[CR] WOOFER LIFE & Traveller life from OSAKA to HOKKAIDO

การไปญี่ปุ่นครั้งนี้ เราไปวูฟกันสองที่ ที่แรกคือ จังหวัดวาคายามะ ใกล้ๆสนามบินคันไซ  ที่ที่สองคือ จังหวัดทาคิโนะอูเอะ ที่ฮอกไกโด เราลืมบอกว่าเราพูดญีปุ่นไม่ได้เลย เพื่อนเราสองคนพูดได้ และพวกเราก็เตรียมตัวกันนานมากๆ วางแผนการเดินทาง หาโรงแรมไว้พักตอนที่เที่ยว หาโฮส์ต ซึ่งต้องรอโฮสต์ตอบกลับมา ผ่านทางเว็ป www. wwoofjapan.com ขอวีซ่า และซื้อตั๋วมาเลย  
ทริปนี้เราไปกันสองเดือน สามคน  เราวูฟไปเที่ยวไป เราจะเดินทางไล่จากใต้ขึ้นเหนือ เริ่มที่คันไซ โอซาก้า วาคายามะ นารา เกียวโต โตเกียว ซัปโปโร อาซาฮีกาว่า บิเอะ ฟุราโนะ และทาคิโนะอูเอะ  เราเลือกวูฟในแต่ละที่จำนวนสองอาทิตย์ นอกจากนั้นเราท่องเที่ยวกัน
เริ่มจากเรานั่งรถไฟมาถึงสถานีวาคายามะ อยู่ในจังหวัดวาคายามะ ทางตอนใต้ของคันไซ พวกเรามองหาโทรศัพท์และให้เพื่อนเป็นคนคุยกับโฮสต์  ฉันก็นั่งทำหน้าที่เฝ้ากระเป๋าให้ตามเคยเพราะพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้  ใจความในโทรศัพท์โฮสต์บอกว่าให้มาลงที่สถานี “ อูชิตะ “ พวกเราก็งงกันเพราะตอนแรกฟังเสียงเพี้ยนเป็นสถานีอื่น โชคดีที่เจ้าหน้าที่สถานีให้การช่วยเหลือ เราลากกระเป๋าไปอีกชานชาลานึงในเจอาร์สายวาคายามะ นับจากสถานีนี้ไปอีกแปดสถานี ฉันเลือกไปนั่งแถวคนเดียว นั่งมองทางข้างหน้าต่าง จินตนาการหน้าของโฮสต์  เค้าจะดุไหมนะ บ้านจะเป็นอย่างไร จะให้เราทำอะไรบ้าง เพื่อนๆก็คงจะกังวลแบบเดียวกับที่ฉันคิดไม่น้อยไปกว่าฉัน พวกเราสามคนได้แต่มองไปข้างทางและฉันเชื่อว่าทุกครั้งที่เราได้นั่งรถไฟของประเทศนี้พวกเราก็แอบอุ่นใจได้ไม่น้อย ไม่ว่าทางข้างหน้าของพวกเราจะเป็นอย่างไร
วิวข้างทางมีสีเขียวมากมาย จังหวัดนี้ช่างเขียวชะอุ่มมากๆ บ้านเรือนตั้งห่างกันออกไปตามชานเมือง

