การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เริ่มจากวันที่แบกเป้ขึ้นบ่าแล้วก้าวเท้าออกจากบ้าน มันเริ่มจากการได้รู้จักเพื่อนกลุ่มหนึ่งจากการเรียนมัคคุเทศก์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ฉัน อ้อน วิน นุช นัน หมอนก นัท เป็นเพื่อนที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี เป็นเพื่อนที่สนิทกันมากขึ้นในทุกวันของการเรียน วันหนึ่ง ฉันได้ยิน หมอคุยกับนัทซึ่งเป็นน้องแท้ๆของหมอว่า พวกเขาจะวางแผนเดินทางไป บราซิล เปรู เอกวาดอร์ ทันใดนั้น ฉันก็หันไปหาหมอ
“หมอ จะไปเที่ยวเหรอ ไปด้วยดิ”
“ไปกันกันพี่ หนูไป 2 เดือนนะ พี่ไปได้มั้ย”
2 เดือน คิดหนัก นานไปมั้ย กลับมาจะเหลือเงินติดกระเป๋าเปล่าว่ะ คิดในใจ
“หมอ พี่ตามหมอไปบางประเทศนะ”
และแล้วประเทศที่ฉันเลือกก็คือ "เอกวาดอร์" อเมริกาใต้ ฉันเลือกที่จะตามหมอกับนัทไปหลังจากที่ทั้งสองคนเดินทางไปเที่ยวบราซิล และเปรูแล้ว
ทำไมถึงเลือกเอกวาดอร์ เพราะหมอว่าที่หมู่เกาะกาลาปาโกส เป็นเกาะที่มันจะสูญหายไปจากแผนที่โลก และที่นี่ยังมีสัตว์หลากหลายสายพันธ์ ซึ่งเป็นสัตว์เฉพาะถิ่น มันช่างน่าสนใจ
ฉันเริ่มหาคำตอบ : หมู่เกาะนี้อยู่ในคาบสมุทรแปซิกฟิก มันเกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟกลางทะเล เมื่อ 8 ล้านปีก่อน ซึ่งอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่นับพันกิโลเมตร ซึ่งมีเกาะใหญ่อยู่ถึง 18 เกาะ ไม่รวมเกาะเล็กเกาะน้อย และหินที่โผล่ขึ้นมากลางน้ำ
จากการศึกษาของนักธรณีวิทยา เกาะแห่งนี้จะเคลื่อนตัวไปทางตะวันออกหรือตะวันออกเฉียงใต้ปีละ 6.4 เซนติเมตร ซึ่งมันจะมีผลให้เกาะที่เกิดขึ้นก่อนค่อยๆจมและสูญหายไป ในขณะที่เกาะเกิดใหม่กำลังสร้างตัวขึ้น
ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบเกาะคนหนึ่งและเป็นที่นับถือของคนบนเกาะ จนมีรูปปั้นสร้างขึ้นที่นี่ คือ Charles Darwin ผู้ซึ่งเข้ามาศึกษาสายพันธ์สัตว์ต่างๆ ซึ่งมีหลากหลายสายพันธ์และมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง จากการศึกษาของ Charles Darwin สัตว์ต่างๆที่ไปอาศัยอยู่ในเกาะ จะพัฒนาตัวเองตามสิ่งแวดล้อมของที่นี่ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวพันธ์กับแผ่นดินใหญ่แม้แต่น้อย มันจึงมีความโดดเด่นในแบบของมัน
นั่นไง แปลว่าสัตว์ที่นี่มีจำนวนมาก และหลากหลาย หน้าตามันคงจะต้องแปลกแน่ๆเลย น่าสนใจ น่าสนใจ แถมมันยังเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธ์สัตว์ทางทะเลอีก
