นี่เป็นกระทู้แรกของผม สิ่งที่ผมจะเล่าคือประสบการณ์ความอัดอั้นตันใจ และความรู้สึกส่วนตัวของผม ที่รอรถเมล์ตรงป้ายเป็นประจำ เพราะขี้เกียจยืน และหลบแดดด้วย ไม่ได้โทษฟ้าดินหรือใคร แค่เแบ่งปันประสบการณ์ให้อ่านเฉยๆ หากผิดพลาดประการใด หรือทำให้ใครอึดอัด ปวดหัว กินข้าวไม่ได้ ถ่ายไม่สะดวก ต้องขอภัยไว้ด้วยครับ
ความเบื่อหน่ายของผม คือตอนที่ผมอยู่ป้ายรถเมล์ ผมไม่ได้เบื่อป้ายโฆษณาชุดชั้นในสำหรับคุณแม่ที่สามารถเปิดด้านหน้าเพื่อให้นมบุตรได้ที่ติดอยู่ข้างรถเมล์ ผมไม่ได้เบื่อชายปริศนาที่อาศัยป้ายรถเมล์เป็นเกสเฮ้าส์ไว้พักผ่อน และไม่ได้เบื่อรถเมล์ที่มาช้า อย่างกับรถในตำนานที่นานๆจะมาให้เห็นซักที แต่ที่ผมรู้สึกเซ็งก็คือ บรรดากลุ่มคนที่ยืนรอรถในจุดที่ก่อนจะถึงป้ายแบบไกลจากป้ายมาก และพากันแห่ขบวนเดินวิ่งมาราธอนไปขึ้นรถเมล์ในขณะที่รถเมล์ยังไม่ถึงป้าย...
พวกเขาเหล่านั้นไม่ว่าจะสายตาสั้นยาวมาแต่ปางใด ดวงตาของพวกเขาก็สามารถรับสัญญาณภาพดิจิตอล ระดับHD มองเห็นรถเมล์สายที่ตนหมายปองได้อย่างคมชัด เสมือนพวกเขาพกกล้องส่องทางไกล+9 มาด้วย เมื่อเห็นแล้ว พวกเขาตั้งท่า เข้าที่ ... โดยคุกเข่าขวาลง ปลายเท้าจิกกับพื้นเตรียมที่จะพุ่งไปด้านหน้า ขาซ้ายชันขึ้นมา90องศา มือทั้งสองข้างจรดกับพื้นโดยที่มีนิ้วโป้งกางออกมาจากนิ้วชี้และนิ้วกลาง สายตาจ้องเขม็งไปที่เป้าหมายราวกับแมวจ้องตะครุบเหยื่อ ระวัง.. ช่วงบั้นท้ายยกขึ้นเล็กน้อย ไป..พวกเขาเหล่านั้นdashถึงรถเมล์ในระยะ 1500 หลาก่อนที่รถจะถึงป้าย... ไม่ว่ารถจะคนเต็มหรือคนว่างพวกเขาก็ปฏิบัติกันเช่นนี้เสมอ ผมก็คิดนะ ถ้ารีบขึ้นกันขนาดนั้น ทำไมไม่นั่งแท็กซี่ไปที่อู่ต้นทางของรถเมล์สายนั้นแล้วขึ้นนั่งมาก่อนเลย จะได้ไม่ต้องแย่งกัน
จากการวิจัยแล้ว พบว่า สาเหตุคือเมื่อรถมาถึงป้าย แต่มีรถคันอื่นจอดติดสตั้นที่ป้ายอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ไม่สามารถเข้าป้ายได้ และจำเป็นต้องเปิดประตูให้ผู้โดยสารบนรถลงก่อน เสียงเปิดประตูรถ เปรียบดั่งเสียงปืนสัญญาณเริ่มให้ออกจากจุดสตาร์ท บรรดานักวิ่งลุงๆป้าๆมักจะเข้าเส้นชัยก่อนอยู่เสมอ บางครั้งถึงเส้นชัยก่อนคนบนรถจะลงมาหมดด้วย เพราะพวกเขามองเห็นรถและเข้าที่รอ ตั้งแต่รถออกจากอู่แล้ว