ยิ่งรถไฟวิ่งออกไปไกลเท่าไหร่ ฉันยิ่งใจหายกับชีวิตของตนเองและเพื่อนในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ร้านสะดวกซื้อ ลอวสัน เซเว่น ยิ่งมองหาแทบไม่เจอแล้ว  และในที่สุดเราก็มาถึงสถานี อูชิตะ   ฝนเพิ่งตกเสร็จไปแล้วเหลือแต่พื้นเปียกๆให้พวกเราแอบกังวลใจกันไม่น้อย สถานีอูชิตะ ช่างเล็กยังกะบ้านน้องหมา  พวกเรามองหาโทรศัพท์ข้างทาง และโทรหาโฮสต์ โฮสต์รับโทรศัพท์และบอกว่าจะรีบมารับ   ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น รถตู้มีขาวคันเล็กๆ แบบที่ฉันเคยเห็นที่ไทย ก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับผู้ชายที่โบกมือทักทายให้กับพวกเราทั้งสามคน  ตั้งแต่รถยังวิ่งมาไม่ถึงพวกเรา ฉันไม่เคยเห็นหน้าคาดตาของโฮสต์มาก่อนไม่รู้ว่าชื่ออะไร ที่บ้านทำอะไร หน้าตาเป็นแบบไหน เพราะเพื่อนเป็นคนติดต่อให้ โฮสต์ลงจากรถและเปิดประตูหลังรถให้เพื่อให้พวกเรานำกระเป๋าใส่ในหลังรถ และสวัสดี “ คนนิจิวะ “
โฮสต์แนะนำตัวเองว่าชื่อ “ โยเฮ” จาก “โคมิอิชิฟาร์ม ยินดีต้อนรับ “  โยเฮซังพูดภาษาอังกฤษกับพวกเราแต่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง  โยเฮเป็นผู้ชายตัวเล็กๆ ตอนแรกฉันนึกว่าเขาคือเด็กในฟาร์มที่ให้ขับรถมารับพวกเราด้วยซ้ำ แล้วภาษาอังกฤษของโยเฮซังดีกว่าคนญี่ปุ่นที่เคยได้เจอเป็นไหนๆ
โยเฮซังเปิดประตูให้พวกเรานั่งเบาะตอนที่สอง ฉันสังเกตุว่ามีเด็กเล็กประมาณสองขวบนอนหลับคาที่นั่งข้างคนขับโดยคาดเข็มขับนิรภัยไว้ ทันทีที่รถเปิดโยเฮซังปัดฝุ่นและฟางบนเบาะ ฉันได้กลิ่นฟาง และกลิ่นทำสวน แล้วพวกเรา็ขึ้นไปนั่งกัน พวกเราแนะนำตัวกัน บนรถที่กำลังวิ่งไปสู่บ้านโฮสต์ แล้วก็พูดคุยกัน  แนะนำตัวกันในรถ เพื่อนถามโยเฮซังว่าที่บ้านมีวูฟเฟอร์คนอื่นๆไหม โยเฮซังบอกว่ามี เป็นผู้หญิง พวกเราดีใจกันมากๆๆๆหันมาพูดภาษาไทยกันว่า “พวกเรารอดตายแล้ว มีเพื่อน ฮ่าๆ “ ฉันจำชื่อโฮสต์ไม่ค่อยได้ ชอบเรียกผิดจาก โยเฮ เป็น เฮโย ใช้เวลาสองวันกว่าจะปรับตัวได้

  โยเฮซังบอกว่าจะขอแวะที่สวนกับร้านกาแฟเพื่อนของเค้าก่อน พวกเราก็งงๆ ฉันมองข้างทางมันไม่มีร้านสะดวกซื้ออะไรเลย ฉันพยายามจำทางให้ได้เยอะที่สุดแต่สุดท้ายก็งง   รถแล่นมาจอดที่บ้านทรงญี่ปุ่นโบราณ โยเฮซังบอกให้พวกเราทุกคนลงไป โดยที่ปล่อยให้เด็กคนนั้นนั่งหลับในรถ ฉันงงว่าเค้าปล่อยเด็กไว้แบบนี้หรอ แล้วก็งงเดินตามโฮสต์เข้าไป ฉันร็สึกถึงได้ของความมืด มีตะไคร่ มอส ความชื้น ฉันไม่ชอบเลย กังวลใจ แต่พอได้ได้เห็นแสงสีเหลือง และดูรู้ว่าข้างหน้าเรากำลังจะเดินเข้าไปที่ร้านกาแฟ ทำให้ฉันอุ่นใจขึ้น พร้อมกับการปรากฏกายของผู้หญิงหน้าตาใจดียิ้มแย้ม ยิ้มต้อนรับพวกเราอยู่  ในร้านเป็นร้านกาแฟที่รีโนเวทมาจากบ้านเก่าทรงญี่ปุ่นโบราณ เป็นร้านกาแฟดริป มีเบเกอรี่ ร้านน่ารักมากๆ มีผักและผลไม้ที่โยเฮซังกำลังหยิบอยู่วางอยู่ที่เคาเตอร์จ่ายเงิน โยเฮซังแนะนำพวกเราว่ามาจากไทย เป็นวูฟเฟอร์มาใหม่ พวกเราแนะนำตัวกัน และกล่าวสวัสดี ฉันได้แต่ยิ้มอย่างเดียวเพราะพูดไม่ได้ แล้วเราก็กลับไปที่รถ โยเฮบอกว่าต่อไปเราจะไปที่สวน  รถขับเร็วมาก โยเฮซังดูเป็นคนที่ขับรถแบบไม่กลัว เลี้ยวทีทุกคนเอนตามๆกันไป บวกกับทางที่เล็กๆมากพอแค่รถคันเดียววิ่งได้ โยเฮซังไม่ลดความเร็ว วิ่งต่อไปพร้อมกับยิ้ม เขาดูมีความสุขตลอดเวลา ฉันว่าโยเฮซังน่าจะอายุประมาณสามสิบกว่าได้ แล้วพวกเราก็กลับไปที่รถ โยเฮซังบอกว่าเรากำลังจะไปบ้านของเขากัน

