“อภิสิทธิ์” ชี้รัฐบาลทหารแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่คืบหน้า
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้รัฐบาลทหารตกอยู่ในสถานการณ์ท้าทาย แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่คืบหน้า และดำเนินแนวทางปฏิรูปไม่ชัดเจน ระบุกฎอัยการศึกกระทบท่องเที่ยวและการลงทุน เตือนคนอาจแสดงออกไม่ยอมรับข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ยืนยัน “ยิ่งลักษณ์” มีสิทธิ์ให้สัมภาษณ์
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย ถึงการทำงานของรัฐบาลทหารภายใต้คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งดำเนินมา 8 เดือนแล้วว่า ภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อยดูจะเป็นรูปธรรมที่สุด แต่ในแง่การบริหารเศรษฐกิจและการปฏิรูปทั้งระบบราชการ ระบบยุติธรรม ตำรวจ รวมทั้งด้านพลังงาน ยังน่าเป็นห่วงว่ารัฐบาลทหารจะทำได้ตามที่ประชาชนคาดหวังหรือไม่
นายอภิสิทธิ์เห็นว่าการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย หรือการที่ไทยถูกมองจากต่างชาติว่าไม่เคารพสิทธิ์เสรีภาพตามหลักสากล กลายเป็นต้นทุนทางสังคมที่เกิดขึ้นซึ่งรัฐบาลและ คสช.คงปฏิเสธไม่ได้
“การยังคงมีกฎอัยการศึกนั้นกระทบการท่องเที่ยว คนที่ซื้อประกันการเดินทางไม่ได้เขาก็ไม่อยากมาเมืองไทย หรือนักลงทุนที่จะลงทุนระยะยาวก็คิดว่า ขอรอเวลาจนกว่าจะมีความชัดเจน รอดูว่าหลังจาก คสช.แล้ว ไทยจะเดินไปในทิศทางไหน ถามว่าประชาชนจะยอมรับได้มากน้อยแค่ไหน ผมเชื่อว่าในภาวะที่ไม่มีความชัดเจนว่าประเทศจะเดินต่อไปอย่างไร ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่อาจเป็นปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายรัฐบาล และคสช.มากขึ้น และคงมีคนออกมาแสดงออกไม่ยอมรับข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ทุกฝ่ายต้องการกรอบเวลาที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง เชื่อว่าหัวหน้า คสช.ก็เห็นว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะดำรงไปได้เรื่อยๆ ”
นายอภิสิทธิ์ เลี่ยงที่จะตอบตรง ๆ เมื่อถูกถามว่าห่วงเรื่องการ “อยู่ยาว” ของรัฐบาลทหารหรือไม่ โดยบอกว่าห่วงความไม่เป็นประชาธิปไตย หรือการไม่มีประชาธิปไตยที่ยั่งยืนมากกว่า เขาย้ำว่าร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจัดทำอยู่นั้น จำเป็นจะต้องมีการลงประชามติ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีความชอบธรรม
“ในที่สุดต้องดูกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่จะเป็นจุดที่ทุกคนตัดสินชี้วัดการทำงานของ คสช. ว่าหลังออกไปแล้วระบบการเมืองจะเป็นประชาธิปไตยแท้จริงหรือไม่”
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการปรองดองและความจำเป็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องร่วมอยู่ในกระบวนการว่า ต้องดำเนินการเยียวยา ดูแลผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและกำหนดกติกาเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้สนับสนุนจะต้องยอมรับว่าการจะให้ปรองดองโดยสนองความต้องการส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่ต้องการรับผิดในคดีความที่มีอยู่นั้นคงลำบาก
สำหรับบทบาทของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในขณะนี้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นบุคคลที่อยู่ในรายชื่อผู้ที่มีคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นเดียวกับตน ห้ามประชุมทางการเมือง ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ สำหรับการให้สัมภาษณ์นักข่าวนั้นเป็นสิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังทำได้
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ตอบคำถามที่ว่าจะมีโอกาสดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ แต่มองอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ว่าน่าจะมีโอกาสชนะ เพราะหากดูผลการเลือกตั้งสองครั้งสุดท้ายจะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีเสียงสนับสนุนราว 11-12 ล้านเสียง ขณะที่พรรคเพื่อไทยอยู่ที่ 12-15 ล้านเสียง เขาเห็นว่าการจะบอกว่าประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสชนะนั้นเป็นไปไม่ได้
