เรื่องมีอยู่ว่า ป้าคนนึง ขอเรียกสั้นๆ สมมติว่าชื่อ ป้ามด
เป็นพนักงานทำความสะอาด หรือที่เราเรียกกันใน office ว่า Maid
(ถูกว่าจ้างผ่านบริษัทผู้รับเหมาเพื่อมาทำความสะอาดและงานบริการให้บริษัทเรา)
เมื่อก่อนป้ามดจะได้รับเงินรายวันเป็นเงินสด จ่ายทุกสิ้นเดือน แต่เดือนนี้ทางบริษัทที่ว่าจ้างป้า บอกให้ป้าและเพื่อนๆไปเปิดบัญชีกับธนาคาร K สาขานึงที่อยู่ใกล้ที่ทำงานป้าและเป็นสาขาที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควรเนื่องจากอยู่ในแหล่งนิคมอุตสาหกรรม
ป้ามด เป็นคนที่ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เขียนได้เฉพาะชื่อตัวเอง และอ่านได้เฉพาะตัวเลขและคำที่คุ้นเคยเท่านั้น
ป้าไปเปิดบัญชีเพื่อทำบัตร ATM กับรุ่นน้อง กดบัตรคิวปุ๊ป ต่างคนต่างถูกเรียกตัวไปคนละช่อง
ป้าทำการเปิดบัญชีกับพนักงาน K คนนึง สมมติชื่อ V
ป้าบอก V ว่า ป้าอ่านหนังสือไม่ออก มาเปิดบัญชีกับบัตรกดเงิน
แต่...........
บัตรที่ป้ามดได้กลับมา คือ บัตร Blue ที่สามารถใช้รูดซื้อสินค้าได้และพ่วงประกันชีวิต คิดค่าธรรมเนียมรายปีที่ 999 บาท/ปี ค่าออกบัตรอีกประมาณ 150 บาท รวมแล้วป้าต้องจ่ายเงินไปพันกว่าบาทในการเปิดบัญชี
ป้ามาถามเพราะป้างง ว่าทำไมมันแพง เค้าบอกให้ป้าชี้ว่าจะเอาอันไหน ยกเว้นบัตรสีฟ้า (ซึ่งทราบทีหลังว่าเป็นบัตรของทิพยฯซึ่งบัตรหมด จีงไม่ให้เลือก)
ป้าเลยชี้เอาอันถัดมา ซึ่งดูแล้วถูกที่สุดในจำนวนรายการบัตรที่ V เอาให้ดู
เราโทรไปถามและขอสาย V เพื่อสอบถามว่า....
เรา : ทำไมจึงไม่เสนอหรือมีตัวเลือกในการทำบัตร ATM แบบธรรมดาให้ป้าคะ ทั้งที่ป้าบอกว่าไม่รู้หนังสือ
V : ก็เห็นว่าแบบมีประกันด้วยมันเป็นประโยชน์กับป้ามากกว่าค่ะ
เรา : คุณได้ค่าคอมมิชชั่นจากการขายบัตร ATM พ่วงประกันเหรอคะ ถึงได้ไม่เสนอบัตรธรรมดาให้ป้า
V : ไม่ได้ พนักงานทุกคนไม่ได้ค่าคอม ได้แค่ยอด (เริ่มจะมีอารมณ์)
เรา : คุณก็รู้ว่าป้าอ่านหนังสือไม่ออก ทำไมมีตัวเลือกเฉพาะที่พ่วงประกันให้ป้าเลือก (คือป้าไม่รู้ว่าเค้าเปิดบัญชีกับบัตรกดเงินกันเท่าไหร่ นึกว่ามีแค่นี้)
V : อ้าว ....ก็อธิบายให้ป้าฟังแล้วนะคะ ว่าประโยชน์ของแต่ละบัตรคืออะไร
เรา : คุณคิดว่าในเวลาไม่กี่นาที คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่รู้หนังสือ เค้าจะเข้าใจอะไรที่คุณพูดมั้ย
V : แล้วป้าเค้าไม่เห็นตัวเลขเหรอคะ ก็มีบอกอยู่นะว่าปีนึงต้องจ่ายเท่าไหร่
เรา : ก็คุณมีตัวเลือกให้เค้าเท่านี้ เค้าจะเลือกอะไร ทำไมคุณไม่เสนอบัตรธรรมดาให้เค้า คนไม่รู้หนังสือคุณคิดว่าเค้ามีเงินเยอะเหรอ เค้าเป็นแค่แม่บ้านนะคะ แล้วค่าธรรมเนียมรายปีที่คุณเสนอ มันไม่ใช่ถูกๆสำหรับเค้า ปีละ 1 พันบาท คุณทำงานไม่โปร่งใสกับลูกค้า หาผลประโยชน์จากการไม่รู้หนังสือของเค้า
