ขออนุญาตจัดลิสต์ย้อนหลังของปี 2014 สักหน่อย ที่ปิดปีช้าเพราะหนังบางเรื่องเพิ่งจะเข้าไทยช่วงใกล้ออสการ์
เกณฑ์การคัดเลือกของผมไม่ได้วัดกันที่การแสดงอย่างเดียวนะครับ แต่หมายรวมถึงนักแสดงที่พัฒนาฝีมือการแสดง,
แจ้งเกิดเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง, เปลี่ยนบทบาทให้คนจดจำภาพใหม่, ตลอดจนถึงนักแสดงที่คืนฟอร์มของตัวเองได้สำเร็จ
และนี่คือ 20 นักแสดงแห่งปี 2014 ในความเห็นของข้าพเจ้า
เริ่มชมและอ่านความเห็นพร้อมกันได้เลยครับ
20. Scarlett Johansson

หลังจากหมดยุค 'มิลลา โยโววิช' ยึดตลาด female action stars หันซ้ายหันขวามองตลาดหนังแอ็คชั่นที่ใช้ผู้หญิงแสดงนำชั่วโมงนี้ก็คงไม่มีตัวเลือกไหนน่าสนใจมากไปกว่า 'สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน' ซึ่งน่าสนใจตรงที่เธอไม่ได้เติบโตจากการเป็นนักแสดงแอ็คชั่นเหมือน 'จีน่า คาราโน่' (Haywire) หรือ 'มิเชล โรดริเกวซ' (Furious 6) และไม่เคยมีวี่แววว่าจะกระโดดมาสายบู๊เต็มตัวแบบนี้จนกระทั่งได้รับบท 'Black Widow'
หลังจากขายเซ็กซี่บ้าง เล่นหนังอาร์ทนอกกระแสบ้าง ผมว่าปีนี้เธอมาถูกทางแล้วที่เบนเข็มสู่วงการแอ็คชั่นเพราะตลาดนี้กำลังขาดแคลนนักแสดงนำหญิงที่มีบารมีพอจะทำให้หนังขายได้ด้วยชื่อเสียงของดารา เครดิตหนังแอ็คชั่นอย่าง The Avengers และ Lucy คงจะเป็นใบเบิกทางที่ดีสำหรับอนาคตของเธอใน Ghost in the Shell รวมถึงการเพิ่มบทบาท Black Widow ในแฟรนไชส์ของ Marvel อีกด้วย
19. Emma Stone

'เอ็มม่า สโตน' คือหนึ่งในคอมีเดี้ยนฝ่ายหญิงที่ไม่ได้มีดีแค่ความสามารถในการเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากหนุ่ม ๆ ทั้งหลาย แม้หลายคนจะคุ้นเคยกับการเห็นเธอในหนังคอเมดี้(ปนดราม่า) เช่น Easy A, Zombieland, Superbad, และ Crazy Stupid Love แต่เรารู้สึกว่าเธอมีศักยภาพที่จะแสดงหนังดราม่าล่ารางวัลได้เช่นกัน ซึ่งเธอก็พิสูจน์ตัวเองจากก้าวเล็ก ๆ ใน Birdman เรียบร้อยแล้ว
สำหรับวัยเพียง 26 ปีของเธอมันอาจจะเร็วเกินไปที่จะเบนเข็มไปสายดราม่าหนังล่ารางวัลเต็มตัว ผมยังคงอยากเห็นเธอเล่นบทเซ็กซี่น่ารักแบบเดิม ๆ มากกว่า ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างดีใจมากที่ผลงานของเธอในปีนี้เป็นแนวรอมคอมทั้งสองเรื่อง
18. Lily Collins

ถ้าจะมีใครสักคนที่สามารถขโมยหัวใจผมไปครองได้ ปีนี้คงต้องยกให้เสน่ห์ของ 'ลิลี่ คอลลินส์' ใน Love, Rosie เนี่ยแหละ เธอไปได้ทั้งเส้นทางขายความสวย น่ารักสดใส หรือจะเซ็กซี่ขี้เล่น ผมเชื่อว่าเธอเอาอยู่หมดทุกทาง
