(กระทู้นี้เป็นการรีวิวครั้งแรกและคงเป็นครั้งสุดท้ายของคาเฟ่กระต่ายแห่งนี้ เนื้อหาบางส่วนอาจไม่ค่อยเข้าใจหากผู้อ่านไม่ได้เลี้ยงกระต่าย จะพยายามอธิบายในวงเล็บนะคะ)
*** เราแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นประสบการณ์ที่เราไปเองเมื่อวันเสาร์ที่ 7 กพ.
อีกส่วนคือพี่ที่รู้จักกัน ไปมาเมื่อวันอังคารที่ 10 กพ. ค่ะ (ได้รับอนุญาตเรื่องภาพและข้อมูลแล้ว) ***
PART 1
ต้องเกริ่นก่อนว่าเราเป็นคนเลี้ยงกระต่ายและรักกระต่ายมากค่ะ ทั้งเลี้ยงไปและศึกษาไปประมาณสองปีแล้วเพราะกระต่ายเป็นสัตว์ประเภท exotic ที่ต้องดูแลเรื่องการเลี้ยงเป็นพิเศษ เมื่อประมาณเดือนกันยา ปี 56 แฟนของเรา (ตอนนี้เป็นสามีแล้ว) วางแผนขอเราแต่งงานที่ร้านชื่อ "Lucky Bunny Cafe" ที่ซอยลาดพร้าว 101 แยก 28 ซึ่งขณะนั้นเป็นคาเฟ่กระต่ายแห่งแรกในประเทศไทย เจ้าของร้านชื่อพี่โชคและพี่แคท (เป็นรุ่นน้าๆอาๆของเราแล้วล่ะ) การตกแต่งในร้านนั้นน่ารักมากๆ มันมุ้งมิ้งไปหมด ตั้งแต่ของประดับยันช้อนส้อมจานชาม กระต่ายทุกตัวดูสุขภาพดี มีกฎการเล่นกับกระต่ายหลายข้อ ซึ่งถ้าคนที่ไม่รู้จักกระต่ายจะมองว่าจุกจิกเคร่งครัด (เพื่อนเราบ่น) แต่ถ้าคนเลี้ยงกระต่ายจะรู้ว่ากฎสร้างมาเพื่อความปลอดภัยของกระต่ายซึ่งเราไม่ติดอะไร อาหารค่อนข้างอร่อย เรียกได้ว่าประทับใจนะคะ แต่ก็ไปได้ไม่บ่อยเพราะราคาค่อนข้างสูง ได้แต่ติดตามเพจร้านเค้าค่ะ
จนถึงเมื่อประมาณปีใหม่ที่ผ่านมา.. เราเพิ่งรู้ว่าร้านนี้ย้ายไปเชียงใหม่แล้ว จากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ (ที่เป็นคลิปโชว์ความสามารถกระต่ายกดกริ่ง,ยกดัมบ์เบล) และในเพจเค้าแจ้งว่าไม่มีสาขาอื่นๆอีกนอกจากเชียงใหม่ แต่สัปดาห์ที่แล้วก็มีพี่คนนึง (เป็นพี่สาวของเพื่อนเราค่ะ) ชื่อพี่ ก. ชวนเราไปคาเฟ่กระต่ายที่ลาดพร้าว 101 เพราะเห็นรูปกระต่ายตัวนึงแว้บๆ แล้วหน้าตาเหมือนกระต่ายที่เพื่อนเราเลี้ยงแล้วหมดอายุขัยไป เค้าเลยอยากไปเห็นตัวจริง
เราเถียงไปว่า "ร้านเค้าย้ายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" แต่พี่ ก. บอกว่ามีร้านนะ พร้อมส่งลิ้งค์เพจมาให้ดู (ขอสงวนชื่อร้านนะคะ กลัวโดนร้านหาว่าโจมตีค่ะ) ปรากฏว่าชื่อร้านเปลี่ยน บรรยากาศแปลกไปจากร้านเดิม อาหารที่โฆษณาในเพจก็ไม่เหมือนเดิม ประกอบกับร้านเชียงใหม่ย้ำว่าไม่มีสาขาที่ไหนอีกแน่นอน จึงแน่ใจว่าเป็นร้านใหม่ที่มาใช้ทำเลเดิมเฉยๆ