มุมนี้เป็นมุมที่ฉันชอบมานั่งเล่น
ฉันกำลังจินตนาการถึงบ้านของโยเฮซัง ว่าจะเป็นยังไงน้า แอบกังวลใจเล็กน้อย   รถวิ่งเข้าสู่ถนนที่เล็กมากๆ แล่นลงไปแล้วก็ขึ้นเนิน โยเฮซังตะโกนบอกว่านั่นไงบ้านของเขา  บ้านที่เห็นไกลออกไปสองกิโลเมตร มีอยู่หลังเดียวที่ตั้งอยู่ตรงนั้นเป็นบ้านไม้ทรงโบราณแบบญี่ปุ่น คล้ายๆบ้านร้านกาแฟของเพื่อนเขาแต่มันโทรมกว่ามากๆ ก่อนถึงบ้านมีสะพานเล็กๆข้ามแม่น้ำ  แล้วเราก็มาถึงหน้าบ้าน  มีรถจอดหนึ่งคัน พร้อมกับทางซ้ายมือคืออุปกรณ์ทำสวนทั้งหมด มีกลิ่นปุ๋ย บวกกับวันนั้นฝนเพิ่งตกเสร็จ ฉันไม่ชอบกลิ่นและบรรยากาศแบบนี้มากๆ ฉันกังวล สิ่งแรกที่คิดคือ บ้านนี้จะมีหนูไหมนะ ฉันกลัวมากๆ ดูจากสภาพบ้านแล้วมีชัวร์ ฉันได้แต่กัดฟันแล้วยกกระเป๋าจากหลังรถตู้มินิ คันสีขาวนี้เดินเข้าไปในบ้าน  เอาวะเป็นไงเป็นกัน

โยเฮส่งเราเสร็จเค้าขอตัวไปทำงาน โยเฮดูเป็นคนเร่งรีบตลอดเวลา ไม่แนะนำอะไรให้เราเลย พวกเราเดินเข้าไปสำรวจในบ้านเพราะไม่มีคน เดินเข้าไปเจอห้องนึง มีคนนอนอยู่  4คน เดากันว่าน่าจะเป้นวูฟเฟอร์ชาวไทยเหมือนกัน  ฉันทักทาย ถามไถ่กันว่าชื่ออะไรเป็นน้องๆผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน  มีน้องคนนึงดูท่าทางใจดี ชวนพวกเราคุย ปรากฏว่าเราเรียนมหาลัยเดียวกัน ฉันดีใจมากๆๆอุ่นใจขึ้นมาก น้องๆแนะนำห้องน้ำ ที่ทานข้าว และห้องนอน น้องบอกว่าพี่ๆจัดการกันเองเลย ห้องนี้ว่างเอาเบาะที่นอนจากตรงนี้นะ อยู่บ้านนี้ต้องดูแลตัวเองนะ เค้าไม่บอกอะไรเลย พวกเราตอนมาก็งงทำกันเองแบบนี้แหละพี่ ฉันก็ทำตามคำแนะนำของน้องๆ น้องพูดไปก็ยิ้มไป


