ดิฉันเริ่มอาชีพร้านค้าส่งด้วยอายุประมาณ 24ปี ช่วงปีแรก(แม่แฟนเป็นคนเริ่มเปิดร้าน)ไปรับสินค้าจากพี่สาวมาขายก่อน(ร้านพี่สาวเปิดร้านค้ามานานแล้วได้สินค้าในราคาที่ถูกว่าที่อื่น และที่สำคัญเค้าให้เราเชื่อสินค้าได้) โดยการจ่ายเงินให้พี่สาวคือแม่จะจ่ายไปครึ่งหนึ่งของบิลหรือบางบิลอาจจะไม่จ่ายเลย จากร้านค้าสองห้องก็กลายเปนสามห้อง ของเริ่มมีมากขึ้น ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็ไม่รู้ว่าเงินลงทุนที่เป็นสินค้าอยู่ในร้านเป็นเงินของใคร เพราะดิชั้นไม่ได้มาทำร้านค้าส่งแบบเป็นจริงเป็นจัง เพราะดิชั้นทำงานอยู่อีกที่หนึ่ง(ดิฉันเปิดร้านขายเสื้อผ้าส่วนแฟนเปนวิศวะกร) รวมทั้งแฟนของดิฉันด้วย(แต่คนละที่กับดิฉัน)
เปิดมาได้ประมาณหกเดือน แฟนฉันและแม่ของเค้าเริ่มมีปากเสียงเพราะว่าทางตัวแม่ของแฟนดิฉันนั้น เริ่มทำร้านค้าส่งไม่ไหว เพราะขายดี มีลูกน้องให้ ลูกน้องก็ลาออก คนแล้วคนเล่า ดังนั้น ดิฉันและแฟนจึงตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่ มาตั้งหน้าตั้งตาทำร้านค้าส่งอย่างจริงจัง ก่อนที่จะมาทำเราก็เลยมานั่งเคลียเงินที่เป็นหนี้สินตั้งแต่เปิดร้าน เป็นหนี้สินที่ยังไม่ได้จ่าย พอหลังจากที่ดิฉันเข้ามาบริหารงาน กำไรทางการค้ามันช่างน้อยเหลือเกินค่ะ ได้แค่ประมาณ2-3% เท่านั้นเอง แต่ก็ยังพอกินพอใช้เพราะว่า บ้านไม่ได้เช่า ไม่มีเงินกู้ (ตอนนี้เริ่มติดหนี้พี่สาวค่ะ ก้อนใหม่นะค่ะไม่เกี่ยวกับก้อนเริ่มด้นเปิดร้าน)
เริ่มเข้าปีที่สอง ตัองการใช้เงินแล้วค่ะ เพราะสินค้าช่วงเทศกาลต้องใช้ปริมาณที่ค่อนข้างเยอะ มีการกู้ยืมเกิดขึ้นแต่การกู้ยืมนี้ก้อยังไม่มีดอกเบี้ยนะค่ะ ธุรกิจก็ยังดำเนินต่อไป เริ่มมีธนาคารมาปล่อยกู้ โดยเป็นธนาคารออมสินที่แรก ได้วงเงินมาหนึ่งล้านบาท เงินที่ได้มาตอนนั้นคิดแต่ว่าจะใช้หนี้พี่สาวก่อน จะได้ไม่มีหนี้ติดตัว ในระยะเวลาไม่นานมากค่ะ เงินหนึ่งล้านก็หมดไป แต่ ณ ตอนนั้นดิฉันมีการดาว์นผ่อนรถด้วยนะค่ะ 2 คัน คันแรกเป็นเงินส่วนตัวของดิฉันเอง เงินผ่อนต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 6500บาทต่อคันต่อเดือนค่ะ และแล้วไม่รู้สวรรค์ทรงโปรดหรือว่าสวรรค์กลั่นแกล้ง มีธนาคารมาเสนอเงินให้ 6 ล้านบาท ดิฉันและแฟนตัดสินใจอยู่นานว่าจะรับเงินก้อนนี้ดีไหม เพราะมันเป็นจำนวนที่มาก เอามาแล้วจะเอามาทำอะไร ปรึกษาผู้ใหญ่เค้าก็บอกว่า ให้รับข้อเสนอของธนาคาร ในที่สุดดิฉันได้เงินมาค่ะเพราะตัดสินใจที่จะเอาเงินก้อนนั้นมา เมื่อได้เงินมาแล้ว ดิฉันก็ลงของในเรทที่มีปริมาณที่มากขึ้นกว่าเดิม เริ่มหาขายของ ขายได้แต่ต้องเป็นเงินเชื่อ เพราะลูกค้ามีร้านค้าที่ซื้อประจำอยู่แล้ว เราเข้าไปแทรกค่ะหรือแย่งลูกค้านั่นเอง