พูดถึงเส้นทางชีวิตนางเอกหนังรอมคอมเนี่ยมีดังเปรี้ยงแล้วดับอย่างรวดเร็วก็หลายคน แต่ผมเชื่อว่าเธอสามารถเดินตามรอย 'จูเลีย โรเบิร์ตส์' หรือ 'คาเมรอน ดิแอซ' กลายเป็น romcom stars คนต่อไปของยุคได้แน่นอน อายุเพิ่งจะ 25 เส้นทางสายนี้ยังอีกไกล หนังโปรดฟันธงไม่กลัวหักเอาไว้ล่วงหน้าได้เลย
17. Robert Pattinson

ความเป็นไอดอลชื่อดังคงไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับคนที่อยากเป็นนักแสดงเสมอไป มันไม่ใช่ความผิดของ 'โรเบิร์ต แพททินสัน' ที่เขาโด่งดังจากแฟรนไชส์ Twilight หนังสุดยี้ของเหล่านักวิจารณ์ และการเป็นตัวเอกในแฟรนไชส์ชุดนี้ทำให้เขาถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงแค่ไอดอลขายความหล่อที่ต้องติดภาพแวมไพร์ไปอีกหลายปี ถึงแม้ว่าเขาจะดิ้นรนหาหนังที่เปิดทางให้ได้แสดงศักยภาพมาโดยตลอดก็ตาม
ช่วงปีที่ผ่านมา การไปเล่นบทวัยรุ่นมีปัญหาใน Remember Me และเล่นบทขายเสน่ห์ใน Bel Ami มันยังไม่พลิกโฉมเขาเท่าผลงานในปีที่ผ่านมาที่ปูทางให้เขาได้เฉิดฉายการแสดงที่โดดเด่นที่สุดในชีวิตของเขานั่นก็คือ The Rover ด้วยบทโทรม ๆ ไม่หลงเหลือคราบไอดอล พร้อมด้วยการแสดงท่าทางที่ชวนเชื่อว่าเป็นหนุ่มซื่อต๊อกต๋อยไปทางเอ๋อเสียด้วยซ้ำ เชื่อว่าถ้าเขามุ่งหน้าสายการแสดงต่อไปเรื่อย ๆ คงมีสักวันที่มีชื่อบนเวทีออสการ์อย่างแน่นอน
16. J.K. Simmons

เรียกว่านอนมาสำหรับรางวัลออสการ์สาขาการแสดงสมทบยอดเยี่ยมฝ่ายชาย คือเป็นตัวเก็งชนิดที่คู่แข่งไม่ต้องเตรียม speech ไว้พูดบนเวทีเลย บทอาจารย์ผู้ควบคุมวงดนตรีที่เคี่ยวเข็ญรีดความสามารถนักเรียนให้ไปไกลกว่าที่คิดฝันนี่มันส่งให้เขาได้ออสการ์มาก ๆ เพราะดูเหมือนว่ากรรมการจะชอบการแสดงแนวโชว์พลังที่สามารถจับต้องความสามารถได้ง่ายกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ผมชอบการระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียวก้าวร้าวทรงพลังของเขาใน Whiplash มาก แม้จะไม่ได้ผูกพันอันใดกับ 'เจ เค ซิมม่อนส์' มาก่อน แต่ก็ขอยินดีสำหรับออสการ์ประจำปีนี้เพราะเขาคู่ควรกับรางวัลชนิดที่ไม่มีใครควรโต้แย้งอันใด
15. Felicity Jones

ค่อนข้างลำเอียงพอสมควรที่เลือก 'เฟลิซิตี้ โจนส์' ให้เป็นนักแสดงแห่งปีในดวงใจ สาเหตุหลัก ๆ มาจากผมปลื้มเธอมาตั้งแต่หนัง Sundance เรื่อง Like Crazy + Breathe In แล้วพอมาดู The Theory of Everything ก็พบว่าเธอการแสดงของเธอสามารถเฉิดฉายในสนามใหญ่ได้สบาย ๆ
