เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ความรักของคนๆหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ชายธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรที่เพียบพร้อมซักอย่าง [หล่อ เท่ หุ่นดี ความสามารถรอบด้าน ฐานะดี เก่ง คล่องแคล่ว] สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมของผม แต่ผมนั้นไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาด นี่เป็นเพียงพจนานุกรมเล่มบางๆของผมเอง
เรื่องราวความรักที่ผมจะเล่านี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อครั้งผมที่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ผมมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเราเริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อนห่างๆเรียนในห้องเดียวกัน จนกระทั่งเรามาสนิทกัน จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้ อาจเป็นเพราะผมไม่มีมอเตอร์ไซด์หล่ะมั้ง? 5555+ ประจวบเหมาะกับการที่เธอมีมอไซด์แต่ไม่ชอบขับเอง ผมจึงได้เป็นสารถีให้กับเธอ เรียกได้ว่าไปไหนมาไหนจะต้องตัวติดกัน ก็รถมันเป็นรถของเธอนี่หน่า ไม่ว่าจะไปไหนผมก็ต้องบริการเธอในฐานะที่ผมเป็นคนอาศัยรถเธอขับขี่ เราสองคนจึงสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว และก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาก ถึงขนาดที่เธอเรียกผมใช้ อีนำหน้าชื่อได้ เธอเป็นคนชอบเที่ยว เฮฮา ตลก ร่าเริง อาจจะดูเอาแต่ใจเล็กๆ แต่เราก็ไปกันได้อย่างเพื่อนสนิท ช่วงที่ผมเฮิร์ทจากแฟนเก่า ผมก็ได้คุยกับเธอนี่แหละ มีอะไรก็ระบาย เล่าบอกเธออยู่หลายครั้ง เธอก็ปลอบผมและให้กำลังใจอยู่เสมอ เราต่างคนต่างก็ใช้ชีวิตกันมาอย่างเพื่อนปกติ แต่ละคนพอเห็นใครถูกใจก็มีปลื้มมีชอบเป็นธรรมดาตามประสาคนโสด แต่ก็ไม่ได้มีใครคิดอะไรจริงจังกับคนที่ชอบที่หมายปอง เพราะอยู่แบบนี้ มีอิสระเสรีในชีวิต มีเพื่อนคอยอยู่ข้างๆมันก็มีความสุขตามประสาเด็กกรุงที่ไปอยู่ในมหาลัยต่างจังหวัดแล้วหล่ะครับ
วันคืนที่มหาลัยหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากเด็กปี 2 สู่เด็กปี 4 ที่ใกล้จะจบการศึกษา มีอยู่วันหนึ่งผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจไม่ทราบ ผมทะเลาะได้กับเธอ จริงๆมันก็ตลกนะ คือเหมือนกับว่าผมล้อผมแซวเธอเล่นๆ แต่เธอกลับดูจริงจังกับผม ในขณะที่มีเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่อีกมากก็ล้อก็แซวเหมือนกัน แต่ทำไมกลับเป็นผมที่โดนเธอดุอยู่คนเดียว ผมเลยแอบรู้สึกน้อยใจเล็กๆ และไม่พูดกับเธอตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ผ่านไป 7 วันผมก็ยังไม่พูดกับเธอ จนมีวันนึงเธอร้องไห้ออกมาในชั้นเรียน เธอคงรู้สึกไม่เข้าใจ และกลัวเสียเพื่อนขี้น้อยใจอย่างผมไปกระมัง ผมจึงลดละความเห็นแก่ตัวของผม และโทรชวนเธอไปกินข้าวเย็นกันในวันนั้น ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงเธอดูแปลกใจ และดูดีใจในเวลาเดียวกัน ที่ร้านอาหารบรรยากาศช่างดีอะไรอย่างนี้ อากาศเย็นๆร้านนั่งชิว กับอาหารเบาๆและของทานเล่น เมื่อพบหน้ากันผมเขินเธอมาก คนอะไรจะออกอาการเขินกับเพื่อนได้วะ ผมคิดในใจ แต่ที่รู้ๆคือหน้าผมร้อนผ่าว คำพูดดูตะกุกตะกัก “รู้เปล่าว่าทำไมเค้าถึงไม่คุยกับแก” ผมเริ่มพูด // “อื้ออ ไม่รู้อ่ะ งงอยู่เหมือนกัน” เธอกล่าวตอบ แล้วผมก็ได้เล่าเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกน้อยใจให้เธอฟัง เธอเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แล้วก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร ความรู้สึกพิเศษเกินกว่าเพื่อนที่ผมมีให้เธอมันเริ่มจากตอนนั้น
หลังจากนั้นมาอีกเพียงไม่กี่วัน ผมจึงได้มีโอกาสบอกกับเธอว่าผมชอบเธอ ผมพูดคำว่ารักกับเธอ ซึ่งจริงๆแล้วคำๆนี้ผมไม่เคยพูดกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เพราะผมเป็นคนขี้อายเอามากๆ กลัวนั่นกลัวโน่นไปซะหมด เธอยังไม่รับรักผมหรอกครับ ด้วยความที่เราเป็นเพื่อนสนิทกัน กอปรกับที่เธอเคยผิดหวังกับความรักเก่าๆมามาก และเธอก็ยังไม่เชื่อว่า คำว่ารักของผมมาจากความรู้สึกจริงๆ หรือแค่ความผูกพันกันแน่ แต่ทว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงวันวาเลนไทน์ เมื่อถึงวันนั้นผมได้ทำการ์ดอวยพรวาเลนไทน์ทางโฟโต้ช้อปเป็นรูปของเธอ 1 ใบแล้วเอาไปให้เธอ เธอดูดีใจมาก พร้อมกับบอกว่า “ของขวัญเดี๋ยวให้ตอนเย็นนะ” เมื่อถึงตอนเย็นผมรีบขับมอไซด์ไปที่หอพักของเธอ พร้อมกับโทรหาเธอ ดูเธออึ้งเหมือนกันที่ผมมาจริงในเวลาเย็นย่ำเช่นนั้น แล้วเธอก็ลงมาหาผมข้างล่าง “หลับตาสิ” เธอบอกกับผม แล้วเธอก็มอบสิ่งล้ำค่าที่พิเศษที่สุดให้กับผม เธอหอมแก้มข้างขวาของผม 1 ที ก่อนที่จะวิ่งกลับขึ้นหอไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่หน้าซักนิดผมก็ยังไม่ทันมองเห็น ผมนั่งอึ้งอยู่กับมอไซด์อยู่พักใหญ่ก่อนที่จะรวบรวมสติสตางค์ได้ แล้วผมก็ขับรถกลับหอด้วยใบหน้าที่ปลื้มปริ่ม ผมยิ้มไปตลอดทางเหมือนคนบ้า ดูแล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเธอคงไม่เคยมอบอะไรอย่างนี้ให้กับใครเป็นแน่ ผมแอบคิดอย่างเห็นแก่ตัว แล้วหลังจากวันนั้นไป ทุกอย่างระหว่างเราสองคนเบื้องหลังสายตาของคนอื่นๆที่มองไม่เห็น ไม่ได้อยู่ใกล้ชิด มันเปลี่ยนไปมาก เธอดูหึงผม ดูใส่ใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้กระทำมาก สำหรับผมแล้วหากจะเรียกเราว่าแฟนก็คงไม่ผิดนัก