จนเข้าปีที่3 เริ่มกลับมาทวบทวนเพราะว่าเงินที่จ่ายซื้อของออกไปกับเงินที่ได้รับเข้ามา มันเริ่มไม่สมดุล เริ่มหาต้นสายปลายเหตุของเงินที่หายไปไม่ได้ ของเริ่มขายไม่ดีเพราะเริ่มมี 7-11 โลตัส มีร้านค้าส่งมาเปิดแข่ง ขายตัดราคา สารพัด แต่ดิฉันก็ยังคงขายของต่อไปเพราะดิฉันได้ส่งของตามร้านค้าข้างนอกซึ่งดิฉันทำมาได้เกือบสองปีแล้ว
สิ้นปีที่4 สรุปแล้วเงินหายไปจากทางไหนไม่รู้ ประมาณเกือบสองล้าน รายจ่ายทุกเดือนก็จะมีค่าดอกเบี้ย ค่าคนงาน ค่าน้ำมัน ค่าวงดรถ เมื่อกลับมาเช็คก็เห็นว่ารายจ่ายที่จ่ายไปมีแต่การจ่ายเงินค่าเบียร์ล็อตใหญ่ๆ พอเกิดปัญหาแล้วจึงรู้ว่า การทำร้านค้าแบบหนี้ไม่ได้ทำให้เรามีเงินเพิ่มขึ้นเลย กลับการเป็นการขาดทุน เมื่อมีเงินเหลืออยู่ในบัญชีประมาณ2ล้าน เงินหมุนเวียนในร้านอีก2-3ล้าน จริงตัดสินใจทำโรงงานผลิตน้ำดื่ม เริ่มต้นจากศูนย์ค่ะ ความรู้งูๆปลาๆ โรงงานที่เราทำ ใช้เงินลงทุนรวมๆกันแล้วเกือบ10ล้าน (ทั้งหมดนี้คือมีแต่ที่เปล่า เป็นทุ่งนา ตั้งแต่ถมที่ งานเหล็กงานไฟ จนกระทั้งถึงรถส่งน้ำ 6ล้อ 4คัน )ระหว่างนี้ ดิฉันกู้เงินมาอีกค่ะ ได้มาเพิ่มอีก 3ล้าน2แสน จะเห็นว่า เงินลงทุนที่โรงงานของดิฉันตอนนี้คือ8ล้าน2แสน ส่วนอีก1ล้าน8แสน มาจากการเชื่อสินค้าของเจ้าหนี้มาขายก่อนคือเอาเงินเจ้าหนี้ไปใช้ทางอื่นนั้นเอง คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ คุณทำโรงงานใหญ่เกินไปหรือเปล่า ความคิดของดิฉัน ถ้าเราไม่ทำใหญ่ เราเป็นเจ้าใหม่ก็จะสู้เจ้าถิ่นเดิมไม่ได้ ระยะเวลา1ปีที่ก่อสร้างดิฉันได้จ่ายเงินกู้ ที่กู้มาล็อตหลังทุกเดือน ประมาณเดือนละ6หมื่น และค่าผ่อนรถหกล้อสี่คันอีกเดือนละ 42000 บาท ร้านค้าก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แต่ระหว่างนี้ก้องวดชนงวด เงินไม่พอจ่ายเช็คบ้าง ยืมเงินญาติมาจ่ายบ้าง
เริ่มได้เปิดขายปีที่5ค่ะ ช่วงแรกขายไม่ดีอย่างที่ทราบน้ำดื่มเจ้าใหม่ ต้องการความเชื่อมั่นในคุณภาพของน้ำอยู่แล้ว ยอมรับเลยค่ะว่า 6เดือน ยังขาดทุนอยู่ แต่ทำมาเรื่อยๆ กลับทำให้เห็นว่าโรงงานสามารถทำกำไรได้ถึงวันละ6-8พัน แต่ปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้น ดิฉันเริ่มไม่มีเงินลงของเพราะเงินไปหมดกับสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร จิปาถะในโรงงาน มันจึงมีเหตุการที่ตามมา