โวยตำรวจทางหลวงมั่วส่งจดหมายความผิดจราจร พร้อมแบบฟอร์มการเสียค่าปรับ และสำเนาภาพถ่ายการตรวจจับความเร็วเกินกำหนด เป็นรถคนละคันกัน เจ้าตัวเผยไม่เคยขับไปปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพียงแต่ขับรถในเชียงใหม่ และจังหวัดลำพูน
เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ นายประเสริฐ สิงห์แก้วฟู อยู่บ้านเลขที่ ๕ หมู่ ๑ ต.ท่าวังพร้าว อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ได้รับจดหมายการกระทำผิดเกี่ยวกับการจราจรทางบก จากสถานีตำรวจทางหลวง๑ กองกำกับการ ๖ กองบังคับการตำรวจทางหลวง ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๘ ที่ ตช ๐๐๒๖.๓๖๑/จร.๑๕๙๔ แจ้งให้เจ้าของรถ ผว ๒๕๑๓ เชียงใหม่ พร้อมด้วยสำเนาภาพถ่ายรถยนต์ ยี่ฟอร์ด หมายเลขทะเบียน ผว ๒๕๑๓ นครราชสีมา แนบมาพร้อมหนังสือดังกล่าว แจ้งว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจังหวัดนครราชสีมา ได้ตรวจจับความเร็ว บนถนนหมายเลข ๒ ถ.มิตรภาพ ระหว่าง กม.ที่ ๗๑ ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๑.๓๑ น. เจ้าของรถยี่ห้อง โตโยต้า หมายเลขทะเบียน ผว ๒๕๑๓ เชียงใหม่ ได้แล่นมาด้วยความเร็ววัดจากเครื่องมือได้ ๑๒๕ กิโลเมตร ต่อชั่วโมง โดยแจ้งอัตราโทษ ความผิดจราจรทางบกมีโทษปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท และให้ไปรายงานตัวพนักงานสอบสวนภายใน ๓๐ วัน และแจ้งว่าหากรับทราบข้อกล่าวหาและรับสารภาพ ไม่สามารถที่จะมาพบพนักงานสอบสวนได้ให้ชำระค่าปรับเป็นเงิน ๔๐๐ บาท โดยส่งมาทางธนาณัติ ลงนาม โดย พันตำรวจตรี เสริมศักดิ์ น้อยหัวหาด สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง ๑ กองกำกับการ๖ กองบังคับการตำรวจทางหลวง และหมายเลขโทรศัพท์ สถานีตำรวจทางหลวง๑ โทร.๐๔๔๓๑๓๗๗๗,๐๔๔๓๑๖๐๐๓ ซึ่งเมื่อนายประเสริฐ ได้รับหนังสือดังกล่าว สร้างความงุนงน
ต่อมานายประเสริฐ ได้โทรศัพท์ไปสอบถาม โดยมีเจ้าหน้าที่ เป็นผู้หญิงรับสาย และได้แจ้งช่วงระยะเวลาดังกล่าวไม่ได้ขับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ผว ๒๕๑๓ ออกจากพื้นจังหวัดเชียงใหม่เลย และในจดหมาย ตรงจริงนายประเสริฐได้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว จริง แต่ในสำเนารถที่กระทำความผิด เป็นรถยี่ห้อฟอร์ด หมายเลขทะเบียน ผว ๒๕๑๓ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งไม่ตรงกัน และเจ้าหน้าคนดังกล่าวบอกจะลบออกจากทะเบียน และกล่าวขอโทษ ต่อมานายประเสริฐได้ขอหมายเลขโทรศัพท์พ.ต.ต.เสริมศักดิ์ น้อยหัวหด แต่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไม่ยอมให้บอกไม่สะดวก ซึ่งการส่งจดหมายมาแบบนี้ไม่น่าจะมีการผิดพลาด เนื่องจากรถเป็นคนยี่ห้อกัน จังหวัดก็คนละจังหวัด ซึ่งนายประเสริฐ จะได้ส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้พิจรณาในการทำผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ต่อไป
