ภาวะหลังการตาย ตามที่ผมเข้าใจ

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับทุกท่าน อมยิ้ม17

คือประเด็นคำถามนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า "ความเชื่อ" ในแนวทางใดถูกต้อง เพราะคิดว่า น่าจะมีอยู่แค่แนวทางเดียวเท่านั้นที่ถูกต้องที่สุด

เท่าที่ผมรับทราบมา มีหลักๆ อยู่ 3 แนวทาง ในเรื่องภาวะหลังการตาย คือ

1.ตายแล้วเกิดทันที
-ซึ่งถ้าเป็นตามแนวทางนี้ จะขึ้นอยู่กับ "ดวงจิตสุดท้าย" ก่อนที่จะตายนั้น เป็นอย่างไร ประมาณว่า หลังจากสัญญาณชีพดับลง (อาจจะประกอบกับการหยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น สมองหยุดการทำงาน โดยอ้างอิงตามหลักการวินิจฉัย โดยแพทย์) หากคิดดี คิดถึงบุญกุศลขึ้นมา ก่อนที่สัญญาณชีพจะดับ ก็จะไปเกิดในภพภูมิที่ดี เช่นพรหม, เทวดา นางฟ้า, คน แต่ถ้าคิดไม่ดี จิตหม่นหมอง ก็จะไปเกิดเป็น เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน ในทันที

2.ตายแล้ว จะเหลือเป็นวิญญาณ และได้รับการพิจารณาโทษทัณฑ์ หรือบุญกุศล ตามที่ได้ทำมา
-ซึ่งถ้าเป็นตามแนวทางนี้ ดวงจิตสุดท้ายก่อนตาย ไม่มีผลมากนัก เพราะจิตจะคิดดีหรือไม่ เมื่อหลังวิญญาณออกจากร่างกายแล้ว จะไปสู่อีกโลกหนึ่ง ที่มักจะเรียกกันว่า "โลกหลังความตาย" มีการมารับดวงวิญญาณ โดยยมฑูต (หรืออาจจะไม่ได้มีการมารับ เช่นการตายกระทันหัน ,อุบัติเหตุ เป็นต้น) และเข้าไปสู่สถานที่พิจารณาบุญบาป ตามแต่ที่ได้กระทำมา หากทำดี ก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี (ตามแต่ระดับความดีในแต่ละขั้น) หากทำไม่ดี ก็จะต้องโดนลงโทษก่อน แล้วจึงจะได้ไปเกิดในภพภูมิอื่นๆ ต่อไป (ตามแต่ระดับความไม่ดีในแต่ละขั้น เช่นกัน) มีการพูดถึง วิญญาณเร่ร่อน เพราะวันนึงคนตายเยอะ มีการรอคิวพิจารณามาก ต้องรอก่อน แต่จะทุกอย่างจะต้องจบภายใน 100 วัน (ซึ่งน่าจะเป็นที่มาของการทำบุญ 100 วัน) ส่วนดวงวิญญาณที่ตกค้าง เนื่องจากยมทูตไม่ได้นำไปพิจารณา หรือมีการหนีการพิจารณากลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน ก็เห็นมีการพูดถึงอยู่บ้าง

3.ตายแล้วสูญ
-คือหลังจากที่สัญญาณชีพดับลง ก็ถือว่าดวงจิตนั้น ได้สลาย หายกลายไปเป็นอากาศธาตุ และถือว่าบุคคลคนนั้น ได้หายไปจากโลกนี้โดยสมบูรณ์แล้ว ไม่มีการอ้างอิง หรือขึ้นอยู่กับ การทำดี ทำไม่ดีของผู้ตายเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ เมื่อร่างกายตายถือว่าทุกอย่างจบ


ปัจจุบัน แม้แต่แนวทางของพุทธเอง ก็ยังมีแนวความเชื่อที่แตกต่างกัน

บางท่านบอกจิตดวงสุดท้ายคิดดี ก็ไปเกิดดี บางท่านก็เลยแย้งว่า อ้าว แล้วอย่างนี้ถ้าทำเลวมาทั้งชีวิต เอาแบบไม่ตั้งใจจะเลวก็ได้ เช่นเป็นนายทุน ตัดไม้ ทำเหมือง สัตว์เล็กน้อยใหญ่ล้มตาย ชาวบ้านดมฝุ่นเหมืองแร่ป่วยตาย แต่นายทุนไม่รู้ไม่เห็น (เพราะออกแต่เงินจ้างให้คนอื่นทำแทน) แต่ส่วนตัวชอบทำบุญเข้าวัด ก่อนตาย เรื่องที่ตัวเองทำไว้กับสัตว์ ทำกับชาวบ้านไว้ไม่เคยรับรู้ จนวาระสุดท้าย อาศัยเข้าวัดทำบุญบ่อย นึกถึงแต่พระ เลยได้ไปเกิดในที่ดีๆ แล้วเรื่องที่ทำกับสัตว์ ทำกับชาวบ้านล่ะ? ยังไง?