ตามสภาพแม่ผัวลูกสะใภ้ ทางแม่เค้าก็กล่าวหาว่าเราเอาเงินไปใช้ไปทำโน้นทำนี่ จริงๆมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะเล่า แต่ของเล่านิดนึงเถอะค่ะ ดิฉันทำธุรกรรมทุกอย่างกู้เงิน ออกรถ บ้าน ที่อยู่อาศัยไม่มีสิ่งไหนเป็นชื่อของดิฉันเลย แม้แต่อย่างเดียวดิฉันให้แฟนเป็นคนดำเนินการทั้งหมด ดิฉันตัดสินใจขายรถเก๋งและนำเงินที่ขายรถได้มาลงในร้านค้าส่ง จำนวน4แสนบาทได้ ทำทุกอย่างขนาดนี้ดิฉันจะเอาเงินของแฟนไปทำไม ซึ่งทางแม่เค้าไม่เข้าใจ จึงเกิดการประทะกันอย่างรุ่นแรง และดิฉันตัดสินใจออกจากบ้านพร้อมกับเงินที่จะใช้ตัดเช็คจำนวนประมาณเกือบ4แสน เพราะดิฉันคิดว่ามันเป็นเงินลงทุนของดิฉัน อ่อลืมบอก แฟนดิฉันไปส่งน้ำให้ลูกค้าที่ต่างอำเภอ และดิฉันก้อขับรถออกมาจากร้าน เมื่อถึงกลางทางดิฉันก็คิดได้ว่า ต้องใช้เงินตัดเช็คเพื่อที่ทุกอย่างจะต้องดำเนินการต่อไป ดิฉันจึงให้ลูกน้องขับรถออกมาเอาเงินกลับดิฉันเพื่อไปนำฝากในบัญชีของแฟน ปัญหาตามมาเรื่อยๆ มีการเคลียกัน พอเคลียได้ก็กลับมาทำงานเหมือนเดิม แต่ตอนนั้นมันก็สายไปแล้ว เพราะค่างวดรถที่จะต้องจ้ายแต่แฟนดิฉันไม่ได้จ่ายค่ะ เสียเครดิตไป ในตอนนั้น
ปีที่6เป็นปีที่สองของการเปิดโรงงาน ปีนี้โรงงานสามารถทำกำไรได้ถึงวันละ10,000-12,000บาท ดิฉันกลับมาทำงานปกติ เงินไม่พอแล้วค่ะ เพราะว่าเอาเงินล้านไปลงทุนเอากำไรแค่ถังละไม่กี่บาท ขอกู้ ก้อกู้ไม่ผ่านค่ะ เพราะ เสียเครดิต ปัญหาเกิดไม่มีเงินจ่ายค่าเบียร์ค่ะ เจ้าของร้านเบียร์มาเคลีย ขอให้จ่ายเงิน เค้าไม่ส่งของเพราะว่าเราไม่จ่ายหนี้เก่า จึงไปยืมเงินพี่สาวมาจ่ายค่ะ เค้าจะไม่ส่งของให้ด้วย เพราะเราเครดิตเสีย เช็คเด้ง จึงต้องตีเช็คเป็นชื่อของพี่สาวค่ะ ได้ขายปกติ ทำไประยะหนึ่งเงินหมุนไม่ได้อีกแล้ว รายจ่ายต่อเดือนก้อเยอะ ประมาณ3 แสนต่อเดือนได้ กะท่อนกะแท่น แต่ก็ผ่านไปได้ทุกเดือน จนเมื่อสิ้นปีที่6ที่ผ่านมา พี่สาวเรียกให้ใช้หนี้ค่ะหนี้สินที่ยืมมาทั้งหมด ถ้าไม่ใช้เงินต้นก็ต้องใช้ดอก เรียกเก็บดอกเดือนละสี่หมื่นได้ หน้ามืดไปพักหนึ่งค่ะ แต่ต้องสู้ต่อไป ให้โรงน้ำเป็นตัวจ่ายค่าใช้จ่ายเดือนละสามแสนกว่า และจ่ายตัดต้นทุกวันวันละสองพันรวมหกหมื่นบาท สรุปสี่เดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้เข้าปีที่7 จ่ายเงินเพิ่มจากค่าใช้จ่ายเดิมอีกเดือนละ หนึ่งแสนบาทไทย