โวยตำรวจทางหลวงส่งจดหมายเสียค่าปรับมั่ว เจ้าของรถตัวจริงยันไม่เคยขับรถออกไปต่างจังหวัด เอกสารคนละคันยังส่งมาได้
เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ นายประเสริฐ สิงห์แก้วฟู อยู่บ้านเลขที่ ๕ หมู่ ๑ ต.ท่าวังพร้าว อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ได้รับจดหมายการกระทำผิดเกี่ยวกับการจราจรทางบก จากสถานีตำรวจทางหลวง๑ กองกำกับการ ๖ กองบังคับการตำรวจทางหลวง ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๘ ที่ ตช ๐๐๒๖.๓๖๑/จร.๑๕๙๔ แจ้งให้เจ้าของรถ ผว ๒๕๑๓ เชียงใหม่ พร้อมด้วยสำเนาภาพถ่ายรถยนต์ ยี่ฟอร์ด หมายเลขทะเบียน ผว ๒๕๑๓ นครราชสีมา แนบมาพร้อมหนังสือดังกล่าว แจ้งว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจังหวัดนครราชสีมา ได้ตรวจจับความเร็ว บนถนนหมายเลข ๒ ถ.มิตรภาพ ระหว่าง กม.ที่ ๗๑ ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๑.๓๑ น. เจ้าของรถยี่ห้อง โตโยต้า หมายเลขทะเบียน ผว ๒๕๑๓ เชียงใหม่ ได้แล่นมาด้วยความเร็ววัดจากเครื่องมือได้ ๑๒๕ กิโลเมตร ต่อชั่วโมง โดยแจ้งอัตราโทษ ความผิดจราจรทางบกมีโทษปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท และให้ไปรายงานตัวพนักงานสอบสวนภายใน ๓๐ วัน และแจ้งว่าหากรับทราบข้อกล่าวหาและรับสารภาพ ไม่สามารถที่จะมาพบพนักงานสอบสวนได้ให้ชำระค่าปรับเป็นเงิน ๔๐๐ บาท โดยส่งมาทางธนาณัติ ลงนาม โดย พันตำรวจตรี เสริมศักดิ์ น้อยหัวหาด สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง ๑ กองกำกับการ๖ กองบังคับการตำรวจทางหลวง และหมายเลขโทรศัพท์ สถานีตำรวจทางหลวง๑ โทร.๐๔๔๓๑๓๗๗๗,๐๔๔๓๑๖๐๐๓ ซึ่งเมื่อนายประเสริฐ ได้รับหนังสือดังกล่าว สร้างความงุนงน
ต่อมานายประเสริฐ ได้โทรศัพท์ไปสอบถาม โดยมีเจ้าหน้าที่ เป็นผู้หญิงรับสาย และได้แจ้งช่วงระยะเวลาดังกล่าวไม่ได้ขับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ผว ๒๕๑๓ ออกจากพื้นจังหวัดเชียงใหม่เลย และในจดหมาย ตรงจริงนายประเสริฐได้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว จริง แต่ในสำเนารถที่กระทำความผิด เป็นรถยี่ห้อฟอร์ด หมายเลขทะเบียน ผว ๒๕๑๓ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งไม่ตรงกัน และเจ้าหน้าคนดังกล่าวบอกจะลบออกจากทะเบียน และกล่าวขอโทษ ต่อมานายประเสริฐได้ขอหมายเลขโทรศัพท์พ.ต.ต.เสริมศักดิ์ น้อยหัวหด แต่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไม่ยอมให้บอกไม่สะดวก ซึ่งการส่งจดหมายมาแบบนี้ไม่น่าจะมีการผิดพลาด เนื่องจากรถเป็นคนยี่ห้อกัน จังหวัดก็คนละจังหวัด ซึ่งนายประเสริฐ จะได้ส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้พิจรณาในการทำผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ต่อไป