+++ อวสานแท็บเล็ต 2.4 ล้านเครื่อง ซากขยะที่รอวันกำจัด +++



ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากสารพัดแกดเจ็ตไอที กำลังเป็นปัญหาระดับชาติ ส่งผลให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
ต้องหามาตรการในการจัดการขยะเหล่านี้เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากมลพิษและสารเคมีที่เกิดจากการทำลาย
เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์

หนึ่งในมาตรการจัดการ คือการเร่งออกร่าง  พ.ร.บ.จัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และซากผลิตภัณฑ์
อื่น โดยวันนี้ คพ.จะจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากเครือข่ายภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เบื้องต้น คพ.ได้จัด
ทำร่างกฎหมายจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และซากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมเสนอ
คณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

สำหรับเนื้อหาในร่างกฎหมายดังกล่าว กำหนดให้มีคณะกรรมการจัดการซากผลิตภัณฑ์คอยตรวจสอบดูแล การควบคุม
ผลิตภัณฑ์ การกำหนดผลิตภัณฑ์ที่ถูกควบคุม การควบคุมผู้ผลิตและจัดจำหน่าย การรับคืน การจัดเก็บค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์
การจัดการซาก การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษ และมีการช่วยเหลือด้านภาษี หรือค่าธรรมเนียมในอัตราพิเศษ และมี
บทลงโทษทั้งจำคุกและโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นถึงห้าแสนบาท

หนึ่งในอุปกรณ์ที่ถูกนิยามว่าเป็น "ขยะอิเล็กทรอนิกส์" ที่สร้างปัญหาให้กับระบบการจัดการ ก็คือ "แท็บเล็ตนักเรียน" ตาม
โครงการแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ถูกคณะรักษาความสงบแห่ง
ชาติ ยกเลิกไปแล้ว

"แท็บเล็ต" ที่เคยเป็นนโยบายติดอาวุธทางปัญญาในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่วันนี้กลับกลายเป็นซากขยะและมลพิษที่กำลังสร้าง
ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

ประเมินกันว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มีการแจกแท็บเล็ตให้กับเด็กนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศไปไม่ต่ำกว่า 2.4 ล้านเครื่อง หรือ
คิดเป็นงบประมาณ 7,000 ล้านบาท และตลอดเวลาของการแจกแท็บเล็ต มีปัญหาตามมาหลายเรื่อง ทั้งการใช้งานที่ค่อนข้าง
ช้าเมื่อบรรจุเนื้อหาลงไปมาก ตามมาด้วยการสัมผัสหน้าจอก็เริ่มตอบสนองน้อยลง รวมถึงแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพเร็ว


ปัจจุบัน แบตเตอรี่ของแท็บเล็ตล็อตแรก 8.6 แสนเครื่อง เริ่มหมดอายุการใช้งาน และเมื่ออยู่นอกเหนือเงื่อนไขการประกัน
หากยังจะใช้งานต่อไปโรงเรียนแต่ละแห่งจะต้องสำรวจค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ เพื่อเสนอของบประมาณซ่อมแซมเอง
โดยสนนราคาแบตเตอรี่แต่ละเครื่อง อยู่ที่ 500 บาท

แท็บเล็ตซึ่งมีสถานะเป็นครุภัณฑ์จากโรงเรียนเช่นเดียวกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ ศธ.จัดหาให้โรงเรียนทั่วๆ ไป กำลังกลายเป็น
อุปกรณ์ที่ไม่เป็นที่ต้องการ เด็กนักเรียนเริ่มหมดความอยากรู้อยากเห็น รวมถึงหมดสนุกเพราะตัวเครื่องทำงานช้า

ส่วนเนื้อหาและแอพพลิเคชั่นที่บรรจุไว้ในเครื่อง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องการเรียน ซึ่งก็ทดแทนหนังสือเรียนหรือสื่ออื่นๆ ที่สะดวก
กว่าไม่ได้ ทำให้แท็บเล็ตจำนวนมากกว่า 8.6 แสนเครื่องในล็อตแรก ถูกเก็บทิ้งไว้ในตู้ต้องรอวันให้ ศธ.ออกมาประกาศ
มาตรการที่ชัดเจนในการจัดการเรื่องนี้

วิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ระบุว่า ปีที่ผ่านมามีขยะจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ประมาณ 2.2 ล้านชิ้น โดย
มีแท็บเล็ต ซึ่งมีอายุการใช้งาน 3-5 ปี และอุปกรณ์ส่วนใหญ่เสื่อมสภาพแล้ว มากกว่า 5 แสนเครื่อง มีน้ำหนักรวมทั้งหมด 260 ตัน

"สารตะกั่วจากหลอดรังสีแคโทด ปะเก็น โลหะบัดกรีบนแผงวงจร จะทำลายระบบประสาทส่วนกลางและคู่ขนาน รวมถึงระบบ
โลหิต ขณะที่ปรอทในสวิตช์และจอภาพแบบแบน หากได้รับในปริมาณสูงจะส่งผลต่อสมอง ตับ ไต ส่วนแคดเมียมจากแผง
วงจร แบตเตอรี่ และจอภาพแบบเก่า หากสะสมในร่างกายมากๆ จะทำให้เป็นโรคไต กระดูกผุกร่อน รวมทั้งสารเคมีอีกสารพัด
ชนิด ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างรุนแรง"


อธิบดี คพ. บอกอีกว่า "แท็บเล็ตแจกนักเรียน" จะต้องตกลงกับผู้ค้าเรื่องมาตรการในการเก็บรวบรวมส่วนที่ใช้งานไม่ได้ เพื่อ
เข้าสู่กระบวนการกำจัดอย่างเป็นระบบ ซึ่ง ร่าง พ.ร.บ.ที่กำลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณา จะเป็นประโยชน์ทันที เนื่องจากจะ
สามารถเพิ่มความรับผิดชอบให้ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ให้มีกระบวนการรวบรวมสินค้าคืน ซึ่ง
ประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่งบังคับในเรื่องนี้ จึงเป็นระเบียบที่บริษัทผู้ผลิต ที่มีสินค้ากลุ่มนี้ขายทั่วโลกคุ้นเคยดีอยู่แล้ว


ทั้งนี้ ในอนาคตอันใกล้ คพ.เตรียมเร่งผลักดัน กฎกระทรวงอีก 4 เรื่อง คือ 1.กฎกระทรวงการคัดแยก เก็บขน และกำจัดขยะมูล
ฝอย 2.กฎกระทรวงว่าด้วยสุขลักษณะการจัดการมูลฝอยทั่วไป 3.กฎกระทรวงอัตราค่าธรรมเนียมการเก็บขน และกำจัดขยะมูล
ฝอยและ 4.ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการขนและการกำจัดขยะมูลฝอยติดเชื้อ สำหรับโรงพยาบาลและสถาน
บริการสาธารณสุขทุกประเภทและทุกขนาด รวมถึงยกร่างกฎหมายฉบับใหม่คือ พ.ร.บ.การจัดการขยะแห่งชาติ พ.ศ....
ซึ่งจะสามารถทำให้จัดการขยะได้ครอบคลุมทั้งระบบ

ที่มา posttoday.com
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่