ตอนนี้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำยังไงก้หาเงินไม่ทันจ่าย ดิฉันประสบปัญหาตามที่เล่ามา จากเด็กอายุ24 ตอนนี้อายุ30 กับหนี้สินที่เกิดขึ้นรวมกันประมาณ 10 ล้าน ดิฉันก้าวเร็วไปใช่ไหมค่ะ หรือว่าดิฉันทำอะไรผิดพลาด(ลืมบอก ดิฉันผ่อนรถหมดแล้วจำนวน3คัน หนี้สินที่กู้มาก้อนสุดท้าย 3ล้าน2แสน เหลืออีก5ปี รถ6ล้อ4คัน เหลือผ่อนอีก1ปี ) รบกวนขอคำปรึกษาด้วยค่ะ
ประสบปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก... ต้องการคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ รบกวนด้วยนะค่ะ
เปิดมาได้ประมาณหกเดือน แฟนฉันและแม่ของเค้าเริ่มมีปากเสียงเพราะว่าทางตัวแม่ของแฟนดิฉันนั้น เริ่มทำร้านค้าส่งไม่ไหว เพราะขายดี มีลูกน้องให้ ลูกน้องก็ลาออก คนแล้วคนเล่า ดังนั้น ดิฉันและแฟนจึงตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่ มาตั้งหน้าตั้งตาทำร้านค้าส่งอย่างจริงจัง ก่อนที่จะมาทำเราก็เลยมานั่งเคลียเงินที่เป็นหนี้สินตั้งแต่เปิดร้าน เป็นหนี้สินที่ยังไม่ได้จ่าย พอหลังจากที่ดิฉันเข้ามาบริหารงาน กำไรทางการค้ามันช่างน้อยเหลือเกินค่ะ ได้แค่ประมาณ2-3% เท่านั้นเอง แต่ก็ยังพอกินพอใช้เพราะว่า บ้านไม่ได้เช่า ไม่มีเงินกู้ (ตอนนี้เริ่มติดหนี้พี่สาวค่ะ ก้อนใหม่นะค่ะไม่เกี่ยวกับก้อนเริ่มด้นเปิดร้าน)
เริ่มเข้าปีที่สอง ตัองการใช้เงินแล้วค่ะ เพราะสินค้าช่วงเทศกาลต้องใช้ปริมาณที่ค่อนข้างเยอะ มีการกู้ยืมเกิดขึ้นแต่การกู้ยืมนี้ก้อยังไม่มีดอกเบี้ยนะค่ะ ธุรกิจก็ยังดำเนินต่อไป เริ่มมีธนาคารมาปล่อยกู้ โดยเป็นธนาคารออมสินที่แรก ได้วงเงินมาหนึ่งล้านบาท เงินที่ได้มาตอนนั้นคิดแต่ว่าจะใช้หนี้พี่สาวก่อน จะได้ไม่มีหนี้ติดตัว ในระยะเวลาไม่นานมากค่ะ เงินหนึ่งล้านก็หมดไป แต่ ณ ตอนนั้นดิฉันมีการดาว์นผ่อนรถด้วยนะค่ะ 2 คัน คันแรกเป็นเงินส่วนตัวของดิฉันเอง เงินผ่อนต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 6500บาทต่อคันต่อเดือนค่ะ และแล้วไม่รู้สวรรค์ทรงโปรดหรือว่าสวรรค์กลั่นแกล้ง มีธนาคารมาเสนอเงินให้ 6 ล้านบาท ดิฉันและแฟนตัดสินใจอยู่นานว่าจะรับเงินก้อนนี้ดีไหม เพราะมันเป็นจำนวนที่มาก เอามาแล้วจะเอามาทำอะไร ปรึกษาผู้ใหญ่เค้าก็บอกว่า ให้รับข้อเสนอของธนาคาร ในที่สุดดิฉันได้เงินมาค่ะเพราะตัดสินใจที่จะเอาเงินก้อนนั้นมา เมื่อได้เงินมาแล้ว ดิฉันก็ลงของในเรทที่มีปริมาณที่มากขึ้นกว่าเดิม เริ่มหาขายของ ขายได้แต่ต้องเป็นเงินเชื่อ เพราะลูกค้ามีร้านค้าที่ซื้อประจำอยู่แล้ว เราเข้าไปแทรกค่ะหรือแย่งลูกค้านั่นเอง