ดิฉันจะทำเรื่องร้องเรียนไปที่สำนักงานใหญ๋
V : ก็ได้ค่ะ เชิญค่ะ ก็บอกแล้วว่าอธิบายแล้ว ว่าแต่ละอันราคาเท่าไหร่
เรา : (ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอวะคะ) ก็บอกแล้วไง ว่าป้าเค้าไม่รู้หนังสือ คุณเสนอบัตรธรรมดาให้เค้าก่อนหรือเปล่าล่ะ ไอ้ที่ไม่มีประกันน่ะ ป้าเค้าไม่รู้หรอกว่ามันมีแบบธรรมดาที่ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายปีเยอะๆแบบนี้ ใช้กดเงินอย่างเดียว
V : โอ้โห ...ป้าจะไม่รู้หนังสือได้ไง ตัวเลขก็มีให้เห็นอยู่ ใบสมัครก็เขียนเอง
เรา : ก็เค้าไม่รู้หนังสือ แต่เซ็นต์ชื่อตัวเองได้ (ป้าบอกเซ็นต์ไปแค่ 3 ที่ เค้าเอาใบมาให้เซ็นต์ก็เซ็นต์ ไม่รู้หรอกว่าใบอะไร)
นาง V ก็ข้างๆคูๆสีข้างถลอกไปเรื่อย เราว่าไม่จบ เลยถามว่า สรุปแล้วสามารถคืนและไม่เอาประกันที่ทำมาแล้วนี่ได้มั้ย นางตอบว่า ได้ แหมถ้าไม่ถามคงไม่บอกอีก นางบอกว่าได้เงินคืนใน 3 วัน แต่เราไม่รู้หรอกนะว่ายอดที่จะคืนมันจะถูกหักอะไรไปหรือเปล่า เราบอกว่า โอเคงั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ให้ป้าแกเอาไปติดต่อคุณละกัน นางวางหูใส่เลย ไม่ทันได้ฟังเราพูดว่า ขอบคุณ
สรุปว่า พนักงานทำยอดให้สาขา โดยการขายพ่วงประกันชีวิตพร้อมบัตร ATM ซึ่งคนที่ไม่รู้ก็จะไม่รู้ว่าบัตรธรรมดาที่ไม่ต้องมีประกันก็ใช้ได้ เพราะเราเคยอ่านเจอว่าบางธนาคาร โกหกลูกค้าว่าไม่มีบัตรกดเงินธรรมดา มีแต่แบบพ่วงประกันชีวิต ซึ่งค่าธรรมเนียมจะสูงกว่าบัตรธรรมดา
เราเองใช้บัตรกดเงินที่เป็นบัตรทอง ค่าธรรมเนียมรายปี 250 บาท มีประกันที่แถมให้มาเป็นแบบ ตายด้วยอุบัติเหตุจะได้รับ 1 แสนบาท ซึ่งถือว่า 250 บาทมันไม่แพงเท่าไหร่ แต่ไม่คิดว่าเดี๋ยวนี้มันจะมี option มากมายจนขึ้นไปถึงราคาเป็นพัน ซึ่งมันเยอะสำหรับคนหาเช้ากินค่ำอย่างป้ามด
อยากจะฝากบอกคนคิดนโยบายบังคับให้พนักงานทำยอด ว่าอย่างน้อยการตลาดของคุณ ไม่มีใครเค้าว่าหรอกค่ะ แต่ควรจะทำควบคู่ไปกับจรรยาบรรณบ้าง ไม่ใช่สักแต่ว่าให้พนักงานทำยอดโดยเน้นขายอย่างเดียว โดยไม่สนใจว่าเป็นลูกค้าประเภทไหน เสนอขายแบบปกปิด ไม่โปร่งใส ไม่ให้ตัวเลือกลูกค้าแบบเปิดเผย
เราอยากจะร้องเรียนไปที่สำนักงานใหญ่นะ แต่มาคิดดูแล้ว ทุกธนาคารคงมีนโยบายคล้ายๆกัน ร้องเรียนไปก็เท่านั้น ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าจะทำยอดแบบไหน เห็นแก่ตัวแค่ไหน อันนี้คงสอนกันไม่ได้ เพราะเท่าที่คุยกับนาง นางก็แถไปเรื่อย โดยไม่มีการตอบคำถามเรื่องบัตรธรรมดาเลย เพราะนางไม่ได้เสนอป้าจริงๆว่ามีบัตรธรรมดาด้วย
เอามาเตือนค่ะ เผื่อมีใครที่ยังไม่รู้ หรือมีญาติพี่น้องคนเฒ่าคนแก่ไปเปิดบัญชี จะได้ไม่ถูกหลอก หรือถูกหาผลประโยชน์แบบไม่มีจรรยาบรรณ แบบที่ป้ามดแกเจอมา