ไม่ไปไม่ได้แล้ว
18 ธันวาคม 2557 เก็บกระเป๋าออกเดินทาง
ฉันหิ้วกระเป๋า 2 ใบใหญ่ มาเช็คอิน เจ้าหน้าที่หน้าภาคพื้นดินน่ารักมาก ช่วยหาที่นั่งริมทางเดินให้ตามที่ขอ แต่ทำได้เฉพาะสายการบินของตัวเองและสายการบินในกลุ่ม แต่ Boarding Passใบสุดท้ายเป็นใบเดียวที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบได้เนื่องจากระบบไม่เชื่อมต่อกัน ฉันต้องไปหา Boarding Pass เอาเองเมื่อถึงปานามา
“อ้าว!! แล้วจะทำไงละเนี่ย เพิ่งเคยเจอ” ง่ะ งง และบ่นหงำงำไปตามเรื่องตามราว ก็ทำได้แค่นั้นที่เหลือค่อยว่ากัน เอาเป็นว่าถึงแล้วรู้เอง
ตี 2 ก็ได้เวลาเดินทาง พอขึ้นเครื่องได้สักพักก็มีการเสริฟอาหาร
แอบคิดในใจ “ม่ายยยย ม่ายยยย กินไม่หวาย นอนดีก่า” ฉันยอมเสียสละอาหารที่ไม่อร่อยอย่างไม่อาลัยเลยสักนิด ก็อาหารบนเครื่องเคยมีอร่อยด้วยรึ ไม่อ่ะ ไม่มี หยิ่ง ไม่กิน
พอรอบสอง คราวนี้หิว เลิกหยิ่ง มีกินก็ดีแล้วอย่าบ่น คุณแอร์เข็นรถมาจากด้านหลังถาม เป็นภาษาอังกฤษมาตลอดว่า จะรับไก่หรือก๋วยเตี๋ยว พอถึงที่ฉันนั่ง พี่แกเห็นหน้าพ่นภาษาจีนใส่พรวดๆ แบบที่มีสำเนียงไทยปนอยู่
ฉันตอบกลับไปทันที “ก๋วยเตี๋ยวค่ะ” ไม่ได้ฟังออกนะ ไอ้ภาษาจีนอ่ะ แต่ได้ยินพี่แกถามมาก่อน พอแกรู้ว่าคนไทยเหมือนกัน ตอนหลังแกเลยใจดีเดินมาทางที่ฉันนั่ง สบายไปพูดภาษาไทยไปอีกพัก
พอเครื่องถึง Amsterdam เวลาตอนนั้น 10.05 am ฉันก็หยิบ Boarding Pass อันใหม่ขึ้นมา เวลา Boarding Time คือ 10.00am นั่นไง Gate ไหนยังไม่รู้เลย เครื่องที่ลงดัน Delay อีก
โอ๊ะ โอ๋!! “ทำไงหลาว” บ่นกับตัวเอง
มองหาเจ้าหน้าที่ด่วน เจอปุ๊ป พุ่งเข้าหาทันที ถามดิ ถามมม พอรู้ Gate ก็เดินแท๊กๆๆ ไปอย่างด่วน พอถึงหน้า Gate
“โธ่ ไม่น่า รีบเลย คนเยอะอ่ะ ไปฉี่ดีก่า” พูดเอง เออเองไปตามเรื่องตามราว
กลับมาต่อแถวอยู่พัก ก็ได้เช็ค Boarding Passกับเค้าละ ที่นี่ใช้เจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพมาก สมกับเป็นประเทศยุโรป 1 คน เช็ค Boarding Pass ทั้ง Economy and Business Class
สักพักเครื่องบินก็พร้อมและฉันเดินทางต่อ สรุปได้ว่านั่ง 2 Flight รวมกัน 24 ชม แถมพักอยู่ที่สนามบินแค่ 1 ชั่วโมงชั่วรอต่อ Flight ขอบอกว่านั่งจนเจ็บตูด เมื่อยสุดๆ
