แก้ไขถากถางสิ่งที่ปิดบังทางที่มันรกรุกรังด้วยกิเลสนั้นออกด้วยมรรค




ไม่ใช่ว่านิโรธจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างหนึ่งโดยไม่เกี่ยวข้องกับมรรค มรรคทำหน้าที่อันหนึ่งต่างหาก
เป็นคนละชิ้นละอันอย่างนั้น


มันเป็นความเกี่ยวเนื่องกันในสัจธรรมทั้ง ๔ ถ้าพูดตามความจริงของผู้ปฏิบัติเป็นอย่างนั้น มันเกี่ยวโยงกันไปหมด
เช่น ทุกข์ให้พึงกำหนดรู้ ท่านบอก ทำไมจะไม่รู้เราไม่ใช่คนตาย ทุกข์เกิดขึ้นทางกายหรือทางใจมันก็รู้ด้วยกันทุกคน
อุบายวิธีการที่ท่านสอน ท่านก็บอกไว้อย่างนั้น สมุทัยให้พึงแก้ พึงละ พึงถอน พึงระงับดับมันด้วยมรรค มรรคพึงเจริญ
คำว่าเจริญ ก็คือเจริญความพากเพียรเพื่อจะให้สติปัญญาเกิดขึ้นนั่นเอง



เมื่อสติปัญญาเกิดขึ้นมากน้อยก็เพื่อจะแก้กิเลสโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
แก้กิเลสได้มากน้อยเพียงไรทุกข์ก็ดับไป ๆ เพราะอำนาจของการแก้กิเลส
ไม่ใช่ทุกข์จะไปทำหน้าที่ของตัวโดยลำพัง ซึ่งไม่ต้องอาศัยมรรคเลยอย่างนั้นไม่ได้ มันเกี่ยวโยงกันอย่างนี้
แต่พระพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัยต้องแยกแยะให้เห็นทุกแง่ทุกมุม



ทีนี้เราไม่เข้าใจ  ก็เลยไปกระจายกันออกเป็นเหมือนกับแบบแปลนแผนผังของบ้านของเรือน
ทุกข์ต้องทำหน้าที่กำหนดทุกข์ แล้วจึงจะไปละสมุทัย จึงไปเจริญมรรคจะไปทำนิโรธให้แจ้ง
เป็นคนละภาคเป็นคนละอย่างไปเสีย วันยังค่ำตลอดตายก็ไม่เห็นเหตุเห็นผลอะไรจากการบำเพ็ญการปฏิบัติแบบนี้เลย
เพราะธรรมเหล่านี้เป็นความเกี่ยวเนื่องกัน พอทุกข์เกิดขึ้นมันมีสาเหตุเป็นมาอย่างไร มันถึงทุกข์ นั่น



คำว่า มันมีสาเหตุมาอย่างไรมันถึงทุกข์ นี้เป็นเรื่องของมรรคแล้ว ได้แก่ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญแล้ว
อ๋อ มันทุกข์เพราะสัญญาอารมณ์แบบนั้นๆ ชนิดนั้น มันมีความกังวลกับสิ่งนั้นๆ วันนี้มันถึงได้ก่อทุกข์ขึ้นมา
แล้วพิจารณาเรื่องอารมณ์ที่มันไปเกี่ยวเกาะ ไปก่อขึ้นมานั้นให้เป็นที่เข้าใจแล้วมันก็ระงับดับลงไปด้วยอำนาจปัญญา
การดับลงไปนั้นท่านก็ให้ชื่อว่านิโรธ นิโรธไม่ได้ไปทำหน้าที่อะไรแหละ ความจริงเป็นอย่างนั้น


...............................................



สมาธิไม่จำเป็นเดินปัญญาเลย อย่างนี้ก็มี สมาธิมันครึมันล้าสมัยเอาปัญญาเลย ฟาดมันลงไปเลย ปัญญามันก็สัญญานั่นแหละ
มาพูดเฉยๆ ไม่ได้คำนึงถึงการปฏิบัติ ไม่ได้พูดขึ้นมาจากความรู้ พูดขึ้นมาจากสัญญาอารมณ์ มันก็หลอกไปวันยังค่ำ
สอนคนอื่นก็สอนแบบหลอกโดยไม่มีเจตนาก็ตาม มันก็หลอกอยู่นั่นแหละ มันไม่จริง
ท่านสอนยังไงเป็นความถูกต้องดีงามทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่า สวากขาตธรรม การปฏิบัติจึงควรปฏิบัติตามนั้น



เราอยากเห็นกันทุกคนความพ้นทุกข์ ถึงความสุขอันสมบูรณ์
แต่ที่มันเห็นไม่ได้รู้ไม่ได้ ก็เพราะความคิดหรือสมุทัยมันกีดกั้นอยู่ภายในจิตใจ
ไม่ใช่กาลและสถานที่ หรือบุคคลอื่นใดทั้งหมดมาทำการกีดขวางทางเดินของเรา เป็นเรื่องของเราเองเป็นผู้กีดขวางตัวเอง
ด้วยความเข้าใจผิดคิดไปในแง่ต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสอันเป็นสิ่งที่จะทำให้มืดมิดปิดตาหาทางเดินไม่ได้
เพราะฉะนั้นจึงต้องสั่งสมสติปัญญาให้เป็นความสว่างขึ้นมา
แก้ไขถากถางสิ่งที่ปิดบังทางที่มันรกรุกรังด้วยกิเลสนั้นออกด้วยมรรค
จิตใจก็สว่างไสวขึ้นมาเอง สว่างขึ้นที่ใจนี่แหละ จะไปสว่างที่ไหน


----------------------------------------------


ที่ฆ่ากิเลส - พระธรรมเทศนาโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๐
อ่านเนื้อหาเต็มได้จาก http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3054&CatID=3
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่