ขออนุญาตอธิบายก่อนนะครับ คือผมใช้เวลาว่างที่มีจากการเรียนลองฝึกขีดๆเขียนดูครับ เป็นเรื่องจริงจากประสบการณ์จริงครับ รบกวนติชมให้คำแนะนำผมด้วยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
- หากแทคห้องผิดต้องขออภัยด้วยครับ
เกริ่น : ล่าความฝัน
สวัสดีครับ ผมก็เคยเป็นนักเรียนคนหนึ่ง ที่มีความคิดน่าจะเหมือนกับนักเรียนทั่วๆไป คือจบมอ 6 ก็ต้องหาอาชีพในฝัน ว่าอยากจะเป็นอะไร อยากจะทำอะไร จะได้หาสายเรียน สำหรับผมในตอนนั้นผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าความฝันผมมันหน้าตาเป็นยังไง แต่ด้วยสังคมรอบข้าง พ่อแม่ หรือใครๆ ก็จะเชียร์นักเรียนสายวิทย์คณิตให้เรียน แพทย์ หรือไม่ก็ วิศวะ และด้วยที่แม่ผมทำงานด้านสานสุขภาพ และพ่อของผมก็ทำธุรกิจก่อสร้าง ผมก็เลยมองไว้แค่ ไม่แพทย์ ก็ วิศวะโยธา เพราะดูจากคนใกล้ตัวแล้วมันน่าจะพอไปไหว แต่ผมก็มองแพทย์ไว้เป็นเป้าของผมก่อนเพราะด้วยบุคลิก ที่ผมอาจจะคิดไปเองว่าผมน่าจะเหมาะกับการเป็นหมอมากกว่า 555 ผมก็เรียนๆเล่นๆไป ติวบ้าง เล่นบ้าง จนในที่สุด ผมก็ไม่ติดหลอกครับ “หมอ” พอมานึกตอนนี้ก็เสียดายเหมือนกันว่าขาดไปนิดเดียวเอง ผมจึงเบนป.ตรีของผมไปทางโยธา แต่เหมือนผมก็มีความรู้สึกลึกๆ ว่าผมอยากเป็นหมอ ถ้าผมเดินออกมาจากห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน แล้วบอกกับญาติคนไข้ว่า คนไข้โอเคแล้วนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วง คงจะเป็นโมเมนต์ที่ผมมีความสุขมากๆ ผมจึงหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการเรียนแพทย์ต่างประเทศ เริ่มจากในยุคผม การเรียนหมอที่ประเทศจีนกำลังบูมมากไปง่ายแค่จ่ายเงินไปกัยเอเย่น ผมก็ค้นข้อมูลในเน็ตไปเรื่อยๆ จนผมไปเจอทุนนึงครับ ทุนเรียนแพทย์ที่ประเทศหนึ่งเป็นทุนของรัฐบาลของประเทศนั้น ผมก็โปรยใบสมัครไว้ครับคิดแค่ว่าถ้ามีบุญคงได้เรียน แต่เวลาก็ผ่านไปอย่างไม่มีวี่แววว่าผลทุนจะออก ชีวิตผมก็ต้องดำเนินต่อไป แล้วผมก็ติดคณะวิศวะกรรมโยธา มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมก็เข้าไปเรียน เข้าไปแว้บแรก ผมดูจะอ่อนปวกเปียกไปเลยกับคณะวิศวะกรรม แต่พอเริ่มเรียนๆไปเริ่มปรับตัว รุ่นพี่ เพื่อน เริ่มสนุก ต้องใช่คำว่าชีวิตดี 555 เช้าเรียน เย็นหลังมอ เฮฮา จนเวลาล่วงเลยไปเกือบสอบกลางเทอม ขณะเรียนวิชาการเขียนโปรแกรมภาคทฤษฏี(จำวิชาได้แม่นเลยครับ) อยู่ มีโทรศัพท์เบอร์ กทม โทรเข้ามาพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “คุณ...