ผมเข้าใจทุกคนที่รีบกันขนาดนั้นเพราะกลัวจะไม่ได้ขึ้นรถ กลัวจะไม่ได้นั่งเล่นโทรศัพท์ ผมเองก็กลัว แต่อยากให้เห็นใจคนที่รอที่ป้ายบ้าง บางคนก็ป่วย บางคนเมนส์มา บางคนอกหักมาแล้วหมดแรงจะยืนจะลุกจะเดินไป บางคนปวดอึเดินไวๆไปแตะขอบฟ้าไม่ได้ ผลที่ตามมาก็คือตกรถ เพราะหลังจากขึ้นกันตรงนั้นหมด ส่วนใหญ่รถก็ตบไฟเลี้ยวขวา เหยียบคันเร่งและออกตัวไปอย่างไร้เยื่อใย ปล่อยให้ผมและคนตกรถคนอื่นยืนอ้าปาก ชูคอเหมือนนกโดฟลามิงโก้ และสบถในใจว่า เฮ้ย กูยังไม่ได้ขึ้นเลย ถ้าถามว่าผมโอเคมั้ย ผมบอกเลยว่า ผมห่างไกลคำว่าโอเคไปมาก
เมื่อเป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุกลัวตกรถ ผมได้กลายเป็นแบบพวกเขา ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็น พวกเขากดดันผม ครอบงำผม ทำให้ผมต้องวิ่งไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ผมต้องเปลี่ยนมาอัพสายAGI คงเป็นเวรกรรมทำแท้งที่ผมไปนึกตำหนิพวกเขา ผมเลยต้องมาเข้าที่ ระวัง ไป และพกกล้องส่องทางไกลแบบพวกเขา ผมทำด้วยความจำเป็น ผมต้องเดินตามพวกเขาไปขึ้นรถก่อนถึงป้าย 1500 หลา หากไม่ทำผมก็อาจจะต้องตกรถและเสียใจภายหลังก็ได้...
จนกระทั่งวันนึง วันที่ความแค้นของผมได้ถูกชำระ หึหึ.
ผมได้กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทนึง ย้ายมาทำงานแถวสุขุมวิท ตรงข้าม เยื้องๆสวนเบญจศิริ การเดินทางของผมคือการนั่งรถเมล์จากป้ายBigCแจ้งวัฒนะ มาลงที่BTSจตุจักรหมอชิต และต่อรถไฟฟ้าไปพร้อมพงษ์ ซึ่งเส้นทางลูกผู้ชายสายนี้ รถค่อนข้างติดมาก คนก็แน่นมาก เป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก ถ้ามีเครื่องบินสาธารณะให้ขึ้นผ่านที่ทำงาน แล้วถ้าเครื่องไม่จอด ผมก็จะกระโดดร่มลงเอง เพื่อหนีรถติด แต่นี่ไม่มี ผมต้องอดทนนั่งรถเมล์ไปก่อน
จนกระทั่ง เย็นวันนึงที่ป้ายรถเมล์สวนจตุจักร ผู้คนหนาแน่นเหมือนเดิม เพราะเพิ่งกลับจากที่ทำงาน และรอรถเมล์ที่จะกลับบ้าน ผมเดินลงมาจากสถานีBTSด้วยความชำนาญ และยืนรอรถในจุดสตาร์ท ผมตรวจเช็คอุปกรณ์เครื่องมือเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ลู่วิ่ง พร้อมกับมองคู่แข่งของผม และมองช่องทางที่ผมจะฝ่าไปเมื่อรถเมล์มาถึงเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มีอะไรเปลี่ยนไป..
