ขี่หมาที่รัสเซีย ;)

สวัสดีครับ ผมกับเพื่อนๆ ขออนุญาตใช้ไอดีนี้เป็นไอดีกลุ่ม เพื่อนำเรื่องราวที่เราไปเที่ยวมาแบ่งปันกันนะครับ เผื่อมีใครสนใจที่จะมาท่องเที่ยวในรัสเซีย พวกเราเป็นนักศึกษาไทยในรัสเซีย อยู่เมืองมอสโก มาเจอมารู้จักกันก็ที่นี่เลยครับ อยู่กันมาจนพอจะเข้าใจความเป็นรัสเซีย กลุ่มที่ไปไหนมาไหนด้วยกันก็มี 5-6 คนครับ ต่างคนต่างเรียน แต่พอมีเวลาว่างก็ออกตระเวรเที่ยวกันครับ อยู่กับคนไทยที่ถูกคอกัน ออกเที่ยวด้วยกัน ก็พอทำให้หายคิดถึงบ้านได้บ้าง เพราะวันปกติเราก็อยู่ในสถานะนักศึกษา ไม่ค่อยมีเวลาอะไรมากมายนัก จนบางทีสิ่งที่แปลกตาสำหรับนักท่องเที่ยว เราก็มองข้ามไปครับ เห็นเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเห็นมันทุกวัน โดยเฉพาะผม ที่ไม่ค่อยออกไปไหน เพราะยุ่งด้วย มีเวลาก็ขอนอนครับ (แอบขี้เกียจ) จนมาถึงทริปนี้ที่ผมไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะได้รับโทรศัพท์กึ่งชวนกึ่งสั่ง “เออ จะเปิดเทอมแล้ว ออกทริปหน่อย winter camp สองวันหนึ่งคืนเอง เสาร์ไปอาทิตย์กลับ เมืองข้างๆ มีหมาลากเลื่อนด้วย ยังไงบอกคำตอบด้วยจะจองที่พัก” ตอนนั้นผมก็คิดในใจหมาลากเลื่อนแล้วไงฟระ ห้าๆๆ แต่แรงกดดันก็ยังไม่หมดครับ line กระหน่ำจากเพื่อนๆที่แสนน่าร๊าคคค โดยมีช้อยให้ผมเลือกคือ ไป กับ ต้องไป ดูเพื่อนผมดิครับ ดูมันรักผมมาก ผมก็ต้องตอบตกลงไป เพราะ ด้วยค่าเงินที่เทียบเป็นเงินไทยก็กำไรเห็นๆ เวลาก็มี ไปก็ไปวะ ลองถือสเตตัสนักท่องเที่ยวดูบ้าง ผมเลยถือโอกาสมาเจิมไอดีก่อนเป็นคนแรก winter camp Chekov city Russia ครับ



               ก่อนวันเดินทางหนึ่งวันผมก็ต้องหอบข้าวของไปนอนห้องเพื่อนคนนึงในกลุ่มครับ เพราะมหาลัยผมไกลจากทุกๆคนที่เค้าอยู่ใกล้ๆกัน จะได้ออกเดินทางพร้อมกันในวันรุ่งขึ้น ผมมาถึงก็เจอเซอร์ไพร์ชอตแรกเลย “รีบนอนๆพรุ้งนี้ต้องถึงรถไฟใต้ดิน 6.00 น นะ ต้องออกจากหอตีห้าครึ่ง” ผมนี่งอแงเลยครับ ไรแว๊ จะเปิดเทอมให้กรุตื่นสายๆ เถ้อะ แต่สุดท้ายก็ต้องไปครับ เช้าวันเสาร์เราเจอกันที่รถไฟใต้ดิน มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟ เพื่อไปเมืองข้างๆ คือเมือง เชคอฟ ใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ซื้อตั๋วเสร็จผมนี่เอาวะนอนในรถก็ยังดีตั้งชั่วโมงครึ่ง แต่สุดท้าย ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ผมคาดหวังว่าจะได้หลับ กลับเหมือนเปิดทีวีไดเรกต์ ตลอดเวลา มีคนมาตะโกนขายของตลอด มีกระทั่งผ้าเช็ดหน้าไปถึงเหรียญสะสม มีขายไอศครีมขายในขณะที่ข้างนอกอุณหภูมิ -7 องศา และหาซื้อได้แม้กระทั่งปกใสห่อสมุด สรุปว่าพอถึง พวกผมก็เหมือน แกงค์ซอมบี้ เดินกันลงมาจากรถไฟ ต่างคนต่างนอนน้อย เพราะต้องเตรียมของ เตรียมเนื้อไปทำอาหารกันคืนวันก่อนมา บวกกับการเดินทางด้วยรถไฟที่นี่ค่อนข้างตรงเวลา ทำให้กังวลว่าจะไม่ตื่นกัน