“อภิสิทธิ์” ชี้รัฐบาลทหารแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่คืบหน้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้รัฐบาลทหารตกอยู่ในสถานการณ์ท้าทาย แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่คืบหน้า และดำเนินแนวทางปฏิรูปไม่ชัดเจน ระบุกฎอัยการศึกกระทบท่องเที่ยวและการลงทุน เตือนคนอาจแสดงออกไม่ยอมรับข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ยืนยัน “ยิ่งลักษณ์” มีสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย ถึงการทำงานของรัฐบาลทหารภายใต้คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งดำเนินมา 8 เดือนแล้วว่า ภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อยดูจะเป็นรูปธรรมที่สุด แต่ในแง่การบริหารเศรษฐกิจและการปฏิรูปทั้งระบบราชการ ระบบยุติธรรม ตำรวจ รวมทั้งด้านพลังงาน ยังน่าเป็นห่วงว่ารัฐบาลทหารจะทำได้ตามที่ประชาชนคาดหวังหรือไม่ นายอภิสิทธิ์เห็นว่าการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย หรือการที่ไทยถูกมองจากต่างชาติว่าไม่เคารพสิทธิ์เสรีภาพตามหลักสากล กลายเป็นต้นทุนทางสังคมที่เกิดขึ้นซึ่งรัฐบาลและ คสช.คงปฏิเสธไม่ได้ “การยังคงมีกฎอัยการศึกนั้นกระทบการท่องเที่ยว คนที่ซื้อประกันการเดินทางไม่ได้เขาก็ไม่อยากมาเมืองไทย หรือนักลงทุนที่จะลงทุนระยะยาวก็คิดว่า ขอรอเวลาจนกว่าจะมีความชัดเจน รอดูว่าหลังจาก คสช.แล้ว ไทยจะเดินไปในทิศทางไหน ถามว่าประชาชนจะยอมรับได้มากน้อยแค่ไหน ผมเชื่อว่าในภาวะที่ไม่มีความชัดเจนว่าประเทศจะเดินต่อไปอย่างไร ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่อาจเป็นปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายรัฐบาล และคสช.มากขึ้น และคงมีคนออกมาแสดงออกไม่ยอมรับข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ทุกฝ่ายต้องการกรอบเวลาที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง เชื่อว่าหัวหน้า คสช.ก็เห็นว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะดำรงไปได้เรื่อยๆ ” นายอภิสิทธิ์ เลี่ยงที่จะตอบตรง ๆ เมื่อถูกถามว่าห่วงเรื่องการ “อยู่ยาว” ของรัฐบาลทหารหรือไม่ โดยบอกว่าห่วงความไม่เป็นประชาธิปไตย หรือการไม่มีประชาธิปไตยที่ยั่งยืนมากกว่า เขาย้ำว่าร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจัดทำอยู่นั้น จำเป็นจะต้องมีการลงประชามติ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีความชอบธรรม “ในที่สุดต้องดูกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่จะเป็นจุดที่ทุกคนตัดสินชี้วัดการทำงานของ คสช. ว่าหลังออกไปแล้วระบบการเมืองจะเป็นประชาธิปไตยแท้จริงหรือไม่” นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการปรองดองและความจำเป็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องร่วมอยู่ในกระบวนการว่า ต้องดำเนินการเยียวยา ดูแลผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและกำหนดกติกาเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้สนับสนุนจะต้องยอมรับว่าการจะให้ปรองดองโดยสนองความต้องการส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่ต้องการรับผิดในคดีความที่มีอยู่นั้นคงลำบาก สำหรับบทบาทของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในขณะนี้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นบุคคลที่อยู่ในรายชื่อผู้ที่มีคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นเดียวกับตน ห้ามประชุมทางการเมือง ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ สำหรับการให้สัมภาษณ์นักข่าวนั้นเป็นสิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังทำได้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ตอบคำถามที่ว่าจะมีโอกาสดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ แต่มองอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ว่าน่าจะมีโอกาสชนะ เพราะหากดูผลการเลือกตั้งสองครั้งสุดท้ายจะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีเสียงสนับสนุนราว 11-12 ล้านเสียง ขณะที่พรรคเพื่อไทยอยู่ที่ 12-15 ล้านเสียง เขาเห็นว่าการจะบอกว่าประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสชนะนั้นเป็นไปไม่ได้