เหล่าผู้คนกลุ่มใหม่ที่ผมเคยเห็นเป็นครั้งคราวในที่อื่น แต่วันนี้พวกเขามาที่นี่กันเป็นทีม มาในชุดเครื่องแบบเสื้อแขนสั้นสีขาว กางเกงสีกรมท่า บางคนใส่แว่นใส่หมวกใส่ผ้าปิดปาก แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ ที่สำคัญคือ ในมือของพวกเขา ชูป้ายที่ทำจากกระดาษและฟิวเจอร์บอร์ด ที่มีข้อความประมาณว่า "รณรงค์การจอดรับส่งตรงป้าย" หัวใจผมสั่นระรัว รองเท้าของผมกระซิบบอกผมว่า วันนี้มาถึงแล้วสินะ
ใช่แล้ว พวกเขาคือกลุ่มคนที่ ขสมก. ส่งมาช่วยผม พวกเขายังไม่ทอดทิ้งผม
"เราได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากคุณ เรามาช่วยคุณแล้ว" เขาไม่ได้พูด
ผมหวังว่าวันนี้จะต้องมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาลแน่ๆ
แล้วพวกเขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง รถทุกคันที่ต่อแถวเข้าป้าย พร้อมใจกันไม่เปิดประตูก่อนถึงป้าย เพราะมี จนท.คอยเตือนคอยโบกรถให้เข้าไปตรงป้าย นี่คือภาพที่ผมฝันที่จะเห็นมาตลอด ภาพที่ผมปราถนาให้มันเกิดขึ้นจริงๆซักวัน ภาพที่บรรดากลุ่มคนที่วิ่งไปไกล จนถึงหน้าประตูรถ แล้วรถไม่เปิดประตูให้ พวกเขาได้แต่แหงนมองไปบนรถ แล้ววิงวอนให้ประตูเปิด แต่ไม่ได้ผล คนขับรถไม่ได้สนใจใยดีพวกเขาเลย
รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พวกเขาเหล่านั้นต้องเดินตามรถต้อยๆ ย้อนกลับมาผ่านจุดที่พวกเขาเคยยืน แล้วย้อยกลับมาที่ตรงป้ายรถเมล์ที่พวกเขาไม่ได้เคยได้เหยียบย่ำเข้ามาก่อน มองดูแล้ว ราวกับ พระเอกวิ่งตามนางเอกที่อยู่รถบนรถไฟ มือพระนางยื่นจับกัน แล้วต้องปล่อยมือจากกันเมื่อรถแล่นเร็วขึ้น และมองดูรถเริ่มห่างไกลไปทีละน้อย จนรถมาหยุดอยู่ที่ป้าย ซึ่งใกล้เคียงกับจุดที่ผมยืนอยู่พอดี เนื่องจากผมกลับใจย้อนกลับมารอที่ตรงป้ายได้ทันอย่างเฉียดฉิว
ประตูรถเปิดออก ผมได้เข้าเส้นชัยเป็นคนแรก ชัยชนะตกเป็นของผม EXPผมขึ้นจนเต็มหลอด เลเวลผมอัพ ผมได้อยู่บนจุดสูงสุดของประวัติศาสตร์การขึ้นรถเมล์ แม้วันนั้นผมจะไม่ได้นั่ง แต่ผมก็แสยะยิ้มในใจไปตลอดทาง กับความสะใจเล็กน้อยถึงปานกลางของผม อาจมองดูผมเป็นคนไม่ดี ที่ไปดูถูกเหยียบย่ำหัวใจพวกเขา แต่จังหวะนั้นผมขอเป็นคนไม่ดีซักครึ่งชั่วโมงแล้วกัน
