โดยทั่วไปผมเชื่อว่านักลงทุนที่เน้นปัจจัยพื้นฐานมักจะอยากรอจังหวะที่ตลาดหุ้นหรือหุ้นที่ลงทุนมีราคาถูกถึงจะยอมลงทุน ในขณะที่ถ้าหุ้นขึ้นไปเยอะๆจนราคาแพง นักลงทุนกลุ่มนี้ก็อาจจะไม่อยากลงทุน เพราะกลัวว่าหุ้นราคาแพง แม้ว่าแนวโน้มในอนาคตจะยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ก็ตาม
ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นเองก็มักแสดงจะแสดงให้เห็นว่า ตลาดที่ว่าแพงแล้วก็ยังสามารถแพงได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนที่รอซื้อหุ้นถูกๆเสียโอกาสในการลงทุน ในช่วงที่ราคาหุ้นแพงและขึ้นต่อเนื่อง
ผมคิดว่าแนวทางหนึ่งที่ใช้แก้ปัญหาการตกรถเพราะมัวแต่เกี่ยงราคา ก็คือ การจัดสรรเงินลงทุนตามความถูกและแพงของตลาดหุ้นครับ
ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเวลาที่หุ้นมีราคาถูกมากๆ เช่น P/E ratio ต่ำกว่า 8 เท่า หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (ผมขอใช้ P/E ratio เป็นตัวแทนในการบอกความถูกและแพงของหุ้นนะครับ จริงๆอาจจะใช้วิธีหรือตัวเลขทางปัจจัยพื้นฐานตัวอื่นๆ เช่น P/BV หรือ Dividend yield ก็ได้ตามความเหมาะสมครับ) เราอาจจะกำหนดหรือจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นเป็น 100%
แต่เมื่อใดก็ตาม ถ้า P/E ratio เริ่มเพิ่มสูงขึ้นเป็น 10-12 เท่า หรือเข้าใกล้ค่าเฉลี่ยในอดีต เราก็ควรจะลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลงตามความเสี่ยงที่เราพอจะรับได้ ซึ่งอาจจะถือหุ้นเหลือแค่ 50-75%
และถ้าตลาดหุ้นยังขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ค่า P/E เพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ย เช่น อาจจะขึ้นไป 14-15 เท่า เราก็สามารถควบคุมความเสี่ยงด้วยการลดพอร์ตลงอีก อาจจะถือหุ้นแค่ 25-50%
ผมคิดว่าด้วยแนวทางการจัดสรรเงินลงทุนแบบนี้ นักลงทุนที่อยากซื้อหุ้นราคาถูก ในภาวะที่ตลาดหุ้นแพงต่อเนื่องแบบนี้ ก็จะไม่ตกรถ และไม่รู้สึกเสียดายเวลาตลาดวิ่งขึ้นต่อไปอีก ในทางกลับกัน ถ้าตลาดเกิดเปลี่ยนทิศทางจากขาขึ้นเป็นขาลง และทำให้ P/E ratio ต่ำลง เราก็จะมีเงินอีกส่วนไว้รอซื้อหุ้นในราคาที่ถูกครับ
แนวทางการจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นบนหลักของความถูกและแพง
ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นเองก็มักแสดงจะแสดงให้เห็นว่า ตลาดที่ว่าแพงแล้วก็ยังสามารถแพงได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนที่รอซื้อหุ้นถูกๆเสียโอกาสในการลงทุน ในช่วงที่ราคาหุ้นแพงและขึ้นต่อเนื่อง
ผมคิดว่าแนวทางหนึ่งที่ใช้แก้ปัญหาการตกรถเพราะมัวแต่เกี่ยงราคา ก็คือ การจัดสรรเงินลงทุนตามความถูกและแพงของตลาดหุ้นครับ
ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเวลาที่หุ้นมีราคาถูกมากๆ เช่น P/E ratio ต่ำกว่า 8 เท่า หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (ผมขอใช้ P/E ratio เป็นตัวแทนในการบอกความถูกและแพงของหุ้นนะครับ จริงๆอาจจะใช้วิธีหรือตัวเลขทางปัจจัยพื้นฐานตัวอื่นๆ เช่น P/BV หรือ Dividend yield ก็ได้ตามความเหมาะสมครับ) เราอาจจะกำหนดหรือจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นเป็น 100%
แต่เมื่อใดก็ตาม ถ้า P/E ratio เริ่มเพิ่มสูงขึ้นเป็น 10-12 เท่า หรือเข้าใกล้ค่าเฉลี่ยในอดีต เราก็ควรจะลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลงตามความเสี่ยงที่เราพอจะรับได้ ซึ่งอาจจะถือหุ้นเหลือแค่ 50-75%
และถ้าตลาดหุ้นยังขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ค่า P/E เพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ย เช่น อาจจะขึ้นไป 14-15 เท่า เราก็สามารถควบคุมความเสี่ยงด้วยการลดพอร์ตลงอีก อาจจะถือหุ้นแค่ 25-50%
ผมคิดว่าด้วยแนวทางการจัดสรรเงินลงทุนแบบนี้ นักลงทุนที่อยากซื้อหุ้นราคาถูก ในภาวะที่ตลาดหุ้นแพงต่อเนื่องแบบนี้ ก็จะไม่ตกรถ และไม่รู้สึกเสียดายเวลาตลาดวิ่งขึ้นต่อไปอีก ในทางกลับกัน ถ้าตลาดเกิดเปลี่ยนทิศทางจากขาขึ้นเป็นขาลง และทำให้ P/E ratio ต่ำลง เราก็จะมีเงินอีกส่วนไว้รอซื้อหุ้นในราคาที่ถูกครับ