Electoralism? ประชาธิปไตยแบบไทยๆ

Electoralism คำคำนี้เป็นศัพท์ที่ เทอร์รี คาร์ล ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากสแตนฟอร์ด บัญญัติขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์แปลกๆ ในบางสังคม ที่กำลังจะมีการ ‘เปลี่ยนผ่าน’ จากระบอบ ‘อำนาจนิยม’ (Authoritarian) เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย

แต่ปัญหาก็คือ สังคมที่เคยชินกับ ‘อำนาจนิยม’ มายาวนานนั้น มักเป็นสังคมที่คุ้นชินกับการ ‘ค้อมหัว’ ให้กับอำนาจใหญ่ๆ ในสังคม ผลก็คือ เมื่อจะเดินหน้าเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย ก็ต้องเป็นไปโดยผ่านการ ‘สั่ง’ หรือ ‘บงการ’ ของอำนาจใหญ่ๆ ในสังคมด้วยเช่นกัน

ผมคิดว่า Electoralism นั้น ปรากฏให้เห็นชัดเจนในกรณีของประเทศไทย ผ่านรัฐธรรมนูญตั้งแต่ฉบับปี 2540 ที่บัญญัติไว้ว่าให้การเลือกตั้งเป็น ‘หน้าที่’ ไม่ใช่แค่ ‘สิทธิ’ เพราะการกำหนดให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ ย่อมแปลว่าการเลือกตั้งก็เหมือนการเกณฑ์ทหาร เป็นสิ่งที่ประชาชนคนไทยที่ ‘เข้าเกณฑ์’ (เช่น อายุถึง) จะต้องไป ‘ทำหน้าที่’ นั้นกันทุกคนไป ถ้าไม่ไปจะต้องได้รับโทษ แต่ก็ยังดีที่โทษหนีเลือกตั้งนั้นไม่รุนแรงเท่าโทษหนีทหาร มิฉะนั้นก็คงเป็นภาวะประหลาดอย่างยิ่ง

ผมคิดว่าที่เราต้อง ‘บังคับ’ หรือ ‘โบยตี’ ประชาชนให้ไปเลือกตั้งโดยการกำหนดให้เป็นหน้าที่นั้น เข้าข่าย Electoralism ไม่น้อย ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะถ้ายังจำกันได้ ก่อนหน้าปี 2540 (หรือก่อนหน้าพฤษภาทมิฬปี 2535) นั้น คนไทยไม่ค่อยไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะรณรงค์กันขนาดไหนก็ตาม ผมจำได้ว่าการเลือกตั้งบางครั้งมีตัวเลขผู้ใช้สิทธิแค่ยี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ หรืออย่างมากก็สักสามสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทำให้เกิดความ ‘อับอายขายหน้า’ ในความเป็น ‘รัฐประชาธิปไตย’ กันอย่างยิ่ง

เข้าใจว่าตอนร่างรัฐธรรมนูญ 2540 น่าจะมีการถกเถียงเรื่องจะให้การเลือกตั้งเป็นสิทธิหรือเป็นหน้าที่กันมาก แต่ที่สุดแล้วผลที่ออกมาก็คือการกำหนดว่าการเลือกตั้งคือ ‘หน้าที่’ ซึ่งผมคิดว่าไม่สามารถมองเป็นอย่างอื่นได้เลย นอกจากเป็นเพราะรัฐไทยนั้น ‘เคยชิน’ กับการใช้อำนาจแบบ ‘อำนาจนิยม’

ในช่วงแรกๆ อาจจะพยายามรณรงค์ด้วยวิธีการต่างๆ ให้คนไปเลือกตั้งในฐานะการไป ‘ใช้สิทธิ’ แต่เมื่อรณรงค์แล้วไม่ได้ผล เหมือนครูผู้ปกครองหรือพ่อแม่โอ้โลมปฏิโลมลูกแล้วยังไม่ทำตาม ก็เห็นจะต้องใช้ไม้เรียวบังคับ ด้วยการเปลี่ยนสิ่งที่เคยเป็น ‘สิทธิ’ ให้กลายเป็น ‘หน้าที่’ ซึ่งก็คือการใช้ ‘อำนาจนิยม’ เพื่อขู่เข็ญให้สังคมกลายเป็น ‘ประชาธิปไตย’

ประชาธิปไตยไทยที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้นในรัฐธรรมนูญด้วยแนวคิดแบบ Electoralism นั้นสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าจะอย่างไร สังคมไทยของเราก็คุ้นชินอยู่กับ ‘อำนาจนิยม’ ซึ่งก็คือ ‘ระบบอุปถัมภ์’ บางอย่างมาโดยตลอด เหมือนนกที่ถูกเลี้ยงอยู่ในกรง พอเปิดกรงแล้วแทนที่จะบินออกไปเอง ก็ต้องใช้กำลังบังคับขับไสให้นกบินออกไป แต่พอบินออกไปจากกรงหนึ่ง ด้วยความคุ้นชิน ที่สุดแล้วนกตัวนั้นก็บินไปลงเอยในอีกกรงหนึ่งอยู่ดีนั่นแหละครับ