แม้ทุกวันนี้ จะมีการรณรงค์ให้จอดตรงป้าย แต่ที่ผมเห็นจะมีแต่ที่ป้ายจตุจักร ฉะนั้นการจอดรับส่งไม่ตรงป้ายในที่อื่นก็จะยังมีอยู่ ตราบใดที่ยังมีแท็กซี่เข้ามาจอดที่ป้ายรถเมล์ ตราบใดที่คนขับรถเมล์ยังเปิดประตูก่อนถึงป้าย ตราบใดที่ยังมีลุงๆป้าๆยืนรอรถก่อนป้าย สถานณการณ์นี้ก็จะไม่มีวันหมดไป ชีวิตผมยังต้องเผชิญหน้าต่อไป และได้แต่หวังว่าซักวัน ขสมก. จะส่งขบวนการเรนเจอร์มาช่วยผมและผู้โดยสารอื่นๆอีกครั้ง
ปล.เนื้อความข้างต้น มีจุดที่เล่าเวอร์ไป 1-2จุด นับว่าน้อยมาก เพื่ออรรถรส ต้องขออภัยด้วย
ความเบื่อหน่าย ที่ป้ายรถเมล์
ความเบื่อหน่ายของผม คือตอนที่ผมอยู่ป้ายรถเมล์ ผมไม่ได้เบื่อป้ายโฆษณาชุดชั้นในสำหรับคุณแม่ที่สามารถเปิดด้านหน้าเพื่อให้นมบุตรได้ที่ติดอยู่ข้างรถเมล์ ผมไม่ได้เบื่อชายปริศนาที่อาศัยป้ายรถเมล์เป็นเกสเฮ้าส์ไว้พักผ่อน และไม่ได้เบื่อรถเมล์ที่มาช้า อย่างกับรถในตำนานที่นานๆจะมาให้เห็นซักที แต่ที่ผมรู้สึกเซ็งก็คือ บรรดากลุ่มคนที่ยืนรอรถในจุดที่ก่อนจะถึงป้ายแบบไกลจากป้ายมาก และพากันแห่ขบวนเดินวิ่งมาราธอนไปขึ้นรถเมล์ในขณะที่รถเมล์ยังไม่ถึงป้าย...
พวกเขาเหล่านั้นไม่ว่าจะสายตาสั้นยาวมาแต่ปางใด ดวงตาของพวกเขาก็สามารถรับสัญญาณภาพดิจิตอล ระดับHD มองเห็นรถเมล์สายที่ตนหมายปองได้อย่างคมชัด เสมือนพวกเขาพกกล้องส่องทางไกล+9 มาด้วย เมื่อเห็นแล้ว พวกเขาตั้งท่า เข้าที่ ... โดยคุกเข่าขวาลง ปลายเท้าจิกกับพื้นเตรียมที่จะพุ่งไปด้านหน้า ขาซ้ายชันขึ้นมา90องศา มือทั้งสองข้างจรดกับพื้นโดยที่มีนิ้วโป้งกางออกมาจากนิ้วชี้และนิ้วกลาง สายตาจ้องเขม็งไปที่เป้าหมายราวกับแมวจ้องตะครุบเหยื่อ ระวัง.. ช่วงบั้นท้ายยกขึ้นเล็กน้อย ไป..พวกเขาเหล่านั้นdashถึงรถเมล์ในระยะ 1500 หลาก่อนที่รถจะถึงป้าย... ไม่ว่ารถจะคนเต็มหรือคนว่างพวกเขาก็ปฏิบัติกันเช่นนี้เสมอ ผมก็คิดนะ ถ้ารีบขึ้นกันขนาดนั้น ทำไมไม่นั่งแท็กซี่ไปที่อู่ต้นทางของรถเมล์สายนั้นแล้วขึ้นนั่งมาก่อนเลย จะได้ไม่ต้องแย่งกัน
จากการวิจัยแล้ว พบว่า สาเหตุคือเมื่อรถมาถึงป้าย แต่มีรถคันอื่นจอดติดสตั้นที่ป้ายอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ไม่สามารถเข้าป้ายได้ และจำเป็นต้องเปิดประตูให้ผู้โดยสารบนรถลงก่อน เสียงเปิดประตูรถ เปรียบดั่งเสียงปืนสัญญาณเริ่มให้ออกจากจุดสตาร์ท บรรดานักวิ่งลุงๆป้าๆมักจะเข้าเส้นชัยก่อนอยู่เสมอ บางครั้งถึงเส้นชัยก่อนคนบนรถจะลงมาหมดด้วย เพราะพวกเขามองเห็นรถและเข้าที่รอ ตั้งแต่รถออกจากอู่แล้ว