จนเข้าปีที่3 เริ่มกลับมาทวบทวนเพราะว่าเงินที่จ่ายซื้อของออกไปกับเงินที่ได้รับเข้ามา มันเริ่มไม่สมดุล เริ่มหาต้นสายปลายเหตุของเงินที่หายไปไม่ได้ ของเริ่มขายไม่ดีเพราะเริ่มมี 7-11 โลตัส มีร้านค้าส่งมาเปิดแข่ง ขายตัดราคา สารพัด แต่ดิฉันก็ยังคงขายของต่อไปเพราะดิฉันได้ส่งของตามร้านค้าข้างนอกซึ่งดิฉันทำมาได้เกือบสองปีแล้ว
สิ้นปีที่4 สรุปแล้วเงินหายไปจากทางไหนไม่รู้ ประมาณเกือบสองล้าน รายจ่ายทุกเดือนก็จะมีค่าดอกเบี้ย ค่าคนงาน ค่าน้ำมัน ค่าวงดรถ เมื่อกลับมาเช็คก็เห็นว่ารายจ่ายที่จ่ายไปมีแต่การจ่ายเงินค่าเบียร์ล็อตใหญ่ๆ พอเกิดปัญหาแล้วจึงรู้ว่า การทำร้านค้าแบบหนี้ไม่ได้ทำให้เรามีเงินเพิ่มขึ้นเลย กลับการเป็นการขาดทุน เมื่อมีเงินเหลืออยู่ในบัญชีประมาณ2ล้าน เงินหมุนเวียนในร้านอีก2-3ล้าน จริงตัดสินใจทำโรงงานผลิตน้ำดื่ม เริ่มต้นจากศูนย์ค่ะ ความรู้งูๆปลาๆ โรงงานที่เราทำ ใช้เงินลงทุนรวมๆกันแล้วเกือบ10ล้าน (ทั้งหมดนี้คือมีแต่ที่เปล่า เป็นทุ่งนา ตั้งแต่ถมที่ งานเหล็กงานไฟ จนกระทั้งถึงรถส่งน้ำ 6ล้อ 4คัน )ระหว่างนี้ ดิฉันกู้เงินมาอีกค่ะ ได้มาเพิ่มอีก 3ล้าน2แสน จะเห็นว่า เงินลงทุนที่โรงงานของดิฉันตอนนี้คือ8ล้าน2แสน ส่วนอีก1ล้าน8แสน มาจากการเชื่อสินค้าของเจ้าหนี้มาขายก่อนคือเอาเงินเจ้าหนี้ไปใช้ทางอื่นนั้นเอง คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ คุณทำโรงงานใหญ่เกินไปหรือเปล่า ความคิดของดิฉัน ถ้าเราไม่ทำใหญ่ เราเป็นเจ้าใหม่ก็จะสู้เจ้าถิ่นเดิมไม่ได้ ระยะเวลา1ปีที่ก่อสร้างดิฉันได้จ่ายเงินกู้ ที่กู้มาล็อตหลังทุกเดือน ประมาณเดือนละ6หมื่น และค่าผ่อนรถหกล้อสี่คันอีกเดือนละ 42000 บาท ร้านค้าก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แต่ระหว่างนี้ก้องวดชนงวด เงินไม่พอจ่ายเช็คบ้าง ยืมเงินญาติมาจ่ายบ้าง
เริ่มได้เปิดขายปีที่5ค่ะ ช่วงแรกขายไม่ดีอย่างที่ทราบน้ำดื่มเจ้าใหม่ ต้องการความเชื่อมั่นในคุณภาพของน้ำอยู่แล้ว ยอมรับเลยค่ะว่า 6เดือน ยังขาดทุนอยู่ แต่ทำมาเรื่อยๆ กลับทำให้เห็นว่าโรงงานสามารถทำกำไรได้ถึงวันละ6-8พัน แต่ปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้น ดิฉันเริ่มไม่มีเงินลงของเพราะเงินไปหมดกับสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร จิปาถะในโรงงาน มันจึงมีเหตุการที่ตามมา ตามสภาพแม่ผัวลูกสะใภ้ ทางแม่เค้าก็กล่าวหาว่าเราเอาเงินไปใช้ไปทำโน้นทำนี่ จริงๆมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะเล่า แต่ของเล่านิดนึงเถอะค่ะ ดิฉันทำธุรกรรมทุกอย่างกู้เงิน ออกรถ บ้าน ที่อยู่อาศัยไม่มีสิ่งไหนเป็นชื่อของดิฉันเลย