ถ้าท่านไม่เชื่อแตงโมขนาดไหน ก็ขอให้ไม่เชื่อนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เรื่องนิรโทษกรรม มากกว่าร้อยเท่าพันทวีครับ

กระทู้คำถาม
จากข่าว  

"บวรศักดิ์" ถก แดงอีสาน ชู ออก "กม.อภัยโทษ" ยุติความขัดเเย้ง - ทุกฝ่ายต้องจบ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1423965353



เห็น "ตรงนี้" ที่นายบวรศักดิ์พูด  ก็มองถึงตับทะลุปอดซอดไส้เห็นทวารครับ

"นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีสภาพเป็นไข้รุม ความขัดแย้งเปรียบเป็นไข้ เราต้องรักษาไข้ ทิ้งไว้นานๆ ก็ช็อก
การรักษาเฉพาะไข้อย่างเดียวไม่พอ ต้องถามลงไปลึกๆ อะไรคือสาเหตุของไข้ หากไข้หายโรคไม่หาย ประเทศไทยก็กลับมาขัดแย้งอีก
คนเขียนรัฐธรรมนูญต้องมีเป้าหมาย เป็นไข้ต้องรักษา ความขัดแย้งต้องยุติ ประเทศจึงจะพ้นวิกฤติ

กำลังคุยกันอยู่ว่าต้องมีคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ สร้างบรรยากาศให้ปรองดองทั้งประเทศ
ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน คู่ขัดแย้ง 5 คน โปรดเกล้าฯ โดยพระมหากษัตริย์
มีอำนาจศึกษาหาทางออกความขัดแย้งจากงานศึกษาไว้แล้วของ คอป. สถาบันพระปกเกล้า และมหาวิทยาลัยต่างๆ
เป็นตัวกลางในการเจรจาหาข้อยุติกับคู่ขัดแย้งต่างๆ สร้างการเรียนรู้ และสุดท้ายเมื่อทุกฝ่ายยอมรับผิด
คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจเสนอให้รัฐบาลออกร่างกฎหมายอภัยโทษกับคนที่ให้ข้อเท็จจริง
เยียวยาผู้เสียหายและได้รับผล กระทบ ให้เวลาการทำงาน 5 ปี"




1. นายบวรศักดิ์รู้  ว่าประเทศไทยป่วยไข้  แต่ไม่ยอมพูดตรง ๆ ว่า  อะไรคือเชื้อโรค
2. อ้างสถาบันเพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้คณะกรรมการปรองดองที่จะตั้งขึ้น
3. สิ่งที่นาายบวรศักดิ์พูด ยังมองว่าประชาชนไม่เข้าใจในปัญหา
4. การซื้อเวลา 5 ปี  นี่คือสะพานส่งคนนายบวรศักดิ์และพวกสู่เป้าหมายที่ต้องการ  ปลอดภัย
    หลังจากนั้น  จะเกิดอะไรขึ้น  ลอยตัวแล้ว



บ้านเมืองมีปัญหาที่ชัดเจน  รู้โรค  รู้ปัญหา  แต่ไม่มีใครกล้าพูดความจริง
คนที่กล้าพูดความจริง  ต้องหนีกระเจิง  อยู่ไม่ได้

ที่อยู่ได้มีแต่พวกพูดเอาเท่  พูดเอาพวก  แถมรับค่าพูด

ยกตัวอย่าง อ.ประเวศ  วะสี   ที่ชอบพูดและเสนอแนะสิ่งดี ๆ ให้สังคมและบ้านเมือง
พูดมาหลายสิบปี

อ.ประเวศ  มักเน้นย้ำว่า  ประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง  ต้องแก้ตรงนี้
แต่ อ.ประเวศ  ไม่เคย  ไม่กล้าที่จะพูดตรง ๆ ว่า  โครงสร้างตรงไหนคือปัญหา  และมักจบที่นักการเมืองว่าคือปัญหา