ใช่มั้ย ยินดีด้วยคุณได้รับทุนไปเรียนหมอที่ประเทศ...ให้รีบติดต่อสถานทูตในไทยด่วน” ผมนี่รีบขออาจารย์เข้าห้องน้ำเลยครับ มือไม้สั่น โทรหาแม่ “แม่ผลทุนที่สมัครไว้โทรมาบอกว่าได้ทุนได้ไปเรียนนะ” แม่ผมร้องไห้ในสายเลยครับ ในตอนนั้นผมนึกว่าแม่ดีใจ แต่ที่ไหนได้ พอได้กลับบ้านคำถามแรกคือ จะไปจริงหรอ ผมก็ตอบอย่างไม่คิดว่า ไปสิแม่ จะรออะไร พร้อมกับยิ้มหน้าบาน ผมจัดการแปลเอกสารต่างเอง ทำเรื่องเอง ด้วยคิดแค่ว่า

โคตรเท่เลยได้เรียนเมืองนอก แถมเรียนหมออีกตังหาก ในช่วงเวลานั้นก็เริ่มลาอาจารย์ ลาพี่ ลาเพื่อนที่โยธา รวมถึงลาออก ด้วยครับผมยังจำความรู้สึกการยื่นใยลาออกได้ดี มันเสียวแว้บๆ ใจหายเหมือนกัน แต่ผมก็ยื่นไปแบบหน้าชื่นตาบาน 555 นอกจากแม่ผมที่ถามว่าไปจริงหรอ ทุกคนที่รู้เรื่องแล้วเจอผมต่างถามเป็นเสียงเดียวกันว่า ไปจริงดิ คิดดีๆ โดยเฉพาะป้าผมที่เป็นอาจารย์สอนวิชาสังคม ท่านรู้ประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศที่ผมจะไปเป็นอย่างดี ถึงขนาดเรียกผมไปคุย แต่ผมก็ตอบเหมือนกับตอบทุกคน ตอบแบบไม่คิดอะไรทั้งสิ้นว่า “ไปครับ“ แล้ววันที่ผมจะไปจริงๆก็มาถึงครับ ผมจำได้แม่นว่าตัวผมมันเต็มไปด้วยความหวัง แต่แอบกังวลเพราะเป็นการออกเดินทางพ้นไทยไปไกลๆ และต้องอยู่นานๆเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่เรื่องเรียนผมนี่วาดฝันไว้ว่ามันต้องเท่ ต้องหรู ต้องโก้ ซึ่งผมว่าใครหลายๆคนก็มีความคิดเหมือนผมครับ และผมก็ลาครอบครัว เพื่อนๆ ที่ไปส่งมากมายที่สุวรรณภูมิ ออกเดินทางพ้นพื้นแผ่นดินไทยพร้อมน้ำตานิดหน่อย 555 โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าอะไรมันรอผมอยู่ข้างหน้าบ้าง และนี่ก็อาจจะเรียกได้ว่าจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ผมก็ว่าได้ครับ ที่ทำให้ผมโตขึ้น พบความจริงต่างๆ ที่อาจลบภาพที่เคยวาดฝันไว้ และเรื่องราวต่างๆอีกมากมายครับ
นักเรียนนอก(คอก) ตีแผ่ชีวิตนักศึกษาไทยในต่างแดนจากเหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเจอ
- หากแทคห้องผิดต้องขออภัยด้วยครับ
เกริ่น : ล่าความฝัน