วันเสาร์ที่ผ่านมา เราเลยไปที่ร้านกันสี่คนประมาณเที่ยง (เรา,พี่ ก., สามีพี่ ก. และเพื่อนพี่ ก. อีกคนที่เลี้ยงกระต่ายเหมือนกัน) .. ยอมรับว่าตกใจค่ะ หน้าร้าน,สีตึก คล้ายของเดิมมาก แต่เหมือนยกเอาสิ่งของน่ารักๆ ที่เคยมีไปทิ้งหมดเลย (เดาว่าน่าจะยังไม่ได้รีโนเวท) ตรงทางเข้ามีป้ายไวนิล ใช้คำว่า "แห่งแรก" ด้วย ซึ่งในใจเรารู้ทั้งรู้เลยค่ะว่ายังไงก็ไม่ใช่ .. ในร้านยังโล่งๆ ไม่มีอะไรตกแต่งที่น่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ (ภาพร้านเดิมค่อยๆแว้บเข้ามาในหัวทีละมุมๆ มุมที่เคยน่ารักฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งกลายเป็นมุมธรรมดาๆ) เจ้าของร้านผู้หญิงสาวๆ มาต้อนรับ (มารยาทน่ารักค่ะ พูดจาดี) เชิญเข้าไปนั่งโซนทานอาหาร แต่พวกเรายังไม่ค่อยหิวกัน ก็เลยสั่ง.."ขนมปังปิ้งเนยนมน้ำตาล" ,"น้ำผึ้งมะนาว" , "มะนาวโซดา" , "น้ำเขียวโซดา" เจ้าของร้านผู้ชายอีกคน ตัวใหญ่ๆ เชิญเราไปห้องกระต่ายก่อน แล้วเดี๋ยวจัดการอาหารให้...
ก่อนเข้าห้องกระต่ายที่ร้านมีแอลกอฮอล์ล้างมือ รองเท้า และเสื้อกันเปื้อนให้ใส่ (วิธีเดียวกับร้านเดิม) กระต่ายในนั้นไม่มีหญ้าแน่นชามสแตนบายไว้ในกรงเหมือนที่ร้านเดิมทำ เลยดูหิวโหยเป็นพิเศษแม้เวลาได้กลิ่นหญ้าทิโมธี่ธรรมดา (หญ้าทิโมธี่คือหญ้าเบสิคที่ส่วนใหญ่จะต้องติดไว้ในกรงให้แทะกินได้ตลอดเวลา) เจ้าของร้านบอกว่า "เล่นได้ อุ้มได้ ฟัดได้ เซลฟี่ได้" (ตรงกันข้ามกับกฏร้านเดิม) ลูกค้าที่อยู่ในห้องก่อนแล้วมีลูกไปด้วย เด็กอุ้มเป็นบ้างไม่เป็นบ้าง ก็พยายามจับกระต่าย เจ้าของร้านไม่ถามเราว่าเคยเลี้ยงกระต่ายมั้ย และไม่มีคำเตือนว่าห้ามหิ้วหูหรือสอนวิธีการจับที่ถูกต้องก่อนเข้าชม กระต่ายในกรงหลายตัวอึก้อนเล็กผิดปกติ บางตัวตาแดง ขนที่ก้นเป็นสังกะตัง มีป้ายชื่อและสายพันธฺุ์เขียนด้วยสีเมจิกแบบผิดๆถูกๆ เช่น "ฮอลแลนท์ลอป , เนเธอร์แลนท์ดาฟ" แสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพ (เดี๋ยวส่วนรายละเอียดเรื่องกระต่าย จะเล่าใน part ที่ 2 ค่ะ) สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับกระต่ายร้านนี้เลยมีแค่เรื่องเดียว นั่นคืออยู่ในที่ปลอดภัย ไม่มีอันตรายจากสัตว์อื่น แต่เจ้าของร้านจะดูแลสุขภาพได้ดีรึเปล่านั้น.. ตอบไม่ได้จริงๆ
---- ไฮไลท์ที่อยากให้จำประเด็นนี้ไว้ก่อน----
พี่ ก. ได้เห็นกระต่ายตัวที่ตั้งใจมาดูค่ะ ชื่อน้อง "แลนด์โรเว่อร์" (รูปเซฟมาจากเพจร้าน)