อ.ประเวศ  เล่นการเมืองไหม   คำตอบคือ เล่น     เล่นในกระทรวงสาธารณสุขนั่นแหละ



ไข้หนักของบ้านเมืองคือ  ความไม่เป็นธรรม   นี่คือเชื้อโรคร้าย  แต่ไม่มีใครแก้  ไม่มีใครพูด
แล้วแบบนี้จะปรองดองกันได้อย่างไร

ตัวอย่างเช่น
เมื่อวานนี้นักศึกษาแค่จัดงานวาเลนไทน์ที่หอศิลป์  ต้องขึ้นศาลทหาร
แต่กับพวกเห็บศาสนา  ที่ใส่ชุดพระขึ้นเวทีปราศรัยการเมือง  เงียบกริบ  ไม่มีแม้เสียงติงสักแอะ

ไม่นับเรื่องที่ผ่านมานับร้อย ๆ เรื่อง



ประเด็นคือ  
ต้องสร้างความเป็นธรรม    ต้องแบ่งปันอำนาจทางการเมืองอย่างเท่าเทียม  
ต้องเคารพในความเห็น ในการเลือกของประชาชน

ไม่ใช่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้  และอย่างที่ผ่านมาเกือบสิบปี

นี่เอาแต่มองว่าประชาชนโง่  โดนนักการเมืองหลอก  ต้องรวบอำนาจและความเป็นธรรมไว้กับพวกตัวเอง

ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง  ปฏิเสธความจริง   ร้อยปีพันปีก็ปรองดองไม่ได้



โตจะตายเป็ดกันแล้ว  ไม่ต้องไปพูดหรอกว่าใครผิดใครถูก  ไม่จำเป็น   มันรู้กันแล้ว  เรียนรู้กันแล้ว

บ้านไหนเมืองไหน  เขาไม่มาเสียเวลาตามหาคนผิดอยู่หรอก  มันยิ่งยุ่ง
เขามีแต่มุ่งไปข้างหน้า  พัฒนากระบวนการทางสังคมให้เป็นธรรม  พัฒนากระบวนการทางกฎหมายให้เที่ยงตรง



เมิงอ้างจะสร้างปรองดอง  แล้วเก็บอำนาจไว้กับพวกเมิงอย่างเดิม

ไปปรองดองที่ดาวอังคารโน่น !!!


บักปอบ
อย่าเยอะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
จ่าพิเชษฐ์ฝากแสดงความเห็นครับ





ความคิดเห็นที่ 6
ตอนเรียนอยู่ อ.โภคิน ก็แนะนำหนังสือ ที่มีชื่อ อ.บวรศักดิ์  ตอนแรกที่อ่าน อยู่บนหลักการดี อ่านไปอ่านมาว้าวได้อยู่ใน สสร เสียด้วยสิ อืมเจ๋งเลย รัฐธรรมนูญปี 40 ร่างมากะมือ เขี่ยทิ้งด้วยเท้าตัวเอง  หนังสือที่ อ.บวรศักดิ์เขียนอธิบายรัฐธรรมนูญเคยคิดจะซื้อเหมือนกัน เพราะเป็นฉบับ40 ฉบับประชาชน แต่ไม่ซื้อเพราะว่าเคยจำได้ ครูที่โรงเรียนสมัยมัธยมต้น ครูเค้าเคยพูดให้ฟังว่า รัฐธรรมนูญยิ่งฉบับไหนเป็นประชาธิปไตย ร่างโดยประชาชนรัฐธรรมนูญนั้นอายุไม่ยืน

เท่าที่ดูมา อ.โภคิน ยังน่าเชื่อถือกว่าตรงที่ ยังไม่พูดขัดแย้งกับตัวเอง  ส่วน บวรศักดิ์  มีชัย  วิษณุ แต่ละคนที่เคยเขียนหนังสืออธิบายอย่างดิบดี แต่ละคนพูดอย่าง  และทำอีกอย่าง เลย หมดความน่าเชื่อถือไปแระ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่