วันเวลาผ่านไปราว 4-5 เดือน เราสองคนได้ไปฝึกงานด้วยกันในต่างประเทศ ช่วงเวลาที่นั่นก็เป็นไปอย่างปกติ มีทะเลาะกัน โกรธกัน งอนกันบ้าง แต่ในสายตาทุกคนฐานะเราคือเพื่อน ซึ่งฐานะจริงๆแล้วใครจะรู้ได้เล่า และแล้วในวันหนึ่งทุกๆอย่างก็จบลงโดยไม่ได้ยืดเยื้อเหมือนวันที่มันดำเนินมา เราสองคนทะเลาะกัน แล้วเราก็ได้โอกาสเคลียร์กันตรงๆ ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอตอนนั้น มันไม่เหมือนเดิมเท่าไหร่ เธอเป็นคนที่นิสัยผู้หญิง และขี้งอน ขี้หึงมาก เรียกได้ว่าถ้าใครไม่ได้คบกับเธออย่างผมคงไม่มีวันได้รู้จักสิ่งเหล่านี้จากเธออย่างแน่นอน ด้วยความคิดหุนหันพลันแล่น ด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความไม่อดทน หรือจะอะไรก็ช่างของผมเอง ความรู้สึกผมวันนั้นคือไม่เอาแล้วพอแล้วเครียดเหนื่อยมามากพอแล้ว ผมบอกเลิกเธอในวันนั้น มันโคตรเจ็บปวดสำหรับเธอ เธอร้องไห้อ้อนวอนผมและบอกว่า “เค้ารักแกไปแล้ว ถ้าเราเปิดตัวคบกันต่อจากนี้ไป ได้ไหม?” ผมปฎิเสธเธออย่างเย็นชา เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผมโดนมา เราคุยกันเปิดใจกันในทุกเรื่อง สุดท้ายเธอขอกอดผมครั้งสุดท้าย มันโคตรเจ็บทั้งเธอและผม แต่ผมเลือกที่จะไม่ทนกับเรื่องอะไรแบบนี้อีกแล้ว จากนั้นมาผมพยายามที่จะขยายช่องว่างระหว่างเราออก ส่วนเธอเป็นผู้หญิงที่แกร่งที่สุดในชีวิตเท่าที่ผมรู้จักและสัมผัสได้ เธอเก็บความรู้สึกรักที่ได้ให้ผมมา ในวันที่ผมถอนมันออกไปได้อย่างเข้มแข็ง ยิ่งผมเห็นเธอผมก็ยิ่งสงสาร แต่ผมจะไม่เอาความสงสารเป็นบันไดในการกลับไปหาเธอ หากจะกลับไปต้องด้วยความรักและการยอมรับได้จริงๆเท่านั้น และจากนั้นมาไม่นานเราก็กลับมากรุงเทพ ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปตามทางของตน เราทั้งคู่เรียนจบกันแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอดีต ผมไม่อยากให้เธอต้องทุกข์และเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว จึงได้ทำสิ่งที่เห็นแก่ตัวและไร้หัวใจอย่างที่สุด ผมพยายามเย็นชาใส่เธอ ไม่พูดไม่คุยกันเท่าไหร่ ยิ่งในเฟสยิ่งไม่ค่อยได้ไปยุ่งอะไร แต่บางทีผมก็มีแอบดูสารทุกข์สุขดิบของเธอบ้าง อยากรู้ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั๊ย? มีครั้งหนึ่งที่ผมทักเธอไป ผมบอกเธอไปตรงๆว่า “เค้ารู้นะว่าแกยังมีความรู้สึกให้เค้าอยู่” เธอบอกมาว่า ถ้ารู้แล้ว เรากลับมาคุยกันอีกครั้งไม่ได้หรอ ผมรู้ว่าในใจเธอยังมีความรู้สึกกับผมอยู่ แม้ว่าเธอจะมีการมีงานที่ดีทำแล้ว และดูๆก็เหมือนจะมีความสุขกับชีวิตไปแล้ว เพราะงานของเธอทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้นมาก เธอมีทุกอย่างแม้แต่เลี้ยงดูแม่เธอก็ยังทำได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งคนตกงานและอยู่ไปวันๆอย่างผมไม่มีวันที่จะทำได้เลย สิ่งหนึ่งที่เหมือนเป็นคติประจำใจผมคือ “ผมจะไม่ยอมมีคนรักที่ฐานะดีกว่าผม และอยู่สูงเกินกว่าผม” หากเป็นยังงั้น ผมจะเอาอะไรไปดูแลเค้าหล่ะ นอกจากความรู้สึก ผมมีอะไรที่จะทำให้เค้าสบายทั้งกายและใจได้ ความรู้สึกหน่ะหรอ? ผมคิดอย่างเห็นแก่ตัว และเฝ้ามองเธอในฐานะดวงดาวที่ไกลแสนไกลออกไปจากตัวผมแล้ว เธอมีทุกอย่างแม้ว่างานจะบั่นทอนและเพิ่มความเครียดให้กับเธอ แต่ทุกอย่างที่เธอมีมันสูงเกินไปสำหรับคนไม่กล้าตัดสินใจ และไม่มีการงานทำอยู่ไปวันๆอย่างผม เพราะงั้นผมจึงได้ปฎิเสธเธอไปอีกครั้ง ซึ่งเท่ากับว่าผมปฎิเสธเธอไป 2 ครั้งแล้ว และครั้งนี่เองจึงทำให้เธอได้เลือกที่จะตัดความรู้สึกที่มีต่อผมให้ขาดไป