พี่ ก. ถูกชะตามากกกก เพราะน้องหน้าเหมือน "คาราเมล" ตัวเก่าของ ข. น้องสาวพี่ ก. ที่หมดอายุขัยไปแล้ว
พี่ ก. ถามรายละเอียด ราคา อายุ ฯลฯ (แกมีตะกร้าเปล่าๆติดมาในรถ หวังจะซื้อแล้วรับน้องกลับไปบ้าน ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าเค้าขายรึเปล่าด้วยซ้ำค่ะ) เจ้าของร้านบอกว่าน้องราคา 7 พันบาท เพราะตัวนี้เป็นตัวท็อปจากฟาร์ม อายุขวบกับสามเดือน ตัวผู้ นิสัยดื้อ บ้าพลัง ชอบพังกรง
พี่ ก. เลยให้เราลองอุ้มน้องเพื่อสำรวจสุขภาพ
- น้องมีน้ำมูกเปียกๆ เจ้าของร้านบอกว่า "น่าจะเป็นเพราะไปเล่นขวดน้ำค่ะ เค้าเคยเป็นหวัดแต่รักษาหายแล้ว"
- ขนที่ขาหน้าและก้น พันเป็นสังกะตัง แสดงว่าไม่ได้รับการหวีและทำความสะอาดมานาน
- น้องกินหญ้าอย่างหิวโหยมาก เพราะชามในกรงไม่มีหญ้าอยู่เลย
เห็นดังนี้เราเลยบอกพี่ ก. ว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจ เพราะน้องดูสุขภาพไม่ 100% .. ขอออกไปนั่งทานอาหารที่สั่งไว้ แล้วคุยกันอีกทีนึง
เดินกลับมาที่โต๊ะอาหารค่ะ ...
"ขนมปังเนยนมน้ำตาล" เมนูที่น่าจะอร่อยง่ายแม้ทำเองที่บ้านกับหลานชายวัยห้าขวบ .. หากจินตนาการถึงขนมปังร้านมนต์นมสด คุณคิดผิดมาก .. เพราะขนมปังที่มาเสิร์ฟบนจานสีขาวเพลนนั้นแผ่นบางๆ ไม่อุ่น ไม่มีนมราด ใช้มาการีนทั่วไป และที่ช็อคมากคือกัดแล้วเหนียวววว ไม้จิ้มที่เราแอบหวังว่าจะมีรูปกระต่ายตามบรรยากาศร้าน กลายเป็นไม้จิ้มฟันธรรมดา ไม่มีส้อมให้ค่ะ เทียบกับราคาแผ่นละ 35 บาทคือถือว่าแพงมากกกก
รูปนี้คือน้ำของเรา ที่เราไม่ได้ถ่ายเองค่ะ .. แต่รูปไปปรากฏบนเพจร้านเค้า เวลาเดียวกับที่เรากำลังเล่นในห้องกระต่าย (แสดงว่าวางเสิร์ฟปุ๊บ ก็ถ่ายมาลงเพจเลย)
"น้ำเขียวโซดา" ครัวบอกว่าโซดาหมด สามีพี่ ก. ต้องดื่มน้ำเขียวเฮลส์บลูบอยในราคา 69 บาท
พี่ ก. ได้น้ำมะนาวโซดา (คราวนี้ทำไมมีโซดาล่ะ?!?) กลิ่นมะนาวปลอมมาก รสเปรี้ยวแหลมด้วยกรดซิตริกเหมือนมะนาวที่ขายเป็นขวดๆในร้านของชำ ไม่มีความพัลพี่ของเนื้อมะนาวแท้เลย
น้ำผึ้งมะนาวของเรา ก็เป็นน้ำมะนาวปลอมแบบนั้นเหมือนกันค่ะ มีน้ำผึ้งเหนียวๆติดที่ปลายหลอดนิดหน่อย .... ทั้งสามแก้ว ไม่มีใครกินหมดค่ะ ขนมปังก็เช่นกัน ....... สรุปคือติดลบค่ะ ไม่มีใครให้อะไรผ่าน เพื่อนพี่ ก. โชคดีสุดเพราะกินน้ำแร่ ไม่ต้องคาดหวังจึงไม่ผิดหวัง -_-''
(เดี๋ยวมาต่อนะคะ)
[CR] เสียน้ำตาที่(ร้านสวมรอย)คาเฟ่กระต่าย.. รีวิวเสียงจากคนรักกระต่าย ที่จะไม่ไปเหยียบอีก T_T''
*** เราแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นประสบการณ์ที่เราไปเองเมื่อวันเสาร์ที่ 7 กพ.
อีกส่วนคือพี่ที่รู้จักกัน ไปมาเมื่อวันอังคารที่ 10 กพ. ค่ะ (ได้รับอนุญาตเรื่องภาพและข้อมูลแล้ว) ***
PART 1
ต้องเกริ่นก่อนว่าเราเป็นคนเลี้ยงกระต่ายและรักกระต่ายมากค่ะ ทั้งเลี้ยงไปและศึกษาไปประมาณสองปีแล้วเพราะกระต่ายเป็นสัตว์ประเภท exotic ที่ต้องดูแลเรื่องการเลี้ยงเป็นพิเศษ เมื่อประมาณเดือนกันยา ปี 56 แฟนของเรา (ตอนนี้เป็นสามีแล้ว) วางแผนขอเราแต่งงานที่ร้านชื่อ "Lucky Bunny Cafe" ที่ซอยลาดพร้าว 101 แยก 28 ซึ่งขณะนั้นเป็นคาเฟ่กระต่ายแห่งแรกในประเทศไทย เจ้าของร้านชื่อพี่โชคและพี่แคท (เป็นรุ่นน้าๆอาๆของเราแล้วล่ะ) การตกแต่งในร้านนั้นน่ารักมากๆ มันมุ้งมิ้งไปหมด ตั้งแต่ของประดับยันช้อนส้อมจานชาม กระต่ายทุกตัวดูสุขภาพดี มีกฎการเล่นกับกระต่ายหลายข้อ ซึ่งถ้าคนที่ไม่รู้จักกระต่ายจะมองว่าจุกจิกเคร่งครัด (เพื่อนเราบ่น) แต่ถ้าคนเลี้ยงกระต่ายจะรู้ว่ากฎสร้างมาเพื่อความปลอดภัยของกระต่ายซึ่งเราไม่ติดอะไร อาหารค่อนข้างอร่อย เรียกได้ว่าประทับใจนะคะ แต่ก็ไปได้ไม่บ่อยเพราะราคาค่อนข้างสูง ได้แต่ติดตามเพจร้านเค้าค่ะ
จนถึงเมื่อประมาณปีใหม่ที่ผ่านมา.. เราเพิ่งรู้ว่าร้านนี้ย้ายไปเชียงใหม่แล้ว จากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ (ที่เป็นคลิปโชว์ความสามารถกระต่ายกดกริ่ง,ยกดัมบ์เบล) และในเพจเค้าแจ้งว่าไม่มีสาขาอื่นๆอีกนอกจากเชียงใหม่ แต่สัปดาห์ที่แล้วก็มีพี่คนนึง (เป็นพี่สาวของเพื่อนเราค่ะ) ชื่อพี่ ก. ชวนเราไปคาเฟ่กระต่ายที่ลาดพร้าว 101 เพราะเห็นรูปกระต่ายตัวนึงแว้บๆ แล้วหน้าตาเหมือนกระต่ายที่เพื่อนเราเลี้ยงแล้วหมดอายุขัยไป เค้าเลยอยากไปเห็นตัวจริง
เราเถียงไปว่า "ร้านเค้าย้ายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" แต่พี่ ก. บอกว่ามีร้านนะ พร้อมส่งลิ้งค์เพจมาให้ดู (ขอสงวนชื่อร้านนะคะ กลัวโดนร้านหาว่าโจมตีค่ะ) ปรากฏว่าชื่อร้านเปลี่ยน บรรยากาศแปลกไปจากร้านเดิม อาหารที่โฆษณาในเพจก็ไม่เหมือนเดิม ประกอบกับร้านเชียงใหม่ย้ำว่าไม่มีสาขาที่ไหนอีกแน่นอน จึงแน่ใจว่าเป็นร้านใหม่ที่มาใช้ทำเลเดิมเฉยๆ