ผมเข้าใจทุกคนที่รีบกันขนาดนั้นเพราะกลัวจะไม่ได้ขึ้นรถ กลัวจะไม่ได้นั่งเล่นโทรศัพท์ ผมเองก็กลัว แต่อยากให้เห็นใจคนที่รอที่ป้ายบ้าง บางคนก็ป่วย บางคนเมนส์มา บางคนอกหักมาแล้วหมดแรงจะยืนจะลุกจะเดินไป บางคนปวดอึเดินไวๆไปแตะขอบฟ้าไม่ได้ ผลที่ตามมาก็คือตกรถ เพราะหลังจากขึ้นกันตรงนั้นหมด ส่วนใหญ่รถก็ตบไฟเลี้ยวขวา เหยียบคันเร่งและออกตัวไปอย่างไร้เยื่อใย ปล่อยให้ผมและคนตกรถคนอื่นยืนอ้าปาก ชูคอเหมือนนกโดฟลามิงโก้ และสบถในใจว่า เฮ้ย กูยังไม่ได้ขึ้นเลย ถ้าถามว่าผมโอเคมั้ย ผมบอกเลยว่า ผมห่างไกลคำว่าโอเคไปมาก
เมื่อเป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุกลัวตกรถ ผมได้กลายเป็นแบบพวกเขา ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็น พวกเขากดดันผม ครอบงำผม ทำให้ผมต้องวิ่งไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ผมต้องเปลี่ยนมาอัพสายAGI คงเป็นเวรกรรมทำแท้งที่ผมไปนึกตำหนิพวกเขา ผมเลยต้องมาเข้าที่ ระวัง ไป และพกกล้องส่องทางไกลแบบพวกเขา ผมทำด้วยความจำเป็น ผมต้องเดินตามพวกเขาไปขึ้นรถก่อนถึงป้าย 1500 หลา หากไม่ทำผมก็อาจจะต้องตกรถและเสียใจภายหลังก็ได้...
จนกระทั่งวันนึง วันที่ความแค้นของผมได้ถูกชำระ หึหึ.
ผมได้กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทนึง ย้ายมาทำงานแถวสุขุมวิท ตรงข้าม เยื้องๆสวนเบญจศิริ การเดินทางของผมคือการนั่งรถเมล์จากป้ายBigCแจ้งวัฒนะ มาลงที่BTSจตุจักรหมอชิต และต่อรถไฟฟ้าไปพร้อมพงษ์ ซึ่งเส้นทางลูกผู้ชายสายนี้ รถค่อนข้างติดมาก คนก็แน่นมาก เป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก ถ้ามีเครื่องบินสาธารณะให้ขึ้นผ่านที่ทำงาน แล้วถ้าเครื่องไม่จอด ผมก็จะกระโดดร่มลงเอง เพื่อหนีรถติด แต่นี่ไม่มี ผมต้องอดทนนั่งรถเมล์ไปก่อน
จนกระทั่ง เย็นวันนึงที่ป้ายรถเมล์สวนจตุจักร ผู้คนหนาแน่นเหมือนเดิม เพราะเพิ่งกลับจากที่ทำงาน และรอรถเมล์ที่จะกลับบ้าน ผมเดินลงมาจากสถานีBTSด้วยความชำนาญ และยืนรอรถในจุดสตาร์ท ผมตรวจเช็คอุปกรณ์เครื่องมือเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ลู่วิ่ง พร้อมกับมองคู่แข่งของผม และมองช่องทางที่ผมจะฝ่าไปเมื่อรถเมล์มาถึงเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มีอะไรเปลี่ยนไป..