1 ปีผ่านไป ผมยังคงเป็นผู้ชายกากๆเตะฝุ่นไปวันๆเช่นเดิม ดูจะร่าเริงและอิสระไปกับความโสด ดูปลื้มคนนั้นชอบคนนี้ แต่ลึกๆแล้วทำไมไม่เลือกที่จะเริ่มต้นคุยกับใครซักคนก็ไม่รู้ แต่ที่เปลี่ยนไปคือความรู้สึก ทำไมผมรู้สึกคิดถึงเธอมากเลย ทั้งๆช่วงเวลาที่ผ่านมาผมเป็นห่วงเธอก็จริง แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าความผูกพันที่เราเคยมีตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็เลยอาจจะทำให้ผมยังห่วงสารทุกข์สุขดิบของเธออยู่ แต่สุดท้ายแล้วผมก็ไม่สามารถทนทิฐิ คติประจำใจ และความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้ “คนเราถ้ารักกันจริงๆ จะมาสนฐานะยากดีมีจนกันไปทำไม” เธอเป็นคนดีที่จะไม่มาสนใจผมเพราะผมเป็นแบบนี้หรอก ผมโทรไปหาเธอและบอกความในใจ มันอาจจะดูเหมือนว่าเธอเป็นของตายสำหรับผมที่จะมาก็มาจะไปก็ไป แต่ผมก็ขอลองที่จะบอกออกไป แน่นอนหล่ะว่าเธอไม่ยอมรับผมแน่นอน ความเชื่อใจที่ว่าผมรักเธอ ผมจะไม่ไปจากเธอไม่ได้อยู่ในหัวของเธออีกต่อไปแล้ว มันเปลี่ยนไปเป็นความไม่เชื่อใจ อีกทั้งยังมีรุ่นพี่อีกหลายคนเข้ามาแวะเวียนคอยดูแลเธอแต่เธอก็ยังไม่เลือกใคร และมอบโอกาสให้แก่ผมได้สู้เพื่อแสดงให้เห็นหัวใจที่รักจริงอีกครั้ง ผมคนนี้แหละ คนที่ทิ้งเธอไป คนที่เย็นชากับเธอ ทำให้เธอต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานมาเกือบปี จะว่ากันตรงๆผมก็คนเลวคนนึงสำหรับเธอโดยแท้
== บทเรียนจากความรัก == "อย่ายื้อถ้าไม่ไหว อย่าทนต่อไปถ้าไม่รู้สึก" ใครที่มีคนรักจงรักษาไว้ให้ดีครับ
เรื่องราวความรักที่ผมจะเล่านี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อครั้งผมที่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ผมมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเราเริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อนห่างๆเรียนในห้องเดียวกัน จนกระทั่งเรามาสนิทกัน จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้ อาจเป็นเพราะผมไม่มีมอเตอร์ไซด์หล่ะมั้ง? 5555+ ประจวบเหมาะกับการที่เธอมีมอไซด์แต่ไม่ชอบขับเอง ผมจึงได้เป็นสารถีให้กับเธอ เรียกได้ว่าไปไหนมาไหนจะต้องตัวติดกัน ก็รถมันเป็นรถของเธอนี่หน่า ไม่ว่าจะไปไหนผมก็ต้องบริการเธอในฐานะที่ผมเป็นคนอาศัยรถเธอขับขี่ เราสองคนจึงสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว และก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาก ถึงขนาดที่เธอเรียกผมใช้ อีนำหน้าชื่อได้ เธอเป็นคนชอบเที่ยว เฮฮา ตลก ร่าเริง อาจจะดูเอาแต่ใจเล็กๆ แต่เราก็ไปกันได้อย่างเพื่อนสนิท ช่วงที่ผมเฮิร์ทจากแฟนเก่า ผมก็ได้คุยกับเธอนี่แหละ มีอะไรก็ระบาย เล่าบอกเธออยู่หลายครั้ง เธอก็ปลอบผมและให้กำลังใจอยู่เสมอ เราต่างคนต่างก็ใช้ชีวิตกันมาอย่างเพื่อนปกติ แต่ละคนพอเห็นใครถูกใจก็มีปลื้มมีชอบเป็นธรรมดาตามประสาคนโสด แต่ก็ไม่ได้มีใครคิดอะไรจริงจังกับคนที่ชอบที่หมายปอง เพราะอยู่แบบนี้ มีอิสระเสรีในชีวิต มีเพื่อนคอยอยู่ข้างๆมันก็มีความสุขตามประสาเด็กกรุงที่ไปอยู่ในมหาลัยต่างจังหวัดแล้วหล่ะครับ