วันเสาร์ที่ผ่านมา เราเลยไปที่ร้านกันสี่คนประมาณเที่ยง (เรา,พี่ ก., สามีพี่ ก. และเพื่อนพี่ ก. อีกคนที่เลี้ยงกระต่ายเหมือนกัน) .. ยอมรับว่าตกใจค่ะ หน้าร้าน,สีตึก คล้ายของเดิมมาก แต่เหมือนยกเอาสิ่งของน่ารักๆ ที่เคยมีไปทิ้งหมดเลย (เดาว่าน่าจะยังไม่ได้รีโนเวท) ตรงทางเข้ามีป้ายไวนิล ใช้คำว่า "แห่งแรก" ด้วย ซึ่งในใจเรารู้ทั้งรู้เลยค่ะว่ายังไงก็ไม่ใช่ .. ในร้านยังโล่งๆ ไม่มีอะไรตกแต่งที่น่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ (ภาพร้านเดิมค่อยๆแว้บเข้ามาในหัวทีละมุมๆ มุมที่เคยน่ารักฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งกลายเป็นมุมธรรมดาๆ) เจ้าของร้านผู้หญิงสาวๆ มาต้อนรับ (มารยาทน่ารักค่ะ พูดจาดี) เชิญเข้าไปนั่งโซนทานอาหาร แต่พวกเรายังไม่ค่อยหิวกัน ก็เลยสั่ง.."ขนมปังปิ้งเนยนมน้ำตาล" ,"น้ำผึ้งมะนาว" , "มะนาวโซดา" , "น้ำเขียวโซดา" เจ้าของร้านผู้ชายอีกคน ตัวใหญ่ๆ เชิญเราไปห้องกระต่ายก่อน แล้วเดี๋ยวจัดการอาหารให้...
ก่อนเข้าห้องกระต่ายที่ร้านมีแอลกอฮอล์ล้างมือ รองเท้า และเสื้อกันเปื้อนให้ใส่ (วิธีเดียวกับร้านเดิม) กระต่ายในนั้นไม่มีหญ้าแน่นชามสแตนบายไว้ในกรงเหมือนที่ร้านเดิมทำ เลยดูหิวโหยเป็นพิเศษแม้เวลาได้กลิ่นหญ้าทิโมธี่ธรรมดา (หญ้าทิโมธี่คือหญ้าเบสิคที่ส่วนใหญ่จะต้องติดไว้ในกรงให้แทะกินได้ตลอดเวลา) เจ้าของร้านบอกว่า "เล่นได้ อุ้มได้ ฟัดได้ เซลฟี่ได้" (ตรงกันข้ามกับกฏร้านเดิม) ลูกค้าที่อยู่ในห้องก่อนแล้วมีลูกไปด้วย เด็กอุ้มเป็นบ้างไม่เป็นบ้าง ก็พยายามจับกระต่าย เจ้าของร้านไม่ถามเราว่าเคยเลี้ยงกระต่ายมั้ย และไม่มีคำเตือนว่าห้ามหิ้วหูหรือสอนวิธีการจับที่ถูกต้องก่อนเข้าชม กระต่ายในกรงหลายตัวอึก้อนเล็กผิดปกติ บางตัวตาแดง ขนที่ก้นเป็นสังกะตัง มีป้ายชื่อและสายพันธฺุ์เขียนด้วยสีเมจิกแบบผิดๆถูกๆ เช่น "ฮอลแลนท์ลอป , เนเธอร์แลนท์ดาฟ" แสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพ (เดี๋ยวส่วนรายละเอียดเรื่องกระต่าย จะเล่าใน part ที่ 2 ค่ะ) สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับกระต่ายร้านนี้เลยมีแค่เรื่องเดียว นั่นคืออยู่ในที่ปลอดภัย ไม่มีอันตรายจากสัตว์อื่น แต่เจ้าของร้านจะดูแลสุขภาพได้ดีรึเปล่านั้น.. ตอบไม่ได้จริงๆ
---- ไฮไลท์ที่อยากให้จำประเด็นนี้ไว้ก่อน----
พี่ ก. ได้เห็นกระต่ายตัวที่ตั้งใจมาดูค่ะ ชื่อน้อง "แลนด์โรเว่อร์" (รูปเซฟมาจากเพจร้าน)