บีบีซีไทย - BBC Thai
อ้าว มาร์ค ทำไมพูดอย่างนั้นหล่ะ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้รัฐบาลทหารตกอยู่ในสถานการณ์ท้าทาย แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่คืบหน้า และดำเนินแนวทางปฏิรูปไม่ชัดเจน ระบุกฎอัยการศึกกระทบท่องเที่ยวและการลงทุน เตือนคนอาจแสดงออกไม่ยอมรับข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ยืนยัน “ยิ่งลักษณ์” มีสิทธิ์ให้สัมภาษณ์
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย ถึงการทำงานของรัฐบาลทหารภายใต้คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งดำเนินมา 8 เดือนแล้วว่า ภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อยดูจะเป็นรูปธรรมที่สุด แต่ในแง่การบริหารเศรษฐกิจและการปฏิรูปทั้งระบบราชการ ระบบยุติธรรม ตำรวจ รวมทั้งด้านพลังงาน ยังน่าเป็นห่วงว่ารัฐบาลทหารจะทำได้ตามที่ประชาชนคาดหวังหรือไม่
นายอภิสิทธิ์เห็นว่าการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย หรือการที่ไทยถูกมองจากต่างชาติว่าไม่เคารพสิทธิ์เสรีภาพตามหลักสากล กลายเป็นต้นทุนทางสังคมที่เกิดขึ้นซึ่งรัฐบาลและ คสช.คงปฏิเสธไม่ได้
“การยังคงมีกฎอัยการศึกนั้นกระทบการท่องเที่ยว คนที่ซื้อประกันการเดินทางไม่ได้เขาก็ไม่อยากมาเมืองไทย หรือนักลงทุนที่จะลงทุนระยะยาวก็คิดว่า ขอรอเวลาจนกว่าจะมีความชัดเจน รอดูว่าหลังจาก คสช.แล้ว ไทยจะเดินไปในทิศทางไหน ถามว่าประชาชนจะยอมรับได้มากน้อยแค่ไหน ผมเชื่อว่าในภาวะที่ไม่มีความชัดเจนว่าประเทศจะเดินต่อไปอย่างไร ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่อาจเป็นปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายรัฐบาล และคสช.มากขึ้น และคงมีคนออกมาแสดงออกไม่ยอมรับข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ทุกฝ่ายต้องการกรอบเวลาที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง เชื่อว่าหัวหน้า คสช.ก็เห็นว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะดำรงไปได้เรื่อยๆ ”
นายอภิสิทธิ์ เลี่ยงที่จะตอบตรง ๆ เมื่อถูกถามว่าห่วงเรื่องการ “อยู่ยาว” ของรัฐบาลทหารหรือไม่ โดยบอกว่าห่วงความไม่เป็นประชาธิปไตย หรือการไม่มีประชาธิปไตยที่ยั่งยืนมากกว่า เขาย้ำว่าร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจัดทำอยู่นั้น จำเป็นจะต้องมีการลงประชามติ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีความชอบธรรม
“ในที่สุดต้องดูกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่จะเป็นจุดที่ทุกคนตัดสินชี้วัดการทำงานของ คสช. ว่าหลังออกไปแล้วระบบการเมืองจะเป็นประชาธิปไตยแท้จริงหรือไม่”
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการปรองดองและความจำเป็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องร่วมอยู่ในกระบวนการว่า ต้องดำเนินการเยียวยา ดูแลผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและกำหนดกติกาเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้สนับสนุนจะต้องยอมรับว่าการจะให้ปรองดองโดยสนองความต้องการส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่ต้องการรับผิดในคดีความที่มีอยู่นั้นคงลำบาก
สำหรับบทบาทของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในขณะนี้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นบุคคลที่อยู่ในรายชื่อผู้ที่มีคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นเดียวกับตน ห้ามประชุมทางการเมือง ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ สำหรับการให้สัมภาษณ์นักข่าวนั้นเป็นสิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังทำได้
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ตอบคำถามที่ว่าจะมีโอกาสดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ แต่มองอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ว่าน่าจะมีโอกาสชนะ เพราะหากดูผลการเลือกตั้งสองครั้งสุดท้ายจะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีเสียงสนับสนุนราว 11-12 ล้านเสียง ขณะที่พรรคเพื่อไทยอยู่ที่ 12-15 ล้านเสียง เขาเห็นว่าการจะบอกว่าประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสชนะนั้นเป็นไปไม่ได้