ผมไม่ค่อยปลื้มบทหนังของ The Theory of Everything สักเท่าไร ตัวบทหนังมันไม่สามารถทำให้คนดูเชื่อถือความสัมพันธ์ได้เลย มันเป็นหนังที่เล่าความรักโดยพึ่งพาการแสดงของสองนักแสดงนำสูงมาก ถ้านักแสดงฝีมือไม่ถึงนี่คือจบเห่ได้เลย ผมจึงค่อนข้างชื่นชมการแสดงของโจนส์ในหนังเรื่องนี้ที่ทำให้คนดูเชื่อว่าเธอรักสามีโดยที่ไม่ต้องอาศัยบทหนังมาชี้นำ
14. Tom Cruise

อายุ 50 กว่าแล้วแต่ยังเล่นหนังแอ็คชั่นอย่างกับเพิ่งอายุ 30 ปีนี้อาจจะเป็นปีที่พูดได้เต็มปากว่า "ทอม ครูซกลับมาแล้ว" หลังจากหลงไปเล่นหนังแอ็คชั่นเลอะเทอะแบบ Jack Reacher และไปแป้กกับหนังแอ็คชั่นไซไฟเรื่อง Oblivion การได้มาโชว์เสน่ห์ครูซใน Edge of Tomorrow จึงไม่เป็นคำกล่าวอ้างเยินยอเกินจริงว่าเขาเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ชมในอเมริกากลับมาได้เรียบร้อยแล้ว
ในบรรดา action stars ฝั่งชายคงมีแต่ทอม ครูซเนี่ยแหละที่เลือกหนังไว้ใจได้ เพราะตัวเลือกอื่นเช่น 'โคลิน ฟาเรลล์' ก็เริ่มเงียบหายไป หรือ 'เจสัน สเตแธม' ก็เล่นอยู่แต่หนังสไตล์เดิม ๆ จนเอียนไปข้าง
13. Iko Uwais

เหมือนว่าช่วงหลัง ๆ กระแส action stars จากเอเชียจะซบเซาลงไป ไม่ว่าจะเป็น เฉินหลง, โจว เหวินฟะ, เจ็ท ลี, ดอนนี่ เยน แม้กระทั่งจา พนม แต่การกำเนิดหนังแอ็คชั่นโชว์ศิลปะการป้องกันตัวแบบดิบ ๆ เรื่อง The Raid ทั้งสองภาคมันคงถึงเวลาแจ้งเกิด action stars จากอินโดนีเซีย นั่นก็คือ 'อิโก อูไวส์'
ต้องชื่นชมตั้งแต่ตัวหนังเรื่อง The Raid 2 ที่มีพล็อตหนังเจ้าพ่อทะเยอทะยานพร้อมเทคนิคการถ่ายทำเจ๋ง ๆ ขายตลาดโลกได้สบาย ๆ จนพอเรามองดูหนังอินโดที่แจ้งเกิดอิโก อูไวส์แล้วรู้สึกเห็นใจจา พนม เพราะเขาเองก็มีศักยภาพที่จะไปได้ไกลกว่าทุกวันนี้ถ้าไม่ติดเรื่องสัญญาค่ายที่มัวแต่จะโกอินเตอร์แบบไทย ๆ
12. Rosamund Pike

เวลานึกถึง 'โรซามันด์ ไพค์' เชื่อเถอะว่าคนคงคุยกันแค่ว่า "อ๋อ ที่เคยเป็นสาวบอนด์ไง" "ใช่ที่เป็นพี่สาวเคียร่าป่ะ" หรือ "หน้าคุ้น ๆ เหมือนเล่นเป็นนางเอกมาดผู้ดีในหนังอะไรสักอย่างใช่ป่าว" แต่หลังจากได้ดู Gone Girl ผมเชื่อว่าทุกคนจะลืมไอ้ที่เคยพูด ๆ มาทั้งหลาย แล้วจดจำว่าเธอคือเอมี่ ดันน์ หนูน้อยมหัศจรรย์
ได้เข้าชิงออสการ์ขนาดนี้คงปกปิดความลับของบทหนังไม่ได้แล้วล่ะมั้ง ขอพูดหน่อยเถอะว่าการแสดงของเธอมันทำให้เราหลอนคิดว่าเธอจิตจากใต้สำนึกเลยทีเดียว มันเจ๋งตรงที่เธอเล่นทั้งจิตเหี้ยมและจิตปกติแอบเหี้ยม เล่นแอ๊บเล่นแบ๊วเล่นร้ายในเรื่องเดียวกันได้อย่างช่ำชองราวกับมันคือชีวิตจริงของเธอ สมกับเป็นหนูน้อยมหัศจรรย์
