ผมบอกตรงๆครับ หลายคนอาจจะมองว่าผมป่วยทางจิตนะที่ผมคิดและให้คำปรึกษาเพื่อนแบบนี้
คือ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนผมมันเล่าทุกอย่างที่มันอึดอัดให้ผมฟังและขอปรึกษาในวันหนึ่งที่เรานั้งกินเหล้าด้วยกัน
เพื่อนผมมันบอกว่ามันเริ่มรู้สึกตัวว่ามันหลงรักน้องสาวของมัน เมื่อ 3ปีก่อน ทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมมันถึงปฏิเสธผู้หญิงทุกคนที่ผมหามาให้มันลองคบหา
ผมเลยถามมันไปว่าแล้วน้องสาวของมันคิดแบบเดียวกับมันไหม มันก็ตอบว่าไม่แน่ใจเพราะการแสดงออกของน้องสาวมันไม่ชัดเจน ซึ่งผมก็เข้าใจว่าเพราะอะไร เพราะผมสังเกตุคู่นี้มานานแล้วว่ามันมีปฏิกริยาแปลกๆเกินกว่าคำว่าพี่น้อง ถึงทั้งคู่จะพยายามปกปิดก็เถอะ
จากนั้นผมเลยทำตัวเป็นพวกชอบสอดและหาเวลาที่จะพบกับน้องสาวมัน เพื่อที่จะดูว่าน้องสาวมันคิดแบบเดียวกับมันไหม หลังจากได้ลองดูหลายครั้งผมก็ได้คำตอบและทำให้ผมอิจฉาสองคนนี้มากๆ ยิ่งผมสัมผัสความสัมพันธ์ของสองคนนี้เท่าไรมันยิ่งทำให้ผมอิจฉา เพราะผมได้เห็นความรักที่มีให้กันอย่างบริสุทธิ์ใจ
ของทั้งสองคน มันเป็นความรักแบบที่ผมรู้สึกว่ามันหาได้ยากเหลือเกินในสังคมปัจจุบัน
หลังจากนั้นเพื่อนผมก็ขอคำปรึกษาผมอีกครั้ง มันบอกว่ามันไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกและความสัมพันธ์ของมันและน้องสาว มันอึดอัดที่จะต้องปกปิดความสัมพันธ์แบบนี้ สิ่งที่มันกลัวคือคำวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมรอบตัวมันหากรู้ความสัมพันธ์ของมันและน้อง มันกลัวทุกคนจะมองว่ามันป่วยทางจิตที่คิดอะไรกับน้องตัวเอง
ผมเลยถามมันไปว่า "แล้วเอ็งรักน้องเอ็งแค่ไหน เอ็งพร้อมไหมที่รับผิดชอบชีวิตเขา พร้อมไหมที่ดูแลเค้า พร้อมไหมที่จะรักและปกป้องเค้าด้วยทุกอย่างที่มี"
มันตอบผมว่า "พร้อม"
ซึ่งผมก็ได้เห็นการกระทำของมันก่อนหน้านี้แล้ว ผมเลยบอกมันไปว่า "ไม่ต้องกลัวหรอกว่าใครเขาจะว่าป่วยทางจิตถ้ารักใครสักคนด้วยความจริงใจแบบนี้ แต่คนที่ป่วยคือคนที่ไม่เข้าใจ ถ้าเทียบกันแล้ว ไอ้พวกที่รักกันแบบฉาบฉวย บอกว่ารักผู้หญิงเพียงเพราะเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นสวย คบกันแล้วบอกว่ารักกันเพียงเพื่อสนอง sex คบหาแต่งงานกันเพียงเพื่อผลประโยชน์ บอกว่ารักกันแทบเป็นแทบตายแต่ไม่กล้าเสียสละอะไรเพื่อกันเลย พวกนั้นต่างหากที่ป่วย"
มันเลยบอกผมว่าถ้ามันกับน้องยังคบกันไปแบบนี้มันกลัวน้องมันจะไม่มีความสุข