“อภิสิทธิ์” ชี้รัฐบาลทหารแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่คืบหน้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้รัฐบาลทหารตกอยู่ในสถานการณ์ท้าทาย แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่คืบหน้า และดำเนินแนวทางปฏิรูปไม่ชัดเจน ระบุกฎอัยการศึกกระทบท่องเที่ยวและการลงทุน เตือนคนอาจแสดงออกไม่ยอมรับข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ยืนยัน “ยิ่งลักษณ์” มีสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย ถึงการทำงานของรัฐบาลทหารภายใต้คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งดำเนินมา 8 เดือนแล้วว่า ภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อยดูจะเป็นรูปธรรมที่สุด แต่ในแง่การบริหารเศรษฐกิจและการปฏิรูปทั้งระบบราชการ ระบบยุติธรรม ตำรวจ รวมทั้งด้านพลังงาน ยังน่าเป็นห่วงว่ารัฐบาลทหารจะทำได้ตามที่ประชาชนคาดหวังหรือไม่ นายอภิสิทธิ์เห็นว่าการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย หรือการที่ไทยถูกมองจากต่างชาติว่าไม่เคารพสิทธิ์เสรีภาพตามหลักสากล กลายเป็นต้นทุนทางสังคมที่เกิดขึ้นซึ่งรัฐบาลและ คสช.คงปฏิเสธไม่ได้ “การยังคงมีกฎอัยการศึกนั้นกระทบการท่องเที่ยว คนที่ซื้อประกันการเดินทางไม่ได้เขาก็ไม่อยากมาเมืองไทย หรือนักลงทุนที่จะลงทุนระยะยาวก็คิดว่า ขอรอเวลาจนกว่าจะมีความชัดเจน รอดูว่าหลังจาก คสช.แล้ว ไทยจะเดินไปในทิศทางไหน ถามว่าประชาชนจะยอมรับได้มากน้อยแค่ไหน ผมเชื่อว่าในภาวะที่ไม่มีความชัดเจนว่าประเทศจะเดินต่อไปอย่างไร ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่อาจเป็นปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายรัฐบาล และคสช.มากขึ้น และคงมีคนออกมาแสดงออกไม่ยอมรับข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ทุกฝ่ายต้องการกรอบเวลาที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง เชื่อว่าหัวหน้า คสช.ก็เห็นว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะดำรงไปได้เรื่อยๆ ” นายอภิสิทธิ์ เลี่ยงที่จะตอบตรง ๆ เมื่อถูกถามว่าห่วงเรื่องการ “อยู่ยาว” ของรัฐบาลทหารหรือไม่ โดยบอกว่าห่วงความไม่เป็นประชาธิปไตย หรือการไม่มีประชาธิปไตยที่ยั่งยืนมากกว่า เขาย้ำว่าร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจัดทำอยู่นั้น จำเป็นจะต้องมีการลงประชามติ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีความชอบธรรม “ในที่สุดต้องดูกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่จะเป็นจุดที่ทุกคนตัดสินชี้วัดการทำงานของ คสช. ว่าหลังออกไปแล้วระบบการเมืองจะเป็นประชาธิปไตยแท้จริงหรือไม่” นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการปรองดองและความจำเป็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องร่วมอยู่ในกระบวนการว่า ต้องดำเนินการเยียวยา ดูแลผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและกำหนดกติกาเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้สนับสนุนจะต้องยอมรับว่าการจะให้ปรองดองโดยสนองความต้องการส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่ต้องการรับผิดในคดีความที่มีอยู่นั้นคงลำบาก สำหรับบทบาทของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในขณะนี้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นบุคคลที่อยู่ในรายชื่อผู้ที่มีคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นเดียวกับตน ห้ามประชุมทางการเมือง ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ สำหรับการให้สัมภาษณ์นักข่าวนั้นเป็นสิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังทำได้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ตอบคำถามที่ว่าจะมีโอกาสดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ แต่มองอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ว่าน่าจะมีโอกาสชนะ เพราะหากดูผลการเลือกตั้งสองครั้งสุดท้ายจะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีเสียงสนับสนุนราว 11-12 ล้านเสียง ขณะที่พรรคเพื่อไทยอยู่ที่ 12-15 ล้านเสียง เขาเห็นว่าการจะบอกว่าประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสชนะนั้นเป็นไปไม่ได้
บีบีซีไทย - BBC Thai