ในการเมืองไทยก็เช่นกัน พอหลุดจากอำนาจนิยมที่อยู่ใต้ท็อปบูตของทหาร (ดังที่คุ้นชินกันมาหลายสิบปี ตั้งแต่ยุคจอมพลทั้งหลายมาจนถึงยุคพลเอก คุ้นชินกับการปฏิวัติรัฐประหารจนเห็นเป็นของธรรมดาที่น่าสนุก ซึ่งจะอยู่ใต้ระบบอุปถัมภ์ ‘แบบไหน’ หรืออยู่ ‘ใต้ใคร’ ก็เป็นเรื่องที่ไปถกเถียงกันต่อได้นะครับ) สังคมไทยก็ถูกผลักเข้าสู่การเลือกตั้งแบบ ‘บังคับเลือกตั้ง’ (Compulsory Election) ผลก็คือ เราเหมือนนกที่ถูกถีบออกจากกรงหนึ่ง แล้วโผผินเข้าสู่อีกกรงหนึ่ง ที่เห็นได้ชัดมากๆ ก็คือกรงของประชานิยม

          ต้องบอกกันก่อนนะครับว่าประชานิยมไม่ได้มีแต่ข้อเสีย ข้อดีของมันก็มี ตัวอย่างเช่น นโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรคนั้น ใครก็ต้องยอมรับว่าดี หรือนโยบายโอท็อป-ผมก็ว่าดีมาก เพราะช่วยให้ชนบทกลับมา ‘มีเรี่ยวแรง’ อีกครั้งหนึ่ง เป็นการกระจายอำนาจอย่างเป็นรูปธรรม ถึงเลือดถึงเนื้อ ถึงเศรษฐกิจ ไม่ใช่โยนอำนาจลอยๆ ไปให้เฉยๆ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีเส้นบางๆ ของการ ‘ฉวยใช้’ ประชานิยมเพื่อหาคะแนนเสียงโดยไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้หรือเหมาะสม เช่น นโยบายรถคันแรกหรือนโยบายจำนำข้าวด้วย

แต่จะอย่างไรก็ตาม เราจะเห็นได้ว่า สังคมไทยนั้นไม่เคย ‘หลุด’ หรือ ‘ข้ามพ้น’ ออกมาจาก ‘ระบอบอำนาจนิยม’ เลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจนิยมแบบไหนก็ตาม นั่นเป็นเหตุผลที่เรามัก ‘มอบอำนาจ’ ให้กับใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างถวายหัว จากนั้นก็สามารถ ‘เหยียด’ คนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกับตัวเองได้อย่างอัศจรรย์พันลึก

บอกตรงๆ นะครับ ผมคิดว่า ‘ระบอบทักษิณ’ (ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่พูดคำนี้จะมี ‘ความหมาย’ ตรงกันทุกคนไปหรือเปล่า) ถือกำเนิดขึ้นมาได้เพราะความชาญฉลาดในการหาช่องทางที่เป็นประโยชน์จาก Electoralism ที่มีพื้นฐานตรงความคุ้นชินกับระบอบอำนาจนิยมของสังคมไทยนี่แหละครับ ครั้นเมื่อระบอบทักษิณสามารถสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นอีก ‘กรง’ หนึ่งได้โดยผ่านหน้ากากของความเป็นประชาธิปไตย (พูดแบบนี้ไม่น่าจะผิดเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อดูจากการลักหลับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ) อำนาจนิยมเก่าของสังคมก็เห็นความจำเป็นที่จะต้องยื่นมือเข้ามา ‘จัดการ’ ทำอะไรสักอย่างอีกรอบหนึ่ง โดยกล่าวว่าเป็นการช่วยให้สังคมไทยรอดพ้นจากเงื้อมมือของระบอบทักษิณ

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยครับ ที่คนที่มีอำนาจนำเดิมในสังคมจะลุกขึ้นมาบอกว่า ‘ทุกคน’ ไม่ควรไปเลือกตั้ง แต่ควรจะสถาปนาการปฏิรูปเสียก่อน ทั้งนี้ก็เพราะกลุ่มอำนาจเดิมในสังคมเคยเป็นผู้ ‘มอบ’ อำนาจในการเลือกตั้ง (ผ่านการ ‘บังคับเลือกตั้ง’ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจนั้น) มาก่อนแล้ว เมื่อให้ได้ก็ริบคืนได้ ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรทั้งสิ้น เพราะทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็คือการพยายามรักษา Status Quo ของตัวเอง รักษาอำนาจเอาไว้ในกลุ่มของตนเอง เช่น ใช้วิธี Exclude หรือกีดกันคนที่ตนเห็นว่าโง่ ไร้การศึกษา เป็นคนชนบท ฯลฯ (โดยเห็นว่าคนเหล่านี้คือฐานเสียงของอีกฝ่าย) ออกจากการเลือกตั้ง หรือทำให้คนบางคนมีสิทธิในการเลือกตั้งมากหรือน้อยกว่าคนอื่น

แต่ที่อยากชวนกระตุกขากันคิดแรงๆ ก็คือ เฮ้ย! คนไทยไม่ได้มี ‘สิทธิ’ ในการเลือกตั้งมาสิบกว่าปีแล้วนะครับ (ถ้านับจากรัฐธรรมนูญปี 2540) สิ่งที่เรามีคือ ‘หน้าที่’ ที่เกิดจากการเฆี่ยนแส้บังคับของสำนึกอำนาจนิยมต่างหาก!