บรรยากาศทางออกจากสถานีรถไฟ



               ลงมาถึงก็เปิดข้อความที่ทางรีสอร์ทส่งมาให้หลังจากจองบ้านพักครับ ว่าไปยังไงจากสถานีรถไฟ ข้อความที่เราได้คือ “ถึงสถานีรถไฟเมืองเชคอฟ นั่งรถเมย์สาย 29 ลงที่ รุสโกเย โปเลีย เดินย้อนขึ้นมาประมาณร้อยเมตรจะเห็น รั้วสีเขียว และเดินต่อมาอีกเจ็ดร้อยเมตรก็จะถึง” มีแค่นี้จริงๆครับข้อมูลที่ได้มา เพราะหน้าเว็บก็เขียนไว้เท่านี้ เราก็เริ่มเลย ตามล่าป้ายรถเมย์สาย 29 ด้วยเมืองเป็นเมืองที่เล็ก สาย 29 มีรถรวมทั้งสิ้น 2 คัน ต้องรอกันเกือบสี่สิบนาทีครับ



               พอรถมาถึงก็อดคิดถึงรถทัวร์หวานเย็นที่เมืองไทยไม่ได้ หรือถ้าคิดเป็นฉากหนังก็อารมณ์ประมาณ รถโรงเรียนในเรื่องแฟนฉันเลยครับ เพราะสภาพดูสมบุกสมบัน วินเทจสุดๆ หาดูไม่ได้ครับในเมืองหลวง เราก็พากันขึ้นรถบัส(สุดคลาสสิค) พูดคุยกับคนขับรถเสร็จว่าลงป้าย รุสโกเย โปเลีย ซึ่งเป็นป้ายสุดท้าย ลุงก็บอกโอเคๆ แต่ทำหน้าแบบงงๆว่าคนต่างชาติมาทำอะไรกัน พอถึงเราก็ถามลุงเลยครับว่าจะไปลากเลื่อนหมา กับกวาง ไปทางไหน ลุงหัวเราะเลยครับ บอกว่าไม่มี หมาอะไร กวางอะไร ไม่มีๆ พวกเราห้าคนนี่หน้าซีดไปเลยครับ จนมีคุณย้ายคนนึงที่นั่งรถมาด้วยกันซึ่งตลอดทางคุณยายมองเราแปลกๆ  พอเห็นลุงคนขับเริ่มตอบปัดๆ ก็เข้ามาถามเราอย่างเป็นห่วงว่าเราจะไปไหนกัน คุณยายก็ทำหน้างงกับการที่เราบอกว่าเราจะไปเล่นลากเลื่อนหมาไม่แพ้ลุงคนขับรถเลยครับ 555 แต่คุณยายก็บอกว่าอ่านข้อความให้ฟังซิ๊ ซึ่งคุณยายก็บอกว่ามันก็ถูกนะป้ายนี้แหละรุสโกเย โปเลีย คุณยายก็จัดแจงพาไปหาคนขับรถเลยครับ จากที่คนขับรถตอบปัดๆ ก็เริ่มฟังเราขึ้นมาบ้างพร้อมกับบอกอ้อๆ ฮัสกี้! ใข่มั้ย แถวนี้แหละมีๆ (เด๋วนะลุง บอกหมา ลุงบอกว่าไม่มี ฮัสกี้นี่ไม่ใช่หมาเลยเนอะ 555) แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรที่ชัดเจนเท่าไหร่ครับ ต้องขอบคุณคุณยายท่านนั้นมากๆครับอย่างน้อยก็ดูท่านพยายามจะช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่