ถึงปานามา ยังไม่มี Boarding Pass ไม่มีคนให้ถาม มีแต่ป้ายว่าไป Gate ไหน เอาว่ะ ไปเกาะหน้า Gate ก่อนละกัน โชคดี มีเจ้าหน้าที่ว่างงานนั่งเฝ้าประตู Gate อยู่เลยรอดไป ได้ออก Boarding Pass หน้า Gate เลย พอได้ Boarding Pass ก็สบายใจไปลั่นล้าอยู่ตาม Duty Free แต่ไม่ซื้อหรอกนะ มันหนัก มันไม่เหมาะกับการแบกเป้แน่ ได้เวลาขึ้นเครื่องก็ไปต่อแถว ปรากฎว่าเจอคนเล่นอเมริกันฟุตบอลนอกสนาม พี่แก Attack ฉันเต็มๆเพื่อจะได้แซงคิว
“เออตามใจ นี่บ้าน อยู่บ้านกูมีด่า” คิดในใจเงียบๆ
ที่นี่ใช้เจ้าหน้าที่ 3 คน โดย 1 คนทำงาน อีกคนคุยกับยืนดูเพื่อน อีกคนเดินดูความเรียบร้อย เพื่ออะไรเนี่ย Productivity ต่ำไปป่าว แต่สุดท้ายฉันก็ได้ขึ้นเครื่องและบินต่อมายังเอกวาดอร์
พอได้ขึ้นเครื่องไปเอกวาดอร์ ฉันได้นั่งแถวสุดท้ายคือ 30C มีผู้หญิงผิวดำอีกคนนั่ง 30A ตรงกลางว่างอยู่ นั่งรอเครื่องขึ้นอยู่สัก 10 นาที สจ๊วตก็แจกใบตรวจคนเข้าเมืองและใบตรวจศุลกากร ฉันก็กรอกของฉันไป ในขณะเดียวกันฉันก็แอบเห็นผู้หญิงข้างๆมองฉันเป็นระยะๆ คิดในใจ
“กูจน อย่ามองดิมีเงินติดตัวไม่เยอะ” มองเหมือนสำรวจข้าวของเลย คือแบบว่าคิดมากอ่ะ
พอกรอกเอกสารเสร็จเท่านั้นแหละ พี่แกย้ายที่นั่งมาแถว B ประชิดตัวฉันอย่างรวดเร็ว
เฮ้ย!!! โดด โดดหลบ หลบไม่ได้ มัน มันติด Seat Belt
บันทึกการเดินทาง : แบกเป้ ลากกระเป๋า เที่ยว เอกวาดอร์ อีกชีวิตที่ใฝ่ฝัน
การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เริ่มจากวันที่แบกเป้ขึ้นบ่าแล้วก้าวเท้าออกจากบ้าน มันเริ่มจากการได้รู้จักเพื่อนกลุ่มหนึ่งจากการเรียนมัคคุเทศก์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ฉัน อ้อน วิน นุช นัน หมอนก นัท เป็นเพื่อนที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี เป็นเพื่อนที่สนิทกันมากขึ้นในทุกวันของการเรียน วันหนึ่ง ฉันได้ยิน หมอคุยกับนัทซึ่งเป็นน้องแท้ๆของหมอว่า พวกเขาจะวางแผนเดินทางไป บราซิล เปรู เอกวาดอร์ ทันใดนั้น ฉันก็หันไปหาหมอ
“หมอ จะไปเที่ยวเหรอ ไปด้วยดิ”
“ไปกันกันพี่ หนูไป 2 เดือนนะ พี่ไปได้มั้ย”
2 เดือน คิดหนัก นานไปมั้ย กลับมาจะเหลือเงินติดกระเป๋าเปล่าว่ะ คิดในใจ
“หมอ พี่ตามหมอไปบางประเทศนะ”
และแล้วประเทศที่ฉันเลือกก็คือ "เอกวาดอร์" อเมริกาใต้ ฉันเลือกที่จะตามหมอกับนัทไปหลังจากที่ทั้งสองคนเดินทางไปเที่ยวบราซิล และเปรูแล้ว
ทำไมถึงเลือกเอกวาดอร์ เพราะหมอว่าที่หมู่เกาะกาลาปาโกส เป็นเกาะที่มันจะสูญหายไปจากแผนที่โลก และที่นี่ยังมีสัตว์หลากหลายสายพันธ์ ซึ่งเป็นสัตว์เฉพาะถิ่น มันช่างน่าสนใจ
ฉันเริ่มหาคำตอบ : หมู่เกาะนี้อยู่ในคาบสมุทรแปซิกฟิก มันเกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟกลางทะเล เมื่อ 8 ล้านปีก่อน ซึ่งอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่นับพันกิโลเมตร ซึ่งมีเกาะใหญ่อยู่ถึง 18 เกาะ ไม่รวมเกาะเล็กเกาะน้อย และหินที่โผล่ขึ้นมากลางน้ำ
จากการศึกษาของนักธรณีวิทยา เกาะแห่งนี้จะเคลื่อนตัวไปทางตะวันออกหรือตะวันออกเฉียงใต้ปีละ 6.4 เซนติเมตร ซึ่งมันจะมีผลให้เกาะที่เกิดขึ้นก่อนค่อยๆจมและสูญหายไป ในขณะที่เกาะเกิดใหม่กำลังสร้างตัวขึ้น
ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบเกาะคนหนึ่งและเป็นที่นับถือของคนบนเกาะ จนมีรูปปั้นสร้างขึ้นที่นี่ คือ Charles Darwin ผู้ซึ่งเข้ามาศึกษาสายพันธ์สัตว์ต่างๆ ซึ่งมีหลากหลายสายพันธ์และมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง จากการศึกษาของ Charles Darwin สัตว์ต่างๆที่ไปอาศัยอยู่ในเกาะ จะพัฒนาตัวเองตามสิ่งแวดล้อมของที่นี่ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวพันธ์กับแผ่นดินใหญ่แม้แต่น้อย มันจึงมีความโดดเด่นในแบบของมัน
นั่นไง แปลว่าสัตว์ที่นี่มีจำนวนมาก และหลากหลาย หน้าตามันคงจะต้องแปลกแน่ๆเลย น่าสนใจ น่าสนใจ แถมมันยังเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธ์สัตว์ทางทะเลอีก
ไม่ไปไม่ได้แล้ว
18 ธันวาคม 2557 เก็บกระเป๋าออกเดินทาง
ฉันหิ้วกระเป๋า 2 ใบใหญ่ มาเช็คอิน เจ้าหน้าที่หน้าภาคพื้นดินน่ารักมาก ช่วยหาที่นั่งริมทางเดินให้ตามที่ขอ แต่ทำได้เฉพาะสายการบินของตัวเองและสายการบินในกลุ่ม แต่ Boarding Passใบสุดท้ายเป็นใบเดียวที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบได้เนื่องจากระบบไม่เชื่อมต่อกัน ฉันต้องไปหา Boarding Pass เอาเองเมื่อถึงปานามา
“อ้าว!! แล้วจะทำไงละเนี่ย เพิ่งเคยเจอ” ง่ะ งง และบ่นหงำงำไปตามเรื่องตามราว ก็ทำได้แค่นั้นที่เหลือค่อยว่ากัน เอาเป็นว่าถึงแล้วรู้เอง
ตี 2 ก็ได้เวลาเดินทาง พอขึ้นเครื่องได้สักพักก็มีการเสริฟอาหาร
แอบคิดในใจ “ม่ายยยย ม่ายยยย กินไม่หวาย นอนดีก่า” ฉันยอมเสียสละอาหารที่ไม่อร่อยอย่างไม่อาลัยเลยสักนิด ก็อาหารบนเครื่องเคยมีอร่อยด้วยรึ ไม่อ่ะ ไม่มี หยิ่ง ไม่กิน
พอรอบสอง คราวนี้หิว เลิกหยิ่ง มีกินก็ดีแล้วอย่าบ่น คุณแอร์เข็นรถมาจากด้านหลังถาม เป็นภาษาอังกฤษมาตลอดว่า จะรับไก่หรือก๋วยเตี๋ยว พอถึงที่ฉันนั่ง พี่แกเห็นหน้าพ่นภาษาจีนใส่พรวดๆ แบบที่มีสำเนียงไทยปนอยู่