น้องบอกว่างานที่นี่ไม่หนัก ตื่นตีห้า ทำถึงเที่ยงก็เสร้จ  ที่เราทำกันก็เป็นแยกถั่วแต่ละประเภท เก็บมะเขือเทศ  แครอท แตงกวา มะเขือม่วง และถอนหญ้า เก็บมันฝรั่ง หลังจากนั้นเราจะทำอะไรก็ได้ แล้วบ้านนี้ก็เป็นมังสวิรัติ อาหารเราจะทำกินกันเอง เค้ามีวัตถุดิบให้ในตู้เย็น พวกเราสามคนก็พยักหน้าตามคำแนะนำของน้องใจดี  เราเลือกที่นอน และจัดห้องย้ายของให้ห้องโล่งขึ้นเพราะสภาพมันรกมาก มีของเต็มไปหมด หลังจากจัดห้องเสร็จฉันกับเพื่อนๆพูดกันว่า เราจะอยู่ที่นี่กันได้ไหมนะ อยากให้เวลาสองอาทิตย์ที่นี่หมดไปเร็วๆๆๆๆ น้องๆบอกว่ามีวูฟเฟอร์ชาว สเปนอีกคนนึงชื่อ ฮาบี้ ออกไปทำงานกับโยเฮอยู่ อายุแก่กว่าพวกเรา  ฉันได้เจอเขาในตอนมื้อเย็นของวันแรกที่บ้านหลังนี้ จับมือทักทายกัน บางทีก็ฟังสำเนียงของฮาบี้ไม่ออก เพราะเค้าพูดสำเนียงสเปน

และเสาร์อาทิตย์เราจะทำงานทีร้านพิซซ่า มังสวิรัติของเขา ภายในร้านโยเฮซังตกแต่งต่อเติมเองทั้งหมด มีลูกค้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่มากแน่นร้านเหมือนจะรู้กันว่าที่นี่มีพิซซ่ามังสวิรัติขายนะ และบางทีโยเฮซังก็ทำมาให้พวกเราชิมกันเย็นวันนั้นน้องๆชวนเดินไปซุปเปอร์มาเก็ตกัน ถามว่าไกลไหมน้องบอกก็เดินประมานสามสิบนาที  มีจักรยานแค่สองคันไปไม่ไหมด เพราะ มีกันทั้งหมด แปดคน เราก็บอกว่าไปด้วยๆๆแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางไปซุปเปอร์มาเก็ต ฉันเดินสำรวจข้างทาง มีแต่ทุ่งนาบ้านคน และต้นไม้ บ้านที่นี่สวยจัง เดินไปก็คุยทำความรู้จักกันไป ได้รู้จักกันและกันมากขึ้น ฉันจำทางที่จะไปซุปเปอร์มาเก็ตพร้อมกับคำแนะนำของน้องๆ เหนื่อยจังกว่าจะมาถึง  ในซุปเปอร์มาเก็ตฉันและบีมตะวันซื้อของตุนเอาไว้เผื่อเราเบื่ออาหารมังสวิรัตที่บ้านโยเฮ แล้วเราก็เดินกลับ ถึงบ้านมืดพอดี เราได้เจอกับแม่ของโยเฮ และพี่สาว และภรรยาของโยเฮ พร้อมกับได้รู้ว่าเด็กผู้หญิงที่นั่งหลับข้างคนขับรถในวันแรกนั้นคือลูกสาวของโยเฮซัง เป็นดาวซินโดรม แต่หน้าตาน่ารักมากๆแก้มสีชมพู หน้าหยิก ชื่อว่า ไอยากะจัง  ฉันท่องประโยคที่เพื่อนสอนไปแนะนำกับคนในบ้านว่า'' ฮาชิเมะมาชิเตะ วาตาชิวะ บานี่เดส ’’ ทุกคนดูดีใจกับการพยายามพูดจนจบประโยคของฉัน   ฉันถามเรื่องอากาศกับน้องๆน้องบอกว่า’’ ที่นี่หนาวตอนกลางคืน ยุงเยอะมากด้วยพี่ ระวังนะ แต่ห้องน้ำบ้านนี้ดี ไม่ใช่ส้วมหลุมเหมือนบ้านโฮสต์ที่หนูเจอก่อนมาที่นี่''  มีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่ต้องล็อคดีๆ เพราะน้องๆเคยเจอลูกสาวโอสต์เดินมาเคาะประตูเล่น ตามภาษาเด็ก ตกใจกันมากแต่ก็อดขำกับเด็กไม่ได้5555มื้อเย็นของเราต้มมาม่าต้มยำกุ้งที่เตรียมไปจากไทยกันนั่งกินไปก็ยังไม่ชินหลังจากนั้นพวกเราก็
ชื่อสินค้า:   รีวิว วูฟญี่ปุ่นครั้งแรก และเที่ยวเวลา สองเดือน งบเพื่อนคนนึงทำไว้หกหมื่นบาทรวมทุกอย่าง
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่