะไร...ระดับโลกอย่างเมสซี่...ยังยิงลูกโทษไม่ชัวร์เลย
เอาเป็นว่า...หากรอดเจอร์มีบุญวาสนา...อาจจะนำพาหงส์แดงกลับมาตะแคงฟ้าอีกครั้ง (ไปแชมป์เปี้ยนลีก)
หากขาดบุญที่ทำมาจากชาติที่แล้ว...รอดเจอร์ก็อาจเป็นเพียงกุนซือที่วูบวาบ ...ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
คล้ายตำนานหงส์ เควิน คีแกน ....ที่เกือบคว้าถ้วยพรีเมียร์ลีกให้กับนิวคาสเซิล
แต่ต้องพ่ายแพ้ประสบการณ์ของเฟอร์กี้ ทั้งๆที่นำโด่งถึง 12 แต้ม
การตกรอบยูโรป้าเมื่อคืน เป็นอีกนัดหนึ่งที่รอดเจอร์...ต้องเอาเกมนี้ไปเป็นบทเรียน
ไม่ว่าจะเล่นกับทีมรองบ่อน ทีมขนาดใหญ่ หรือทีมที่ต้องเดินทางไปเยือนในต่างแดน ท่ามเสียงเชียร์ที่กดดันของเจ้าถิ่น
ล้วนเป็นประสบการณ์สำหรับผู้จัดการทีมมือใหม่ จะต้องรับมือกับเกมกดดันให้ได้และต้องละเอียดกับเกมมากกว่านี้
หากจะยกระดับตนเองไปเป็นผู้จัดการทีมชั้นนำในยุโรป
แต่ไม่เป็นไร...รอดเจอร์อายุแค่ 42 ยังมีโอกาส เพราะยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ
ไม่เหมือนแมเนเจอร์วัยแซยิดบางทีม เห็นแฟนๆบ่นกันพรึมพรำว่า
...เป็นคนแก่ที่ดื้อรั้นและชอบดันทุรัง ไม่ฟังใคร
เป็นบอสระดับโลกมาได้ไงฟะ...เล่นระบบอัลไลของ
อ้าว!! ตอนจบ...ไหงหางานให้ตัวเอง...แล้วไหมล่ะ
...ของเค้าระดับโลกนา!!! ไม่เอา...ไม่พูด