11. Steve Carell

ผมเชื่อว่านักแสดงสายคอเมดี้หลายคนถูกประเมินความสามารถต่ำกว่าความเป็นจริงเพียงเพราะเขาไปแสดงอยู่ในหนังบ๊อง ๆ เรียกเสียงหัวเราะ ตัวอย่างเช่นบิล เมอเร่ย์กับทอม แฮงส์ที่โด่งดังจากหนังคอเมดี้ก่อนจะผันตัวมาเล่นดราม่า หรือเจมี่ ฟ็อกซ์ก็เป็นตลกมาก่อนจะเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ เช่นเดียวกับ 'สตีฟ คาเรลล์' ที่ฝีมือการแสดงของเขาไม่เคยถูกพูดถึงเพราะเขามีชื่ออยู่แต่ในหนังตลกประเภท Date Night, Get Smart และต่อให้มีชื่อในหนังคอเมดี้น้ำดีอย่าง The 40 Year Old Virgin และ Little Miss Sunshine ก็ไม่อาจทำให้เขาได้รับความสนใจมากไปกว่าการผันตัวมาเป็น serious actors ใน Foxcatcher
ผมไม่ได้ประทับใจการแสดงของคาเรลล์เพราะเขาเป็นสายคอเมดี้ผันตัวมาดราม่า แต่เพราะเขาแสดงดีจนคู่ควรที่จะได้รับการยกย่อง ตัดเรื่องจมูกปลอมชี้โด่เด่ออกไปแล้วพูดถึงความสามารถในการถ่ายทอดตีความตัวละคร ผมว่าเขาทำได้น่าทึ่งมาก ๆ เห็นคาเรลล์เป็นอันต้องอึดอัด เป็นอันต้องรู้สึกสมเพช และยังรู้สึกหดหู่กับสิ่งที่เขาดิ้นรนจะพิสูจน์ตัวเอง มันจึงเป็นการแสดงที่เขาควรได้รับคำชมโดยไม่ต้องไปอ้างอิงว่า "โหย นักแสดงตลกเล่นแบบนี้ได้ด้วยหรอ"
== 20 นักแสดงแห่งปี 2014 ในความเห็นข้าพเจ้า ==
แจ้งเกิดเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง, เปลี่ยนบทบาทให้คนจดจำภาพใหม่, ตลอดจนถึงนักแสดงที่คืนฟอร์มของตัวเองได้สำเร็จ
เริ่มชมและอ่านความเห็นพร้อมกันได้เลยครับ
หลังจากหมดยุค 'มิลลา โยโววิช' ยึดตลาด female action stars หันซ้ายหันขวามองตลาดหนังแอ็คชั่นที่ใช้ผู้หญิงแสดงนำชั่วโมงนี้ก็คงไม่มีตัวเลือกไหนน่าสนใจมากไปกว่า 'สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน' ซึ่งน่าสนใจตรงที่เธอไม่ได้เติบโตจากการเป็นนักแสดงแอ็คชั่นเหมือน 'จีน่า คาราโน่' (Haywire) หรือ 'มิเชล โรดริเกวซ' (Furious 6) และไม่เคยมีวี่แววว่าจะกระโดดมาสายบู๊เต็มตัวแบบนี้จนกระทั่งได้รับบท 'Black Widow'
หลังจากขายเซ็กซี่บ้าง เล่นหนังอาร์ทนอกกระแสบ้าง ผมว่าปีนี้เธอมาถูกทางแล้วที่เบนเข็มสู่วงการแอ็คชั่นเพราะตลาดนี้กำลังขาดแคลนนักแสดงนำหญิงที่มีบารมีพอจะทำให้หนังขายได้ด้วยชื่อเสียงของดารา เครดิตหนังแอ็คชั่นอย่าง The Avengers และ Lucy คงจะเป็นใบเบิกทางที่ดีสำหรับอนาคตของเธอใน Ghost in the Shell รวมถึงการเพิ่มบทบาท Black Widow ในแฟรนไชส์ของ Marvel อีกด้วย