               คุยกันเอาวะลองเดินตามข้อความที่ได้มาก่อน พอเริ่มเดินเท่านั้นแหละครับ หันไปทางไหน รั้วสีเขียวก็เต็มไปหมด จนปัญญา ก็โทรถามกับรีสอร์ทเป็นระยะๆ ลองผิดลองถูกกันไปครับ พนักงานที่รับสายก็จินตนาการว่าเราอยู่ที่ที่เค้าเข้าใจครับ ส่วนเราก็อยู่ในที่ของเราโดยเดินตามทางที่พนักงานจินตนาการบอกเราครับ (ขาดสติสุดๆตอนนั้น) จุดที่พีคคือเดินไปถึงบ้านคนซึ่งตอนนั้นเราเข้าใจว่าเรามาถึงแล้วเว้ยยยยย เพราะมีเสียงหมาเห่ากันระงม เราก็มโนไปอีกว่าเป็น ไซบีเรียน ฮัสกี้ แน่ๆ ยังร่าเริงกันอยู่ครับหลังจากเดินมาแค่สิบกว่านาทีท่ามกลางหิมะ ก็โทรบอกว่าถึงแล้ว พนักงานบอกว่าเด๋วเดินไปหา ในตอนนั้นเองครับก็มีลุงคนนึงเดินออกมาจากบ้าน ก็ตะโกนถามมา “มาทำอะไรกัน” พวกเรารีบตอบไปเลยครับ “ที่จองที่พักไว้ไง” ลุงทำหน้างงครับ ลุงบอกนี่บ้านชั้นนะเธอจะไปไหนกัน ผิดแล้วหล่ะ เราก็บอกคำเดิมกับที่บอกกับคนขับรถครับ เรามาเล่นลากเลื่อนที่ใช้หมากับกวางครับ ปฏิกิริยาเดียวกันทำหน้างงแล้วบอกว่าอะไร ไม่มีๆ เราต่อสายให้พนักงานคุยกันเจ้าของบ้านเลยครับ ทีแรกก็ทำหน้างงจนคุยไปคุยมาลุงพูดเสียงใสเลย “อ๋อเข้าใจแล้ว โอเคๆ เด๋วชั้นบอกทางพวกเค้าเอง” ลุงวางสายและมาคุยกับพวกเราครับชี้ไปทางเนินเขาข้างๆ เห็นตึกบนนั้นมั้ย ตรงนั้นแหละ ต้องเดินอ้อมไปทางนี้นะ มันจะมีทางขึ้น พวกเราใจชื้นเลยครับ ปีนเขากันพร้อมกับคุยกันสนุกเลยว่า เจ๋งสุดๆ ที่พักบนเขาเลยเวอะ สนุกแน่ๆ เดินขึ้นอีกเกือบยี่สิบนาทีครับ (ห้าๆๆ ยังไม่มีใครเอะใจซักคน) ตึกที่ลุงชี้ก็เป็นโรงไม้ รั้วเหล็กปิดแน่นหนา ไม่ใช่แน่ๆ เราโทรไปหารีสอร์ทอีกครั้งครับ บรรยายสิ่งรอบตัวให้ฟัง ว่าผ่านท่อแก๊ส เดินขึ้นเขามาไกลมาก ไม่มีวีแววอะไรเลย รีสอร์ททำเสียงตกใจมากครับและรีบบอกพี่ที่คุยว่าทำไมเค้าบอกให้มาทางนี้ ตอนนี้ให้พวกเธอเดินกลับไปถนนหลักก่อนเถอะ พอพี่ที่คุยบอกพวกเราเท่านั้นครับ ความคิดแรกที่แว๊บมาเลย กลับมอสโกมะ เพราะผมนี่มาด้วยความเต็มใจสุดๆครับ ห้าๆๆๆ แต่มาด้วยกัน เค้าเดินผมก็เดินครับ