แม้แต่อย่างเดียวดิฉันให้แฟนเป็นคนดำเนินการทั้งหมด ดิฉันตัดสินใจขายรถเก๋งและนำเงินที่ขายรถได้มาลงในร้านค้าส่ง จำนวน4แสนบาทได้ ทำทุกอย่างขนาดนี้ดิฉันจะเอาเงินของแฟนไปทำไม ซึ่งทางแม่เค้าไม่เข้าใจ จึงเกิดการประทะกันอย่างรุ่นแรง และดิฉันตัดสินใจออกจากบ้านพร้อมกับเงินที่จะใช้ตัดเช็คจำนวนประมาณเกือบ4แสน เพราะดิฉันคิดว่ามันเป็นเงินลงทุนของดิฉัน อ่อลืมบอก แฟนดิฉันไปส่งน้ำให้ลูกค้าที่ต่างอำเภอ และดิฉันก้อขับรถออกมาจากร้าน เมื่อถึงกลางทางดิฉันก็คิดได้ว่า ต้องใช้เงินตัดเช็คเพื่อที่ทุกอย่างจะต้องดำเนินการต่อไป ดิฉันจึงให้ลูกน้องขับรถออกมาเอาเงินกลับดิฉันเพื่อไปนำฝากในบัญชีของแฟน ปัญหาตามมาเรื่อยๆ มีการเคลียกัน พอเคลียได้ก็กลับมาทำงานเหมือนเดิม แต่ตอนนั้นมันก็สายไปแล้ว เพราะค่างวดรถที่จะต้องจ้ายแต่แฟนดิฉันไม่ได้จ่ายค่ะ เสียเครดิตไป ในตอนนั้น
ปีที่6เป็นปีที่สองของการเปิดโรงงาน ปีนี้โรงงานสามารถทำกำไรได้ถึงวันละ10,000-12,000บาท ดิฉันกลับมาทำงานปกติ เงินไม่พอแล้วค่ะ เพราะว่าเอาเงินล้านไปลงทุนเอากำไรแค่ถังละไม่กี่บาท ขอกู้ ก้อกู้ไม่ผ่านค่ะ เพราะ เสียเครดิต ปัญหาเกิดไม่มีเงินจ่ายค่าเบียร์ค่ะ เจ้าของร้านเบียร์มาเคลีย ขอให้จ่ายเงิน เค้าไม่ส่งของเพราะว่าเราไม่จ่ายหนี้เก่า จึงไปยืมเงินพี่สาวมาจ่ายค่ะ เค้าจะไม่ส่งของให้ด้วย เพราะเราเครดิตเสีย เช็คเด้ง จึงต้องตีเช็คเป็นชื่อของพี่สาวค่ะ ได้ขายปกติ ทำไประยะหนึ่งเงินหมุนไม่ได้อีกแล้ว รายจ่ายต่อเดือนก้อเยอะ ประมาณ3 แสนต่อเดือนได้ กะท่อนกะแท่น แต่ก็ผ่านไปได้ทุกเดือน จนเมื่อสิ้นปีที่6ที่ผ่านมา พี่สาวเรียกให้ใช้หนี้ค่ะหนี้สินที่ยืมมาทั้งหมด ถ้าไม่ใช้เงินต้นก็ต้องใช้ดอก เรียกเก็บดอกเดือนละสี่หมื่นได้ หน้ามืดไปพักหนึ่งค่ะ แต่ต้องสู้ต่อไป ให้โรงน้ำเป็นตัวจ่ายค่าใช้จ่ายเดือนละสามแสนกว่า และจ่ายตัดต้นทุกวันวันละสองพันรวมหกหมื่นบาท สรุปสี่เดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้เข้าปีที่7 จ่ายเงินเพิ่มจากค่าใช้จ่ายเดิมอีกเดือนละ หนึ่งแสนบาทไทย
ตอนนี้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำยังไงก้หาเงินไม่ทันจ่าย ดิฉันประสบปัญหาตามที่เล่ามา จากเด็กอายุ24 ตอนนี้อายุ30 กับหนี้สินที่เกิดขึ้นรวมกันประมาณ 10 ล้าน ดิฉันก้าวเร็วไปใช่ไหมค่ะ หรือว่าดิฉันทำอะไรผิดพลาด(ลืมบอก ดิฉันผ่อนรถหมดแล้วจำนวน3คัน หนี้สินที่กู้มาก้อนสุดท้าย 3ล้าน2แสน เหลืออีก5ปี รถ6ล้อ4คัน เหลือผ่อนอีก1ปี ) รบกวนขอคำปรึกษาด้วยค่ะ