'เอ็มม่า สโตน' คือหนึ่งในคอมีเดี้ยนฝ่ายหญิงที่ไม่ได้มีดีแค่ความสามารถในการเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากหนุ่ม ๆ ทั้งหลาย แม้หลายคนจะคุ้นเคยกับการเห็นเธอในหนังคอเมดี้(ปนดราม่า) เช่น Easy A, Zombieland, Superbad, และ Crazy Stupid Love แต่เรารู้สึกว่าเธอมีศักยภาพที่จะแสดงหนังดราม่าล่ารางวัลได้เช่นกัน ซึ่งเธอก็พิสูจน์ตัวเองจากก้าวเล็ก ๆ ใน Birdman เรียบร้อยแล้ว
สำหรับวัยเพียง 26 ปีของเธอมันอาจจะเร็วเกินไปที่จะเบนเข็มไปสายดราม่าหนังล่ารางวัลเต็มตัว ผมยังคงอยากเห็นเธอเล่นบทเซ็กซี่น่ารักแบบเดิม ๆ มากกว่า ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างดีใจมากที่ผลงานของเธอในปีนี้เป็นแนวรอมคอมทั้งสองเรื่อง
ถ้าจะมีใครสักคนที่สามารถขโมยหัวใจผมไปครองได้ ปีนี้คงต้องยกให้เสน่ห์ของ 'ลิลี่ คอลลินส์' ใน Love, Rosie เนี่ยแหละ เธอไปได้ทั้งเส้นทางขายความสวย น่ารักสดใส หรือจะเซ็กซี่ขี้เล่น ผมเชื่อว่าเธอเอาอยู่หมดทุกทาง
พูดถึงเส้นทางชีวิตนางเอกหนังรอมคอมเนี่ยมีดังเปรี้ยงแล้วดับอย่างรวดเร็วก็หลายคน แต่ผมเชื่อว่าเธอสามารถเดินตามรอย 'จูเลีย โรเบิร์ตส์' หรือ 'คาเมรอน ดิแอซ' กลายเป็น romcom stars คนต่อไปของยุคได้แน่นอน อายุเพิ่งจะ 25 เส้นทางสายนี้ยังอีกไกล หนังโปรดฟันธงไม่กลัวหักเอาไว้ล่วงหน้าได้เลย
ความเป็นไอดอลชื่อดังคงไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับคนที่อยากเป็นนักแสดงเสมอไป มันไม่ใช่ความผิดของ 'โรเบิร์ต แพททินสัน' ที่เขาโด่งดังจากแฟรนไชส์ Twilight หนังสุดยี้ของเหล่านักวิจารณ์ และการเป็นตัวเอกในแฟรนไชส์ชุดนี้ทำให้เขาถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงแค่ไอดอลขายความหล่อที่ต้องติดภาพแวมไพร์ไปอีกหลายปี ถึงแม้ว่าเขาจะดิ้นรนหาหนังที่เปิดทางให้ได้แสดงศักยภาพมาโดยตลอดก็ตาม
ช่วงปีที่ผ่านมา การไปเล่นบทวัยรุ่นมีปัญหาใน Remember Me และเล่นบทขายเสน่ห์ใน Bel Ami มันยังไม่พลิกโฉมเขาเท่าผลงานในปีที่ผ่านมาที่ปูทางให้เขาได้เฉิดฉายการแสดงที่โดดเด่นที่สุดในชีวิตของเขานั่นก็คือ The Rover ด้วยบทโทรม ๆ ไม่หลงเหลือคราบไอดอล พร้อมด้วยการแสดงท่าทางที่ชวนเชื่อว่าเป็นหนุ่มซื่อต๊อกต๋อยไปทางเอ๋อเสียด้วยซ้ำ เชื่อว่าถ้าเขามุ่งหน้าสายการแสดงต่อไปเรื่อย ๆ คงมีสักวันที่มีชื่อบนเวทีออสการ์อย่างแน่นอน