บางท่านบอกตายแล้ว ต้องไปโลกหลังความตาย ไปพิจารณาโทษก่อนสิ ถึงจะได้ไปเกิด หรือไปโดนลงโทษ บางท่านก็เลยแย้งว่า ไหนล่ะนรก ไหนล่ะสวรรค์ สวรรค์ในอกนรกในใจทั้งนั้น ไอ้แบบที่เป็นสถานที่เหมือนอย่างที่เราเห็นด้วยตาเนื้อนี่ไม่มีจริงหรอก ถ้ามีจริงต้องพิสูจน์ได้สิ พาไปดูหน่อยสิ ไหนล่ะ ต้นงิ้ว ไหนล่ะกระทะทองแดง ท่านที่ตัดสินคดีลงโทษทรมานคนทุกวัน ไม่บาปกว่าเราอีกเหรอ? แล้วโดนหอกแหลมแทง หรือโดนต้มในกระทะ อะไรล่ะรู้สึกเจ็บปวด จิตเหรอ วิญญาณเหรอ ร่างกาย กายเนื้อเท่านั้นที่จะรับรู้อารมณ์เหล่านี้ได้ แล้วยังไงล่ะ ก็ร่างกายตายไปแล้ว โดนเผาเป็นเถ้า โดนฝังเปื่อยยุ่ยไปหมดแล้ว จะเอาอะไรมารับอารมณ์เจ็บปวด มาโดนต้ม โดนแทงอีกหล่ะ แล้วถ้าฝรั่ง แขก คนต่างศาสนาตายล่ะ จะโดนพิจารณาคดีแบบเราหรือเปล่า คนพิจารณาคือใคร ขึ้นอยู่กับศาสนาที่ถือหรือเปล่า แล้วถ้าคนไม่มีศาสนา ไม่ได้ถืออะไรล่ะ ใครจะมาพิจารณา?

บางท่านบอกตายแล้วสูญ คือตายแล้วจบเลย บางท่านก็เลยแย้งว่า อ้าว อย่างนี้ ก็สบายสิ เกิดมาตั้งหน้าตั้งตาสนองตัณหาตัวเองเลย อยากได้อะไรขึ้นมาซักอย่าง ขอแล้วเจ้าของไม่ให้ ก็ขโมยมันซะเลย ปล้นมันซะเลย ลูกสาวบ้านนั้นสวย แต่จีบแล้วไม่เล่นด้วย ฉุดเลยปล้ำเลย ใครขวางยิงทิ้งให้หมด หมั่นใส้ไอ้คนข้างบ้าน รวยกว่าเรา ยิงทิ้งมันซะเลย เกะกะลูกตาดีนัก จะแคร์ทำไม ในเมื่อถ้าโดนตำรวจวิสามัญ ก็ตาย ตายแล้วไงก็จบ แต่ก่อนตาย ก็ได้ทำอะไรสนองความอยากตัวเองแล้ว ตายไปก็ไม่เสียดายอะไร ใช้ชีวิตคุ้มแล้ว ได้ในสิ่งที่อยากได้หมดแล้ว ทำดีทำเลวค่าเท่ากัน จะแคร์ทำไม ก็ในเมื่อตายแล้วจบ?


คือผมเชื่อว่า ในโลกเราทุกวันนี้ มีคนที่คิดอยู่ทั้ง 3 แนวทาง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแนวทางไหนผมก็ไม่อาจทราบได้ แต่เจตนาที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพียงแต่อยากจะแชร์ความรู้ ความเห็นกันหน่ะครับ ว่าตกลงแล้ว เรื่องนี้มันควรที่จะเป็นไปในทิศทางไหน ถึงจะถูกต้องที่สุด เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่า แต่ละแนวทาง ก็ย่อมที่จะคิดว่าแนวทางของตนนั้นถูกต้องที่สุดอยู่แล้ว

แต่ด้วยปัญญาอันน้อยนิดของผม ซึ่งผมก็มีความศรัทธาในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่อยากจะเอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง แต่อยากจะฟังเหตุผลของแต่ละท่าน ในแนวทางที่ต่างกัน ถือว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะครับ อย่าทะเลาะกันเพียงเพราะเห็นต่างกันเลย

ถกกันด้วยธรรม เถียงกันด้วยเหตุผลน่าจะดีกว่านะครับ


เจริญในธรรมทุกท่านครับ อมยิ้ม17

ปล. แต่ก็ยังคงเชื่อนะครับว่า ต่อให้เถียงกันเรื่องนี้อีกเป็นชาติ ก็ไม่จบ อมยิ้ม01
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่