วันคืนที่มหาลัยหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากเด็กปี 2 สู่เด็กปี 4 ที่ใกล้จะจบการศึกษา มีอยู่วันหนึ่งผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจไม่ทราบ ผมทะเลาะได้กับเธอ จริงๆมันก็ตลกนะ คือเหมือนกับว่าผมล้อผมแซวเธอเล่นๆ แต่เธอกลับดูจริงจังกับผม ในขณะที่มีเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่อีกมากก็ล้อก็แซวเหมือนกัน แต่ทำไมกลับเป็นผมที่โดนเธอดุอยู่คนเดียว ผมเลยแอบรู้สึกน้อยใจเล็กๆ และไม่พูดกับเธอตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ผ่านไป 7 วันผมก็ยังไม่พูดกับเธอ จนมีวันนึงเธอร้องไห้ออกมาในชั้นเรียน เธอคงรู้สึกไม่เข้าใจ และกลัวเสียเพื่อนขี้น้อยใจอย่างผมไปกระมัง ผมจึงลดละความเห็นแก่ตัวของผม และโทรชวนเธอไปกินข้าวเย็นกันในวันนั้น ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงเธอดูแปลกใจ และดูดีใจในเวลาเดียวกัน ที่ร้านอาหารบรรยากาศช่างดีอะไรอย่างนี้ อากาศเย็นๆร้านนั่งชิว กับอาหารเบาๆและของทานเล่น เมื่อพบหน้ากันผมเขินเธอมาก คนอะไรจะออกอาการเขินกับเพื่อนได้วะ ผมคิดในใจ แต่ที่รู้ๆคือหน้าผมร้อนผ่าว คำพูดดูตะกุกตะกัก “รู้เปล่าว่าทำไมเค้าถึงไม่คุยกับแก” ผมเริ่มพูด // “อื้ออ ไม่รู้อ่ะ งงอยู่เหมือนกัน” เธอกล่าวตอบ แล้วผมก็ได้เล่าเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกน้อยใจให้เธอฟัง เธอเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แล้วก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร ความรู้สึกพิเศษเกินกว่าเพื่อนที่ผมมีให้เธอมันเริ่มจากตอนนั้น
หลังจากนั้นมาอีกเพียงไม่กี่วัน ผมจึงได้มีโอกาสบอกกับเธอว่าผมชอบเธอ ผมพูดคำว่ารักกับเธอ ซึ่งจริงๆแล้วคำๆนี้ผมไม่เคยพูดกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เพราะผมเป็นคนขี้อายเอามากๆ กลัวนั่นกลัวโน่นไปซะหมด เธอยังไม่รับรักผมหรอกครับ ด้วยความที่เราเป็นเพื่อนสนิทกัน กอปรกับที่เธอเคยผิดหวังกับความรักเก่าๆมามาก และเธอก็ยังไม่เชื่อว่า คำว่ารักของผมมาจากความรู้สึกจริงๆ หรือแค่ความผูกพันกันแน่ แต่ทว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงวันวาเลนไทน์ เมื่อถึงวันนั้นผมได้ทำการ์ดอวยพรวาเลนไทน์ทางโฟโต้ช้อปเป็นรูปของเธอ 1 ใบแล้วเอาไปให้เธอ เธอดูดีใจมาก พร้อมกับบอกว่า “ของขวัญเดี๋ยวให้ตอนเย็นนะ” เมื่อถึงตอนเย็นผมรีบขับมอไซด์ไปที่หอพักของเธอ พร้อมกับโทรหาเธอ ดูเธออึ้งเหมือนกันที่ผมมาจริงในเวลาเย็นย่ำเช่นนั้น แล้วเธอก็ลงมาหาผมข้างล่าง “หลับตาสิ” เธอบอกกับผม แล้วเธอก็มอบสิ่งล้ำค่าที่พิเศษที่สุดให้กับผม เธอหอมแก้มข้างขวาของผม 1 ที ก่อนที่จะวิ่งกลับขึ้นหอไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่หน้าซักนิดผมก็ยังไม่ทันมองเห็น ผมนั่งอึ้งอยู่กับมอไซด์อยู่พักใหญ่ก่อนที่จะรวบรวมสติสตางค์ได้ แล้วผมก็ขับรถกลับหอด้วยใบหน้าที่ปลื้มปริ่ม ผมยิ้มไปตลอดทางเหมือนคนบ้า ดูแล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเธอคงไม่เคยมอบอะไรอย่างนี้ให้กับใครเป็นแน่ ผมแอบคิดอย่างเห็นแก่ตัว แล้วหลังจากวันนั้นไป ทุกอย่างระหว่างเราสองคนเบื้องหลังสายตาของคนอื่นๆที่มองไม่เห็น ไม่ได้อยู่ใกล้ชิด มันเปลี่ยนไปมาก เธอดูหึงผม ดูใส่ใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้กระทำมาก สำหรับผมแล้วหากจะเรียกเราว่าแฟนก็คงไม่ผิดนัก
วันเวลาผ่านไปราว 4-5 เดือน เราสองคนได้ไปฝึกงานด้วยกันในต่างประเทศ ช่วงเวลาที่นั่นก็เป็นไปอย่างปกติ มีทะเลาะกัน โกรธกัน งอนกันบ้าง แต่ในสายตาทุกคนฐานะเราคือเพื่อน ซึ่งฐานะจริงๆแล้วใครจะรู้ได้เล่า และแล้วในวันหนึ่งทุกๆอย่างก็จบลงโดยไม่ได้ยืดเยื้อเหมือนวันที่มันดำเนินมา เราสองคนทะเลาะกัน แล้วเราก็ได้โอกาสเคลียร์กันตรงๆ ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอตอนนั้น มันไม่เหมือนเดิมเท่าไหร่ เธอเป็นคนที่นิสัยผู้หญิง และขี้งอน ขี้หึงมาก เรียกได้ว่าถ้าใครไม่ได้คบกับเธออย่างผมคงไม่มีวันได้รู้จักสิ่งเหล่านี้จากเธออย่างแน่นอน ด้วยความคิดหุนหันพลันแล่น ด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความไม่อดทน หรือจะอะไรก็ช่างของผมเอง ความรู้สึกผมวันนั้นคือไม่เอาแล้วพอแล้วเครียดเหนื่อยมามากพอแล้ว ผมบอกเลิกเธอในวันนั้น มันโคตรเจ็บปวดสำหรับเธอ เธอร้องไห้อ้อนวอนผมและบอกว่า “เค้ารักแกไปแล้ว ถ้าเราเปิดตัวคบกันต่อจากนี้ไป ได้ไหม?” ผมปฎิเสธเธออย่างเย็นชา เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผมโดนมา เราคุยกันเปิดใจกันในทุกเรื่อง สุดท้ายเธอขอกอดผมครั้งสุดท้าย มันโคตรเจ็บทั้งเธอและผม แต่ผมเลือกที่จะไม่ทนกับเรื่องอะไรแบบนี้อีกแล้ว จากนั้นมาผมพยายามที่จะขยายช่องว่างระหว่างเราออก ส่วนเธอเป็นผู้หญิงที่แกร่งที่สุดในชีวิตเท่าที่ผมรู้จักและสัมผัสได้ เธอเก็บความรู้สึกรักที่ได้ให้ผมมา ในวันที่ผมถอนมันออกไปได้อย่างเข้มแข็ง ยิ่งผมเห็นเธอผมก็ยิ่งสงสาร แต่ผมจะไม่เอาความสงสารเป็นบันไดในการกลับไปหาเธอ หากจะกลับไปต้องด้วยความรักและการยอมรับได้จริงๆเท่านั้น และจากนั้นมาไม่นานเราก็กลับมากรุงเทพ ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปตามทางของตน เราทั้งคู่เรียนจบกันแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอดีต ผมไม่อยากให้เธอต้องทุกข์และเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว จึงได้ทำสิ่งที่เห็นแก่ตัวและไร้หัวใจอย่างที่สุด ผมพยายามเย็นชาใส่เธอ ไม่พูดไม่คุยกันเท่าไหร่ ยิ่งในเฟสยิ่งไม่ค่อยได้ไปยุ่งอะไร แต่บางทีผมก็มีแอบดูสารทุกข์สุขดิบของเธอบ้าง อยากรู้ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั๊ย? มีครั้งหนึ่งที่ผมทักเธอไป ผมบอกเธอไปตรงๆว่า “เค้ารู้นะว่าแกยังมีความรู้สึกให้เค้าอยู่” เธอบอกมาว่า ถ้ารู้แล้ว เรากลับมาคุยกันอีกครั้งไม่ได้หรอ ผมรู้ว่าในใจเธอยังมีความรู้สึกกับผมอยู่ แม้ว่าเธอจะมีการมีงานที่ดีทำแล้ว และดูๆก็เหมือนจะมีความสุขกับชีวิตไปแล้ว เพราะงานของเธอทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้นมาก เธอมีทุกอย่างแม้แต่เลี้ยงดูแม่เธอก็ยังทำได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งคนตกงานและอยู่ไปวันๆอย่างผมไม่มีวันที่จะทำได้เลย สิ่งหนึ่งที่เหมือนเป็นคติประจำใจผมคือ “ผมจะไม่ยอมมีคนรักที่ฐานะดีกว่าผม และอยู่สูงเกินกว่าผม” หากเป็นยังงั้น ผมจะเอาอะไรไปดูแลเค้าหล่ะ นอกจากความรู้สึก ผมมีอะไรที่จะทำให้เค้าสบายทั้งกายและใจได้ ความรู้สึกหน่ะหรอ? ผมคิดอย่างเห็นแก่ตัว และเฝ้ามองเธอในฐานะดวงดาวที่ไกลแสนไกลออกไปจากตัวผมแล้ว เธอมีทุกอย่างแม้ว่างานจะบั่นทอนและเพิ่มความเครียดให้กับเธอ แต่ทุกอย่างที่เธอมีมันสูงเกินไปสำหรับคนไม่กล้าตัดสินใจ และไม่มีการงานทำอยู่ไปวันๆอย่างผม เพราะงั้นผมจึงได้ปฎิเสธเธอไปอีกครั้ง ซึ่งเท่ากับว่าผมปฎิเสธเธอไป 2 ครั้งแล้ว และครั้งนี่เองจึงทำให้เธอได้เลือกที่จะตัดความรู้สึกที่มีต่อผมให้ขาดไป
1 ปีผ่านไป ผมยังคงเป็นผู้ชายกากๆเตะฝุ่นไปวันๆเช่นเดิม ดูจะร่าเริงและอิสระไปกับความโสด ดูปลื้มคนนั้นชอบคนนี้ แต่ลึกๆแล้วทำไมไม่เลือกที่จะเริ่มต้นคุยกับใครซักคนก็ไม่รู้ แต่ที่เปลี่ยนไปคือความรู้สึก ทำไมผมรู้สึกคิดถึงเธอมากเลย ทั้งๆช่วงเวลาที่ผ่านมาผมเป็นห่วงเธอก็จริง แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าความผูกพันที่เราเคยมีตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็เลยอาจจะทำให้ผมยังห่วงสารทุกข์สุขดิบของเธออยู่ แต่สุดท้ายแล้วผมก็ไม่สามารถทนทิฐิ คติประจำใจ และความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้ “คนเราถ้ารักกันจริงๆ จะมาสนฐานะยากดีมีจนกันไปทำไม” เธอเป็นคนดีที่จะไม่มาสนใจผมเพราะผมเป็นแบบนี้หรอก ผมโทรไปหาเธอและบอกความในใจ มันอาจจะดูเหมือนว่าเธอเป็นของตายสำหรับผมที่จะมาก็มาจะไปก็ไป แต่ผมก็ขอลองที่จะบอกออกไป แน่นอนหล่ะว่าเธอไม่ยอมรับผมแน่นอน ความเชื่อใจที่ว่าผมรักเธอ ผมจะไม่ไปจากเธอไม่ได้อยู่ในหัวของเธออีกต่อไปแล้ว มันเปลี่ยนไปเป็นความไม่เชื่อใจ อีกทั้งยังมีรุ่นพี่อีกหลายคนเข้ามาแวะเวียนคอยดูแลเธอแต่เธอก็ยังไม่เลือกใคร และมอบโอกาสให้แก่ผมได้สู้เพื่อแสดงให้เห็นหัวใจที่รักจริงอีกครั้ง ผมคนนี้แหละ คนที่ทิ้งเธอไป คนที่เย็นชากับเธอ ทำให้เธอต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานมาเกือบปี จะว่ากันตรงๆผมก็คนเลวคนนึงสำหรับเธอโดยแท้