จนท.แบงค์ทำยอดให้สาขา ไม่คิดถึงจรรยาบรรณในการทำงานกันบ้างเหรอ
เป็นพนักงานทำความสะอาด หรือที่เราเรียกกันใน office ว่า Maid
(ถูกว่าจ้างผ่านบริษัทผู้รับเหมาเพื่อมาทำความสะอาดและงานบริการให้บริษัทเรา)
เมื่อก่อนป้ามดจะได้รับเงินรายวันเป็นเงินสด จ่ายทุกสิ้นเดือน แต่เดือนนี้ทางบริษัทที่ว่าจ้างป้า บอกให้ป้าและเพื่อนๆไปเปิดบัญชีกับธนาคาร K สาขานึงที่อยู่ใกล้ที่ทำงานป้าและเป็นสาขาที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควรเนื่องจากอยู่ในแหล่งนิคมอุตสาหกรรม
ป้ามด เป็นคนที่ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เขียนได้เฉพาะชื่อตัวเอง และอ่านได้เฉพาะตัวเลขและคำที่คุ้นเคยเท่านั้น
ป้าไปเปิดบัญชีเพื่อทำบัตร ATM กับรุ่นน้อง กดบัตรคิวปุ๊ป ต่างคนต่างถูกเรียกตัวไปคนละช่อง
ป้าทำการเปิดบัญชีกับพนักงาน K คนนึง สมมติชื่อ V
ป้าบอก V ว่า ป้าอ่านหนังสือไม่ออก มาเปิดบัญชีกับบัตรกดเงิน
แต่...........
บัตรที่ป้ามดได้กลับมา คือ บัตร Blue ที่สามารถใช้รูดซื้อสินค้าได้และพ่วงประกันชีวิต คิดค่าธรรมเนียมรายปีที่ 999 บาท/ปี ค่าออกบัตรอีกประมาณ 150 บาท รวมแล้วป้าต้องจ่ายเงินไปพันกว่าบาทในการเปิดบัญชี
ป้ามาถามเพราะป้างง ว่าทำไมมันแพง เค้าบอกให้ป้าชี้ว่าจะเอาอันไหน ยกเว้นบัตรสีฟ้า (ซึ่งทราบทีหลังว่าเป็นบัตรของทิพยฯซึ่งบัตรหมด จีงไม่ให้เลือก)
ป้าเลยชี้เอาอันถัดมา ซึ่งดูแล้วถูกที่สุดในจำนวนรายการบัตรที่ V เอาให้ดู
เราโทรไปถามและขอสาย V เพื่อสอบถามว่า....
เรา : ทำไมจึงไม่เสนอหรือมีตัวเลือกในการทำบัตร ATM แบบธรรมดาให้ป้าคะ ทั้งที่ป้าบอกว่าไม่รู้หนังสือ
V : ก็เห็นว่าแบบมีประกันด้วยมันเป็นประโยชน์กับป้ามากกว่าค่ะ
เรา : คุณได้ค่าคอมมิชชั่นจากการขายบัตร ATM พ่วงประกันเหรอคะ ถึงได้ไม่เสนอบัตรธรรมดาให้ป้า
V : ไม่ได้ พนักงานทุกคนไม่ได้ค่าคอม ได้แค่ยอด (เริ่มจะมีอารมณ์)
เรา : คุณก็รู้ว่าป้าอ่านหนังสือไม่ออก ทำไมมีตัวเลือกเฉพาะที่พ่วงประกันให้ป้าเลือก (คือป้าไม่รู้ว่าเค้าเปิดบัญชีกับบัตรกดเงินกันเท่าไหร่ นึกว่ามีแค่นี้)
V : อ้าว ....ก็อธิบายให้ป้าฟังแล้วนะคะ ว่าประโยชน์ของแต่ละบัตรคืออะไร
เรา : คุณคิดว่าในเวลาไม่กี่นาที คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่รู้หนังสือ เค้าจะเข้าใจอะไรที่คุณพูดมั้ย
V : แล้วป้าเค้าไม่เห็นตัวเลขเหรอคะ ก็มีบอกอยู่นะว่าปีนึงต้องจ่ายเท่าไหร่
เรา : ก็คุณมีตัวเลือกให้เค้าเท่านี้ เค้าจะเลือกอะไร ทำไมคุณไม่เสนอบัตรธรรมดาให้เค้า คนไม่รู้หนังสือคุณคิดว่าเค้ามีเงินเยอะเหรอ เค้าเป็นแค่แม่บ้านนะคะ แล้วค่าธรรมเนียมรายปีที่คุณเสนอ มันไม่ใช่ถูกๆสำหรับเค้า ปีละ 1 พันบาท คุณทำงานไม่โปร่งใสกับลูกค้า หาผลประโยชน์จากการไม่รู้หนังสือของเค้า