พี่ ก. ถูกชะตามากกกก เพราะน้องหน้าเหมือน "คาราเมล" ตัวเก่าของ ข. น้องสาวพี่ ก. ที่หมดอายุขัยไปแล้ว
พี่ ก. ถามรายละเอียด ราคา อายุ ฯลฯ (แกมีตะกร้าเปล่าๆติดมาในรถ หวังจะซื้อแล้วรับน้องกลับไปบ้าน ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าเค้าขายรึเปล่าด้วยซ้ำค่ะ) เจ้าของร้านบอกว่าน้องราคา 7 พันบาท เพราะตัวนี้เป็นตัวท็อปจากฟาร์ม อายุขวบกับสามเดือน ตัวผู้ นิสัยดื้อ บ้าพลัง ชอบพังกรง
พี่ ก. เลยให้เราลองอุ้มน้องเพื่อสำรวจสุขภาพ
- น้องมีน้ำมูกเปียกๆ เจ้าของร้านบอกว่า "น่าจะเป็นเพราะไปเล่นขวดน้ำค่ะ เค้าเคยเป็นหวัดแต่รักษาหายแล้ว"
- ขนที่ขาหน้าและก้น พันเป็นสังกะตัง แสดงว่าไม่ได้รับการหวีและทำความสะอาดมานาน
- น้องกินหญ้าอย่างหิวโหยมาก เพราะชามในกรงไม่มีหญ้าอยู่เลย
เห็นดังนี้เราเลยบอกพี่ ก. ว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจ เพราะน้องดูสุขภาพไม่ 100% .. ขอออกไปนั่งทานอาหารที่สั่งไว้ แล้วคุยกันอีกทีนึง
เดินกลับมาที่โต๊ะอาหารค่ะ ...
"ขนมปังเนยนมน้ำตาล" เมนูที่น่าจะอร่อยง่ายแม้ทำเองที่บ้านกับหลานชายวัยห้าขวบ .. หากจินตนาการถึงขนมปังร้านมนต์นมสด คุณคิดผิดมาก .. เพราะขนมปังที่มาเสิร์ฟบนจานสีขาวเพลนนั้นแผ่นบางๆ ไม่อุ่น ไม่มีนมราด ใช้มาการีนทั่วไป และที่ช็อคมากคือกัดแล้วเหนียวววว ไม้จิ้มที่เราแอบหวังว่าจะมีรูปกระต่ายตามบรรยากาศร้าน กลายเป็นไม้จิ้มฟันธรรมดา ไม่มีส้อมให้ค่ะ เทียบกับราคาแผ่นละ 35 บาทคือถือว่าแพงมากกกก
รูปนี้คือน้ำของเรา ที่เราไม่ได้ถ่ายเองค่ะ .. แต่รูปไปปรากฏบนเพจร้านเค้า เวลาเดียวกับที่เรากำลังเล่นในห้องกระต่าย (แสดงว่าวางเสิร์ฟปุ๊บ ก็ถ่ายมาลงเพจเลย)
"น้ำเขียวโซดา" ครัวบอกว่าโซดาหมด สามีพี่ ก. ต้องดื่มน้ำเขียวเฮลส์บลูบอยในราคา 69 บาท
พี่ ก. ได้น้ำมะนาวโซดา (คราวนี้ทำไมมีโซดาล่ะ?!?) กลิ่นมะนาวปลอมมาก รสเปรี้ยวแหลมด้วยกรดซิตริกเหมือนมะนาวที่ขายเป็นขวดๆในร้านของชำ ไม่มีความพัลพี่ของเนื้อมะนาวแท้เลย
น้ำผึ้งมะนาวของเรา ก็เป็นน้ำมะนาวปลอมแบบนั้นเหมือนกันค่ะ มีน้ำผึ้งเหนียวๆติดที่ปลายหลอดนิดหน่อย .... ทั้งสามแก้ว ไม่มีใครกินหมดค่ะ ขนมปังก็เช่นกัน ....... สรุปคือติดลบค่ะ ไม่มีใครให้อะไรผ่าน เพื่อนพี่ ก. โชคดีสุดเพราะกินน้ำแร่ ไม่ต้องคาดหวังจึงไม่ผิดหวัง -_-''
(เดี๋ยวมาต่อนะคะ)