ฉันตอบกลับไปทันที “ก๋วยเตี๋ยวค่ะ” ไม่ได้ฟังออกนะ ไอ้ภาษาจีนอ่ะ แต่ได้ยินพี่แกถามมาก่อน พอแกรู้ว่าคนไทยเหมือนกัน ตอนหลังแกเลยใจดีเดินมาทางที่ฉันนั่ง สบายไปพูดภาษาไทยไปอีกพัก
พอเครื่องถึง Amsterdam เวลาตอนนั้น 10.05 am ฉันก็หยิบ Boarding Pass อันใหม่ขึ้นมา เวลา Boarding Time คือ 10.00am นั่นไง Gate ไหนยังไม่รู้เลย เครื่องที่ลงดัน Delay อีก
โอ๊ะ โอ๋!! “ทำไงหลาว” บ่นกับตัวเอง
มองหาเจ้าหน้าที่ด่วน เจอปุ๊ป พุ่งเข้าหาทันที ถามดิ ถามมม พอรู้ Gate ก็เดินแท๊กๆๆ ไปอย่างด่วน พอถึงหน้า Gate
“โธ่ ไม่น่า รีบเลย คนเยอะอ่ะ ไปฉี่ดีก่า” พูดเอง เออเองไปตามเรื่องตามราว
กลับมาต่อแถวอยู่พัก ก็ได้เช็ค Boarding Passกับเค้าละ ที่นี่ใช้เจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพมาก สมกับเป็นประเทศยุโรป 1 คน เช็ค Boarding Pass ทั้ง Economy and Business Class
สักพักเครื่องบินก็พร้อมและฉันเดินทางต่อ สรุปได้ว่านั่ง 2 Flight รวมกัน 24 ชม แถมพักอยู่ที่สนามบินแค่ 1 ชั่วโมงชั่วรอต่อ Flight ขอบอกว่านั่งจนเจ็บตูด เมื่อยสุดๆ
ถึงปานามา ยังไม่มี Boarding Pass ไม่มีคนให้ถาม มีแต่ป้ายว่าไป Gate ไหน เอาว่ะ ไปเกาะหน้า Gate ก่อนละกัน โชคดี มีเจ้าหน้าที่ว่างงานนั่งเฝ้าประตู Gate อยู่เลยรอดไป ได้ออก Boarding Pass หน้า Gate เลย พอได้ Boarding Pass ก็สบายใจไปลั่นล้าอยู่ตาม Duty Free แต่ไม่ซื้อหรอกนะ มันหนัก มันไม่เหมาะกับการแบกเป้แน่ ได้เวลาขึ้นเครื่องก็ไปต่อแถว ปรากฎว่าเจอคนเล่นอเมริกันฟุตบอลนอกสนาม พี่แก Attack ฉันเต็มๆเพื่อจะได้แซงคิว
“เออตามใจ นี่บ้าน อยู่บ้านกูมีด่า” คิดในใจเงียบๆ
ที่นี่ใช้เจ้าหน้าที่ 3 คน โดย 1 คนทำงาน อีกคนคุยกับยืนดูเพื่อน อีกคนเดินดูความเรียบร้อย เพื่ออะไรเนี่ย Productivity ต่ำไปป่าว แต่สุดท้ายฉันก็ได้ขึ้นเครื่องและบินต่อมายังเอกวาดอร์
พอได้ขึ้นเครื่องไปเอกวาดอร์ ฉันได้นั่งแถวสุดท้ายคือ 30C มีผู้หญิงผิวดำอีกคนนั่ง 30A ตรงกลางว่างอยู่ นั่งรอเครื่องขึ้นอยู่สัก 10 นาที สจ๊วตก็แจกใบตรวจคนเข้าเมืองและใบตรวจศุลกากร ฉันก็กรอกของฉันไป ในขณะเดียวกันฉันก็แอบเห็นผู้หญิงข้างๆมองฉันเป็นระยะๆ คิดในใจ
“กูจน อย่ามองดิมีเงินติดตัวไม่เยอะ” มองเหมือนสำรวจข้าวของเลย คือแบบว่าคิดมากอ่ะ
พอกรอกเอกสารเสร็จเท่านั้นแหละ พี่แกย้ายที่นั่งมาแถว B ประชิดตัวฉันอย่างรวดเร็ว
เฮ้ย!!! โดด โดดหลบ หลบไม่ได้ มัน มันติด Seat Belt