ดิฉันจะทำเรื่องร้องเรียนไปที่สำนักงานใหญ๋
V : ก็ได้ค่ะ เชิญค่ะ ก็บอกแล้วว่าอธิบายแล้ว ว่าแต่ละอันราคาเท่าไหร่
เรา : (ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอวะคะ) ก็บอกแล้วไง ว่าป้าเค้าไม่รู้หนังสือ คุณเสนอบัตรธรรมดาให้เค้าก่อนหรือเปล่าล่ะ ไอ้ที่ไม่มีประกันน่ะ ป้าเค้าไม่รู้หรอกว่ามันมีแบบธรรมดาที่ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายปีเยอะๆแบบนี้ ใช้กดเงินอย่างเดียว
V : โอ้โห ...ป้าจะไม่รู้หนังสือได้ไง ตัวเลขก็มีให้เห็นอยู่ ใบสมัครก็เขียนเอง
เรา : ก็เค้าไม่รู้หนังสือ แต่เซ็นต์ชื่อตัวเองได้ (ป้าบอกเซ็นต์ไปแค่ 3 ที่ เค้าเอาใบมาให้เซ็นต์ก็เซ็นต์ ไม่รู้หรอกว่าใบอะไร)
นาง V ก็ข้างๆคูๆสีข้างถลอกไปเรื่อย เราว่าไม่จบ เลยถามว่า สรุปแล้วสามารถคืนและไม่เอาประกันที่ทำมาแล้วนี่ได้มั้ย นางตอบว่า ได้ แหมถ้าไม่ถามคงไม่บอกอีก นางบอกว่าได้เงินคืนใน 3 วัน แต่เราไม่รู้หรอกนะว่ายอดที่จะคืนมันจะถูกหักอะไรไปหรือเปล่า เราบอกว่า โอเคงั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ให้ป้าแกเอาไปติดต่อคุณละกัน นางวางหูใส่เลย ไม่ทันได้ฟังเราพูดว่า ขอบคุณ
สรุปว่า พนักงานทำยอดให้สาขา โดยการขายพ่วงประกันชีวิตพร้อมบัตร ATM ซึ่งคนที่ไม่รู้ก็จะไม่รู้ว่าบัตรธรรมดาที่ไม่ต้องมีประกันก็ใช้ได้ เพราะเราเคยอ่านเจอว่าบางธนาคาร โกหกลูกค้าว่าไม่มีบัตรกดเงินธรรมดา มีแต่แบบพ่วงประกันชีวิต ซึ่งค่าธรรมเนียมจะสูงกว่าบัตรธรรมดา
เราเองใช้บัตรกดเงินที่เป็นบัตรทอง ค่าธรรมเนียมรายปี 250 บาท มีประกันที่แถมให้มาเป็นแบบ ตายด้วยอุบัติเหตุจะได้รับ 1 แสนบาท ซึ่งถือว่า 250 บาทมันไม่แพงเท่าไหร่ แต่ไม่คิดว่าเดี๋ยวนี้มันจะมี option มากมายจนขึ้นไปถึงราคาเป็นพัน ซึ่งมันเยอะสำหรับคนหาเช้ากินค่ำอย่างป้ามด
อยากจะฝากบอกคนคิดนโยบายบังคับให้พนักงานทำยอด ว่าอย่างน้อยการตลาดของคุณ ไม่มีใครเค้าว่าหรอกค่ะ แต่ควรจะทำควบคู่ไปกับจรรยาบรรณบ้าง ไม่ใช่สักแต่ว่าให้พนักงานทำยอดโดยเน้นขายอย่างเดียว โดยไม่สนใจว่าเป็นลูกค้าประเภทไหน เสนอขายแบบปกปิด ไม่โปร่งใส ไม่ให้ตัวเลือกลูกค้าแบบเปิดเผย
เราอยากจะร้องเรียนไปที่สำนักงานใหญ่นะ แต่มาคิดดูแล้ว ทุกธนาคารคงมีนโยบายคล้ายๆกัน ร้องเรียนไปก็เท่านั้น ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าจะทำยอดแบบไหน เห็นแก่ตัวแค่ไหน อันนี้คงสอนกันไม่ได้ เพราะเท่าที่คุยกับนาง นางก็แถไปเรื่อย โดยไม่มีการตอบคำถามเรื่องบัตรธรรมดาเลย เพราะนางไม่ได้เสนอป้าจริงๆว่ามีบัตรธรรมดาด้วย
เอามาเตือนค่ะ เผื่อมีใครที่ยังไม่รู้ หรือมีญาติพี่น้องคนเฒ่าคนแก่ไปเปิดบัญชี จะได้ไม่ถูกหลอก หรือถูกหาผลประโยชน์แบบไม่มีจรรยาบรรณ แบบที่ป้ามดแกเจอมา