เริ่มเห็นถนนอยู่ลิปๆโน่นแหละครับ



               สรุปว่าเราเสียไปชั่วโมงกว่าฟรีๆกับการเดินอ้อมไปอ้อมมาเป็นวงกลมท่ามกลางหิมะ เราเริ่มถามทางโดยใช้ข้อมูลที่ได้จากข้อความของทางรรีสอร์ทถามคนแถวนั้นไปเรื่อยๆครับสรุปว่าย้อนกลับมาเกือบถึงที่เราลงรถเมย์ กินเวลาไปเกือบๆสองชั่วโมง รถสาย 29 นี่ ผ่านพวกเราไปสี่รอบได้ครับ ตอนนั้นนี่พวกเรารู้สึกสำนึกในบุญคุณลุงที่ชี้ให้เราขึ้นเขามากๆ อยากจะหาระเบิดไปเสริฟหน้าบ้านซักลูกสองลูก ห้าๆๆๆ จนสุดท้ายครับ เจอคนที่รู้จักสถานที่ๆเราจะไปครับ เดินย้อนกันมาอีกเกือบๆครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเราก็ถึงครับ หลงทางกันสองชั่วโมงกว่า ก็ไปกลับมอสโก เชคอฟ ได้พอดีครับ ห้าๆๆๆๆๆ


               ถึงทางเข้ารีสอร์ท ด้วยความที่เดินกันมายาวนานทุกคนหมดสภาพครับ พนักงานที่คุยโทรศัพท์ก็เข้ามาพูดคุยถามว่าหลงไปถึงไหนกันมา จนมารู้ว่า รุสโกเย โปเลีย ไม่ใช่ชื่อป้ายรถเมย์ แต่ทั้งระแวก ที่รถเลี้ยวเข้าไปนั้นแหละครับ เรียกว่า รุสโกเย โปเลีย กรรมของเวรจริงๆ ก็พูดคุยกันได้ซักพัก พนักงานดูแลพวกเราดีมากๆครับเพราะเป็นแขกที่เช่าบ้านกลุ่มเดียวเลย เพราะช่วงที่ผมไปเป็นช่วงก่อนเปิดเทอมไม่กี่วันพ่อแม่ก็จะพาเด็กแค่มาเล่นกับหมา นั่งลากเลื่อน ทำกิจกรรมกันไป ไปเช้าเย็นกลับ บรรยากาศดูคึกคักมากครับภายในรีสอร์ท พนักงานก็บอกว่าเก็บของกันก่อนจะพาไปบ้านพัก พอเห็นบ้านพักเท่านั้นแหละครับพวกเราหายเหนื่อย คุ้มค่ามาก เป็นบ้านสองชั้นขนาดใหญ่พอสมควร อุปกรณ์เครื่องครัวครบ มีห้องซาวน์น่า ดีกว่าที่พวกเราคิดมากๆครับ


ที่พัก ยิ้ม







              เก็บของเสร็จเราก็ออกมาเล่นกิจกรรมกันครับ โดยกิจกรรมทางรีสอร์ทก็มีนั่งลากเลื่อนหมา ม้า และกวาง จากที่ผมคิดว่าลากเลื่อนหมาแล้วไงฟระ ตอนที่เพื่อนผมชวน พอได้เล่นเท่านั้นแหละคิดเลย ดีนะเนี่ยที่พวกยิ้มบังคับมา ไม่งั้นในชีวิตก็ไม่รู้จะมีโอกาสหรือป่าวที่จะได้นั่งลากเลื่อนหมาไซบีเรียน ฮัสกี้ มันก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบครับ เพราะถ้าอยู่เมืองไทยก็คงได้เล่นกับมันแต่ในห้องแอร์ มาที่นี่ก็เป็นภาพแปลกตาดีครับที่เห็นมันวิ่งๆกลางลานกว้างๆ พลังเหลือๆ ไม่ร้อนลิ้นห้อยเหมือนที่เจอๆที่เมืองไทย ห้าๆๆ









แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่