ผมเลยบอกมันว่า ถ้าน้องมันรักมัน นั้นหมายถึงความสุขของน้องคือการที่ได้คบกับมัน มีความสุขที่ได้ร่วมใช้ชีวิตกับมันไม่ว่าเวลาทุกข์หรือสุข แต่สิ่งที่ทำให้น้องมันเป็นทุกข์จริงๆ คือมันอ่อนแอและยอมแพ้ เพียงเพราะกลัวเสียงวิจารณ์จากม่านประเพณีงี่เง่าของสังคมที่ใครก็ไม่รู้บัญญัติ
ตอนนี้ทั้งสองคนก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่ต่างประเทศแล้วครับยังรักกันดี และเริ่มสร้างครอบครัวแล้ว ซึ่งผมเองก็ยังคงอิจฉาสองคนนี้อยู่เลยและที่ผมอิจฉามากคือพ่อแม่ของมันเข้าใจ
ซึ่งที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าทั้งที่มันผ่านมาซักพักใหญ่ๆ แล้ว เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองป่วยทางจิตรหรือเปล่านะที่มองว่าม่านประเพณีของสังคมในบางเรื่องมันดูงี่เง่ามากๆ (ผมเข้าใจนะว่าถ้าพี่กับน้องมีลูกด้วยกันอาจทำให้ลูกไม่สมประกอบแต่มันก็มีตั้งหลายวิธีหนิครับที่จะมีลูก)
สำหรับผมแล้ว ไม่ว่า หญิงรักหญิง ชายรักชาย พีรักน้อง ญาติรักญาติ ครูรักลูกศิษย์ หรือใครจะรักใครก็ตาม ผมว่ามันไม่มีความรักแบบไหนเลยที่ผิดหากมันเกิดมาจากความบริสุทธิ์ใจ ความจริงใจ
ผมว่าผมอาจจะโดนด่าก็ได้จากรูปแบบความคิดของผมที่มันค่อนข้างแหกคอกและไม่เคารพในประเพณี
แต่ผมยินดียอมรับทุกความคิดเห็นนะครับ
เมื่อเพื่อนผมและน้องสาวของมันรักกัน ผมจึงเลือกให้คำปรึกษาจากความคิดแหกคอกป่วยๆของผม
คือ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนผมมันเล่าทุกอย่างที่มันอึดอัดให้ผมฟังและขอปรึกษาในวันหนึ่งที่เรานั้งกินเหล้าด้วยกัน
เพื่อนผมมันบอกว่ามันเริ่มรู้สึกตัวว่ามันหลงรักน้องสาวของมัน เมื่อ 3ปีก่อน ทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมมันถึงปฏิเสธผู้หญิงทุกคนที่ผมหามาให้มันลองคบหา
ผมเลยถามมันไปว่าแล้วน้องสาวของมันคิดแบบเดียวกับมันไหม มันก็ตอบว่าไม่แน่ใจเพราะการแสดงออกของน้องสาวมันไม่ชัดเจน ซึ่งผมก็เข้าใจว่าเพราะอะไร เพราะผมสังเกตุคู่นี้มานานแล้วว่ามันมีปฏิกริยาแปลกๆเกินกว่าคำว่าพี่น้อง ถึงทั้งคู่จะพยายามปกปิดก็เถอะ
จากนั้นผมเลยทำตัวเป็นพวกชอบสอดและหาเวลาที่จะพบกับน้องสาวมัน เพื่อที่จะดูว่าน้องสาวมันคิดแบบเดียวกับมันไหม หลังจากได้ลองดูหลายครั้งผมก็ได้คำตอบและทำให้ผมอิจฉาสองคนนี้มากๆ ยิ่งผมสัมผัสความสัมพันธ์ของสองคนนี้เท่าไรมันยิ่งทำให้ผมอิจฉา เพราะผมได้เห็นความรักที่มีให้กันอย่างบริสุทธิ์ใจ
ของทั้งสองคน มันเป็นความรักแบบที่ผมรู้สึกว่ามันหาได้ยากเหลือเกินในสังคมปัจจุบัน