สวัสดีครับ ผมก็เคยเป็นนักเรียนคนหนึ่ง ที่มีความคิดน่าจะเหมือนกับนักเรียนทั่วๆไป คือจบมอ 6 ก็ต้องหาอาชีพในฝัน ว่าอยากจะเป็นอะไร อยากจะทำอะไร จะได้หาสายเรียน สำหรับผมในตอนนั้นผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าความฝันผมมันหน้าตาเป็นยังไง แต่ด้วยสังคมรอบข้าง พ่อแม่ หรือใครๆ ก็จะเชียร์นักเรียนสายวิทย์คณิตให้เรียน แพทย์ หรือไม่ก็ วิศวะ และด้วยที่แม่ผมทำงานด้านสานสุขภาพ และพ่อของผมก็ทำธุรกิจก่อสร้าง ผมก็เลยมองไว้แค่ ไม่แพทย์ ก็ วิศวะโยธา เพราะดูจากคนใกล้ตัวแล้วมันน่าจะพอไปไหว แต่ผมก็มองแพทย์ไว้เป็นเป้าของผมก่อนเพราะด้วยบุคลิก ที่ผมอาจจะคิดไปเองว่าผมน่าจะเหมาะกับการเป็นหมอมากกว่า 555 ผมก็เรียนๆเล่นๆไป ติวบ้าง เล่นบ้าง จนในที่สุด ผมก็ไม่ติดหลอกครับ “หมอ” พอมานึกตอนนี้ก็เสียดายเหมือนกันว่าขาดไปนิดเดียวเอง ผมจึงเบนป.ตรีของผมไปทางโยธา แต่เหมือนผมก็มีความรู้สึกลึกๆ ว่าผมอยากเป็นหมอ ถ้าผมเดินออกมาจากห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน แล้วบอกกับญาติคนไข้ว่า คนไข้โอเคแล้วนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วง คงจะเป็นโมเมนต์ที่ผมมีความสุขมากๆ ผมจึงหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการเรียนแพทย์ต่างประเทศ เริ่มจากในยุคผม การเรียนหมอที่ประเทศจีนกำลังบูมมากไปง่ายแค่จ่ายเงินไปกัยเอเย่น ผมก็ค้นข้อมูลในเน็ตไปเรื่อยๆ จนผมไปเจอทุนนึงครับ ทุนเรียนแพทย์ที่ประเทศหนึ่งเป็นทุนของรัฐบาลของประเทศนั้น ผมก็โปรยใบสมัครไว้ครับคิดแค่ว่าถ้ามีบุญคงได้เรียน แต่เวลาก็ผ่านไปอย่างไม่มีวี่แววว่าผลทุนจะออก ชีวิตผมก็ต้องดำเนินต่อไป แล้วผมก็ติดคณะวิศวะกรรมโยธา มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมก็เข้าไปเรียน เข้าไปแว้บแรก ผมดูจะอ่อนปวกเปียกไปเลยกับคณะวิศวะกรรม แต่พอเริ่มเรียนๆไปเริ่มปรับตัว รุ่นพี่ เพื่อน เริ่มสนุก ต้องใช่คำว่าชีวิตดี 555 เช้าเรียน เย็นหลังมอ เฮฮา จนเวลาล่วงเลยไปเกือบสอบกลางเทอม ขณะเรียนวิชาการเขียนโปรแกรมภาคทฤษฏี(จำวิชาได้แม่นเลยครับ) อยู่ มีโทรศัพท์เบอร์ กทม โทรเข้ามาพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “คุณ...ใช่มั้ย ยินดีด้วยคุณได้รับทุนไปเรียนหมอที่ประเทศ...ให้รีบติดต่อสถานทูตในไทยด่วน” ผมนี่รีบขออาจารย์เข้าห้องน้ำเลยครับ มือไม้สั่น โทรหาแม่ “แม่ผลทุนที่สมัครไว้โทรมาบอกว่าได้ทุนได้ไปเรียนนะ” แม่ผมร้องไห้ในสายเลยครับ ในตอนนั้นผมนึกว่าแม่ดีใจ แต่ที่ไหนได้ พอได้กลับบ้านคำถามแรกคือ จะไปจริงหรอ ผมก็ตอบอย่างไม่คิดว่า ไปสิแม่ จะรออะไร พร้อมกับยิ้มหน้าบาน ผมจัดการแปลเอกสารต่างเอง ทำเรื่องเอง ด้วยคิดแค่ว่า