ในเวลาเดียวกัน คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้ลิ้มรสอำนาจใหม่ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วสองสามครั้ง ก็อยากรักษาการเลือกตั้งนั้นเอาไว้ให้ ‘เหมือนเดิม’ โดยไม่ต้องมีการ ‘ปฏิรูป’ อะไร ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเห็นว่าการเลือกตั้งคือเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ในการรักษา Status Quo (ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ไม่กี่ปีนี้) ของอำนาจที่เกิดขึ้นใหม่นั่นเอง

ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เรากำลังอยู่ในสังคมที่ต่างฝ่ายต่างอยากรักษา Status Quo ของตัวเองเอาไว้ โดยต่างฝ่ายต่างก็เห็นว่าตน ‘ชอบธรรม’ ทั้งคู่ ฝ่ายแรกที่เป็นกลุ่มอำนาจเดิมนั้นคิดว่าตัวเองหวังดีต่อประเทศจริงๆ เห็นว่า ‘อำนาจ’ ควรอยู่ในมือของ ‘ปราชญ์’ หรือ ‘ผู้รู้’ (ที่ไม่รู้ว่ารู้จริงหรือมั่วนิ่ม) เพื่อทำให้ประเทศเดินหน้าเข้าสู่ประชาธิปไตย ซึ่งจะว่าไปก็เป็นวิธีคิดเดียวกับอริสโตเติล เพราะฉะนั้น จะต้อง ‘ปฏิรูป’ ก่อนเลือกตั้งให้ได้ แต่ปัญหาของวิธีคิดนี้ก็คือ มันละเลยหลักการสำคัญข้อแรกสุดของประชาธิปไตยไป นั่นคือหลักความเสมอภาค คำถามก็คือ-แล้วเราจะเดินหน้าในแนวทางนี้ไปเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร มันเหมือนกลัดกระดุมเสื้อผิดตั้งแต่เม็ดแรก แล้วจะติดกระดุมเม็ดต่อไปให้ถูกทั้งหมดได้หรือ

ในเวลาเดียวกัน อีกฝ่ายหนึ่งก็ยึดแนวคิดที่ว่า การเลือกตั้งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของประชาธิปไตย แต่กลับไม่ค่อยเห็นฝ่ายหลังเสนอแนวคิด ‘ปฏิรูป’ อะไรเลย (ถ้าพิจารณาจากการที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลในแต่ละครั้ง จะเห็นได้ชัดว่าไม่มีความตั้งใจในการตั้ง ‘คณะปฏิรูป’ ใดๆ ขึ้นมาเพื่อ ‘เปลี่ยนโครงสร้าง’ ของอำนาจในสังคมเลย จะมีก็ตอนหลังๆ ที่ถูกบีบเท่านั้น สิ่งที่มุ่งเน้นมากกว่าก็คือการสร้างนโยบายประชานิยมต่างๆ) จึงเห็นได้ชัดว่าหลายคนในฝ่ายนี้ (อาจไม่ใช่ทั้งหมด) ใช้การเลือกตั้งเป็นเพียง ‘เครื่องมือ’ ในการรักษาอำนาจเท่านั้น ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับการกลัดกระดุมเม็ดแรกถูก (พอให้เห็นว่าใส่เสื้อประชาธิปไตย) แต่เสร็จแล้วก็ปล่อยเสื้อให้ค้างๆ คาๆ เอาไว้อย่างนั้น ไม่คิดจะกลัดเม็ดต่อไป เพราะมี ‘อำนาจ’ บางอย่างมาค้ำเค้นเอาไว้ ทำให้ต้องเปลือยร่างครึ่งๆ กลางๆ เพื่อผลประโยชน์บางอย่างที่ยากจะมองเห็น จึงไม่อาจใส่เสื้อประชาธิปไตยได้สำเร็จเสร็จสิ้นเช่นเดียวกัน

           ทั้งหมดนี้เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นว่า ประชาธิปไตยครึ่งๆ กลางๆ ที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจากสำนึกอำนาจนิยม (ไม่ว่าจะเป็นฝั่งไหน) มันก่อให้เกิดผลที่น่าขัน (และขมขื่น) อะไรขึ้นมาบ้างก็เท่านั้น

           เขียนโดย : โตมร ศุขปรีชา
           ที่มา : www.thaipublica.org

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่