หลังจากนั้นเพื่อนผมก็ขอคำปรึกษาผมอีกครั้ง มันบอกว่ามันไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกและความสัมพันธ์ของมันและน้องสาว มันอึดอัดที่จะต้องปกปิดความสัมพันธ์แบบนี้ สิ่งที่มันกลัวคือคำวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมรอบตัวมันหากรู้ความสัมพันธ์ของมันและน้อง มันกลัวทุกคนจะมองว่ามันป่วยทางจิตที่คิดอะไรกับน้องตัวเอง
ผมเลยถามมันไปว่า "แล้วเอ็งรักน้องเอ็งแค่ไหน เอ็งพร้อมไหมที่รับผิดชอบชีวิตเขา พร้อมไหมที่ดูแลเค้า พร้อมไหมที่จะรักและปกป้องเค้าด้วยทุกอย่างที่มี"
มันตอบผมว่า "พร้อม"
ซึ่งผมก็ได้เห็นการกระทำของมันก่อนหน้านี้แล้ว ผมเลยบอกมันไปว่า "ไม่ต้องกลัวหรอกว่าใครเขาจะว่าป่วยทางจิตถ้ารักใครสักคนด้วยความจริงใจแบบนี้ แต่คนที่ป่วยคือคนที่ไม่เข้าใจ ถ้าเทียบกันแล้ว ไอ้พวกที่รักกันแบบฉาบฉวย บอกว่ารักผู้หญิงเพียงเพราะเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นสวย คบกันแล้วบอกว่ารักกันเพียงเพื่อสนอง sex คบหาแต่งงานกันเพียงเพื่อผลประโยชน์ บอกว่ารักกันแทบเป็นแทบตายแต่ไม่กล้าเสียสละอะไรเพื่อกันเลย พวกนั้นต่างหากที่ป่วย"
มันเลยบอกผมว่าถ้ามันกับน้องยังคบกันไปแบบนี้มันกลัวน้องมันจะไม่มีความสุข
ผมเลยบอกมันว่า ถ้าน้องมันรักมัน นั้นหมายถึงความสุขของน้องคือการที่ได้คบกับมัน มีความสุขที่ได้ร่วมใช้ชีวิตกับมันไม่ว่าเวลาทุกข์หรือสุข แต่สิ่งที่ทำให้น้องมันเป็นทุกข์จริงๆ คือมันอ่อนแอและยอมแพ้ เพียงเพราะกลัวเสียงวิจารณ์จากม่านประเพณีงี่เง่าของสังคมที่ใครก็ไม่รู้บัญญัติ
ตอนนี้ทั้งสองคนก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่ต่างประเทศแล้วครับยังรักกันดี และเริ่มสร้างครอบครัวแล้ว ซึ่งผมเองก็ยังคงอิจฉาสองคนนี้อยู่เลยและที่ผมอิจฉามากคือพ่อแม่ของมันเข้าใจ
ซึ่งที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าทั้งที่มันผ่านมาซักพักใหญ่ๆ แล้ว เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองป่วยทางจิตรหรือเปล่านะที่มองว่าม่านประเพณีของสังคมในบางเรื่องมันดูงี่เง่ามากๆ (ผมเข้าใจนะว่าถ้าพี่กับน้องมีลูกด้วยกันอาจทำให้ลูกไม่สมประกอบแต่มันก็มีตั้งหลายวิธีหนิครับที่จะมีลูก)
สำหรับผมแล้ว ไม่ว่า หญิงรักหญิง ชายรักชาย พีรักน้อง ญาติรักญาติ ครูรักลูกศิษย์ หรือใครจะรักใครก็ตาม ผมว่ามันไม่มีความรักแบบไหนเลยที่ผิดหากมันเกิดมาจากความบริสุทธิ์ใจ ความจริงใจ
ผมว่าผมอาจจะโดนด่าก็ได้จากรูปแบบความคิดของผมที่มันค่อนข้างแหกคอกและไม่เคารพในประเพณี
แต่ผมยินดียอมรับทุกความคิดเห็นนะครับ