เรียกว่านอนมาสำหรับรางวัลออสการ์สาขาการแสดงสมทบยอดเยี่ยมฝ่ายชาย คือเป็นตัวเก็งชนิดที่คู่แข่งไม่ต้องเตรียม speech ไว้พูดบนเวทีเลย บทอาจารย์ผู้ควบคุมวงดนตรีที่เคี่ยวเข็ญรีดความสามารถนักเรียนให้ไปไกลกว่าที่คิดฝันนี่มันส่งให้เขาได้ออสการ์มาก ๆ เพราะดูเหมือนว่ากรรมการจะชอบการแสดงแนวโชว์พลังที่สามารถจับต้องความสามารถได้ง่ายกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ผมชอบการระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียวก้าวร้าวทรงพลังของเขาใน Whiplash มาก แม้จะไม่ได้ผูกพันอันใดกับ 'เจ เค ซิมม่อนส์' มาก่อน แต่ก็ขอยินดีสำหรับออสการ์ประจำปีนี้เพราะเขาคู่ควรกับรางวัลชนิดที่ไม่มีใครควรโต้แย้งอันใด
ค่อนข้างลำเอียงพอสมควรที่เลือก 'เฟลิซิตี้ โจนส์' ให้เป็นนักแสดงแห่งปีในดวงใจ สาเหตุหลัก ๆ มาจากผมปลื้มเธอมาตั้งแต่หนัง Sundance เรื่อง Like Crazy + Breathe In แล้วพอมาดู The Theory of Everything ก็พบว่าเธอการแสดงของเธอสามารถเฉิดฉายในสนามใหญ่ได้สบาย ๆ
ผมไม่ค่อยปลื้มบทหนังของ The Theory of Everything สักเท่าไร ตัวบทหนังมันไม่สามารถทำให้คนดูเชื่อถือความสัมพันธ์ได้เลย มันเป็นหนังที่เล่าความรักโดยพึ่งพาการแสดงของสองนักแสดงนำสูงมาก ถ้านักแสดงฝีมือไม่ถึงนี่คือจบเห่ได้เลย ผมจึงค่อนข้างชื่นชมการแสดงของโจนส์ในหนังเรื่องนี้ที่ทำให้คนดูเชื่อว่าเธอรักสามีโดยที่ไม่ต้องอาศัยบทหนังมาชี้นำ
อายุ 50 กว่าแล้วแต่ยังเล่นหนังแอ็คชั่นอย่างกับเพิ่งอายุ 30 ปีนี้อาจจะเป็นปีที่พูดได้เต็มปากว่า "ทอม ครูซกลับมาแล้ว" หลังจากหลงไปเล่นหนังแอ็คชั่นเลอะเทอะแบบ Jack Reacher และไปแป้กกับหนังแอ็คชั่นไซไฟเรื่อง Oblivion การได้มาโชว์เสน่ห์ครูซใน Edge of Tomorrow จึงไม่เป็นคำกล่าวอ้างเยินยอเกินจริงว่าเขาเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ชมในอเมริกากลับมาได้เรียบร้อยแล้ว
ในบรรดา action stars ฝั่งชายคงมีแต่ทอม ครูซเนี่ยแหละที่เลือกหนังไว้ใจได้ เพราะตัวเลือกอื่นเช่น 'โคลิน ฟาเรลล์' ก็เริ่มเงียบหายไป หรือ 'เจสัน สเตแธม' ก็เล่นอยู่แต่หนังสไตล์เดิม ๆ จนเอียนไปข้าง
เหมือนว่าช่วงหลัง ๆ กระแส action stars จากเอเชียจะซบเซาลงไป ไม่ว่าจะเป็น เฉินหลง, โจว เหวินฟะ, เจ็ท ลี, ดอนนี่ เยน แม้กระทั่งจา พนม แต่การกำเนิดหนังแอ็คชั่นโชว์ศิลปะการป้องกันตัวแบบดิบ ๆ เรื่อง The Raid ทั้งสองภาคมันคงถึงเวลาแจ้งเกิด action stars จากอินโดนีเซีย นั่นก็คือ 'อิโก อูไวส์'