เหล่าผู้คนกลุ่มใหม่ที่ผมเคยเห็นเป็นครั้งคราวในที่อื่น แต่วันนี้พวกเขามาที่นี่กันเป็นทีม มาในชุดเครื่องแบบเสื้อแขนสั้นสีขาว กางเกงสีกรมท่า บางคนใส่แว่นใส่หมวกใส่ผ้าปิดปาก แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ ที่สำคัญคือ ในมือของพวกเขา ชูป้ายที่ทำจากกระดาษและฟิวเจอร์บอร์ด ที่มีข้อความประมาณว่า "รณรงค์การจอดรับส่งตรงป้าย" หัวใจผมสั่นระรัว รองเท้าของผมกระซิบบอกผมว่า วันนี้มาถึงแล้วสินะ
ใช่แล้ว พวกเขาคือกลุ่มคนที่ ขสมก. ส่งมาช่วยผม พวกเขายังไม่ทอดทิ้งผม
"เราได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากคุณ เรามาช่วยคุณแล้ว" เขาไม่ได้พูด
ผมหวังว่าวันนี้จะต้องมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาลแน่ๆ
แล้วพวกเขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง รถทุกคันที่ต่อแถวเข้าป้าย พร้อมใจกันไม่เปิดประตูก่อนถึงป้าย เพราะมี จนท.คอยเตือนคอยโบกรถให้เข้าไปตรงป้าย นี่คือภาพที่ผมฝันที่จะเห็นมาตลอด ภาพที่ผมปราถนาให้มันเกิดขึ้นจริงๆซักวัน ภาพที่บรรดากลุ่มคนที่วิ่งไปไกล จนถึงหน้าประตูรถ แล้วรถไม่เปิดประตูให้ พวกเขาได้แต่แหงนมองไปบนรถ แล้ววิงวอนให้ประตูเปิด แต่ไม่ได้ผล คนขับรถไม่ได้สนใจใยดีพวกเขาเลย
รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พวกเขาเหล่านั้นต้องเดินตามรถต้อยๆ ย้อนกลับมาผ่านจุดที่พวกเขาเคยยืน แล้วย้อยกลับมาที่ตรงป้ายรถเมล์ที่พวกเขาไม่ได้เคยได้เหยียบย่ำเข้ามาก่อน มองดูแล้ว ราวกับ พระเอกวิ่งตามนางเอกที่อยู่รถบนรถไฟ มือพระนางยื่นจับกัน แล้วต้องปล่อยมือจากกันเมื่อรถแล่นเร็วขึ้น และมองดูรถเริ่มห่างไกลไปทีละน้อย จนรถมาหยุดอยู่ที่ป้าย ซึ่งใกล้เคียงกับจุดที่ผมยืนอยู่พอดี เนื่องจากผมกลับใจย้อนกลับมารอที่ตรงป้ายได้ทันอย่างเฉียดฉิว
ประตูรถเปิดออก ผมได้เข้าเส้นชัยเป็นคนแรก ชัยชนะตกเป็นของผม EXPผมขึ้นจนเต็มหลอด เลเวลผมอัพ ผมได้อยู่บนจุดสูงสุดของประวัติศาสตร์การขึ้นรถเมล์ แม้วันนั้นผมจะไม่ได้นั่ง แต่ผมก็แสยะยิ้มในใจไปตลอดทาง กับความสะใจเล็กน้อยถึงปานกลางของผม อาจมองดูผมเป็นคนไม่ดี ที่ไปดูถูกเหยียบย่ำหัวใจพวกเขา แต่จังหวะนั้นผมขอเป็นคนไม่ดีซักครึ่งชั่วโมงแล้วกัน
แม้ทุกวันนี้ จะมีการรณรงค์ให้จอดตรงป้าย แต่ที่ผมเห็นจะมีแต่ที่ป้ายจตุจักร ฉะนั้นการจอดรับส่งไม่ตรงป้ายในที่อื่นก็จะยังมีอยู่ ตราบใดที่ยังมีแท็กซี่เข้ามาจอดที่ป้ายรถเมล์ ตราบใดที่คนขับรถเมล์ยังเปิดประตูก่อนถึงป้าย ตราบใดที่ยังมีลุงๆป้าๆยืนรอรถก่อนป้าย สถานณการณ์นี้ก็จะไม่มีวันหมดไป ชีวิตผมยังต้องเผชิญหน้าต่อไป และได้แต่หวังว่าซักวัน ขสมก. จะส่งขบวนการเรนเจอร์มาช่วยผมและผู้โดยสารอื่นๆอีกครั้ง
ปล.เนื้อความข้างต้น มีจุดที่เล่าเวอร์ไป 1-2จุด นับว่าน้อยมาก เพื่ออรรถรส ต้องขออภัยด้วย