ต้องชื่นชมตั้งแต่ตัวหนังเรื่อง The Raid 2 ที่มีพล็อตหนังเจ้าพ่อทะเยอทะยานพร้อมเทคนิคการถ่ายทำเจ๋ง ๆ ขายตลาดโลกได้สบาย ๆ จนพอเรามองดูหนังอินโดที่แจ้งเกิดอิโก อูไวส์แล้วรู้สึกเห็นใจจา พนม เพราะเขาเองก็มีศักยภาพที่จะไปได้ไกลกว่าทุกวันนี้ถ้าไม่ติดเรื่องสัญญาค่ายที่มัวแต่จะโกอินเตอร์แบบไทย ๆ
เวลานึกถึง 'โรซามันด์ ไพค์' เชื่อเถอะว่าคนคงคุยกันแค่ว่า "อ๋อ ที่เคยเป็นสาวบอนด์ไง" "ใช่ที่เป็นพี่สาวเคียร่าป่ะ" หรือ "หน้าคุ้น ๆ เหมือนเล่นเป็นนางเอกมาดผู้ดีในหนังอะไรสักอย่างใช่ป่าว" แต่หลังจากได้ดู Gone Girl ผมเชื่อว่าทุกคนจะลืมไอ้ที่เคยพูด ๆ มาทั้งหลาย แล้วจดจำว่าเธอคือเอมี่ ดันน์ หนูน้อยมหัศจรรย์
ได้เข้าชิงออสการ์ขนาดนี้คงปกปิดความลับของบทหนังไม่ได้แล้วล่ะมั้ง ขอพูดหน่อยเถอะว่าการแสดงของเธอมันทำให้เราหลอนคิดว่าเธอจิตจากใต้สำนึกเลยทีเดียว มันเจ๋งตรงที่เธอเล่นทั้งจิตเหี้ยมและจิตปกติแอบเหี้ยม เล่นแอ๊บเล่นแบ๊วเล่นร้ายในเรื่องเดียวกันได้อย่างช่ำชองราวกับมันคือชีวิตจริงของเธอ สมกับเป็นหนูน้อยมหัศจรรย์
ผมเชื่อว่านักแสดงสายคอเมดี้หลายคนถูกประเมินความสามารถต่ำกว่าความเป็นจริงเพียงเพราะเขาไปแสดงอยู่ในหนังบ๊อง ๆ เรียกเสียงหัวเราะ ตัวอย่างเช่นบิล เมอเร่ย์กับทอม แฮงส์ที่โด่งดังจากหนังคอเมดี้ก่อนจะผันตัวมาเล่นดราม่า หรือเจมี่ ฟ็อกซ์ก็เป็นตลกมาก่อนจะเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ เช่นเดียวกับ 'สตีฟ คาเรลล์' ที่ฝีมือการแสดงของเขาไม่เคยถูกพูดถึงเพราะเขามีชื่ออยู่แต่ในหนังตลกประเภท Date Night, Get Smart และต่อให้มีชื่อในหนังคอเมดี้น้ำดีอย่าง The 40 Year Old Virgin และ Little Miss Sunshine ก็ไม่อาจทำให้เขาได้รับความสนใจมากไปกว่าการผันตัวมาเป็น serious actors ใน Foxcatcher
ผมไม่ได้ประทับใจการแสดงของคาเรลล์เพราะเขาเป็นสายคอเมดี้ผันตัวมาดราม่า แต่เพราะเขาแสดงดีจนคู่ควรที่จะได้รับการยกย่อง ตัดเรื่องจมูกปลอมชี้โด่เด่ออกไปแล้วพูดถึงความสามารถในการถ่ายทอดตีความตัวละคร ผมว่าเขาทำได้น่าทึ่งมาก ๆ เห็นคาเรลล์เป็นอันต้องอึดอัด เป็นอันต้องรู้สึกสมเพช และยังรู้สึกหดหู่กับสิ่งที่เขาดิ้นรนจะพิสูจน์ตัวเอง มันจึงเป็นการแสดงที่เขาควรได้รับคำชมโดยไม่ต้องไปอ้างอิงว่า "โหย นักแสดงตลกเล่นแบบนี้ได้ด้วยหรอ"
เพจ หนังโปรดของข้าพเจ้า
https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms
----------------------------------------------------------