เพราะความจน ... ทำให้นิสัยเปลี่ยนไป

ลำบากถึงขนาดมีเงินก็ไม่กล้ากินข้าว เพราะ ต้องเก็บเงินไว้นั่งรถเมล์หางานทำ
ที่บ้านโดนตัดไฟ อยู่ในบ้านมืด ๆ เป็นเดือน ๆ
น้ำไม่อาบเป็นเดือน ๆ เพราะไม่กล้าซื้อสบู่ (เหตุผลเดียวกับไม่กล้าซื้อข้าวกิน)

ตอนนี้ ความลำบากนั้นกำลังคลี่คลายไปในทางที่ดี ตอนนี้มีงานทำแล้ว ชีวิตกำลังดีขึ้น
แต่ ความจน เปลี่ยน นิสัย ผมไปหลายอย่าง
ช่วงเวลาที่ลำบาก ทำให้เรียนรู้อะไรต่าง ๆ มากมาย


- จากคนกินทิ้งกินขว้าง กินข้าวไม่หมดจาน ตอนนี้ฟาดเรียบไม่มีเหลือ
- กลายเป็นคนกินจุขึ้น เคยกินข้าววันละ 1 ทัพพีต่อมื้อ ตอนนี้ 4-5 ทัพพีต่อมื้อ
- รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งเวลา เห็นคนกินทิ้งกินขว้าง กินไม่หมด โดยเฉพาะบนฟูดคอร์ด เห็นเหลือทิ้งกันเยอะมาก ทั้งที่มันก็ไม่ได้เยอะเลย ทำไมถึงกินให้หมดชามไม่ได้ ...
- เคยเป็นคนกินยาก ช่างเลือก ตอนนี้กินเมนูที่ไม่เคยกินได้หลายอย่าง จากไม่เคยกินน้ำพริก ก็ กลายเป็นชอบน้ำพริก ไม่ชอบเครื่องในสัตว์ กลายเป็นกินได้
- ไม่เคยทำกับข้าว แต่ความลำบากสอนเราให้ต้องทำกับข้าวเป็น ตอนนี้ทำได้หลายอย่างแล้วเพราะ ทำกินเองถูกกว่าซื้อ
- ความบันเทิงในชีวิตหายไปหมดสิ้น จากเคย ดูหนัง ฟังเพลง เล่นดนตรี เล่นเกมส์ ... สิ่งเหล่านี้หายไปจากชีวิตเพราะความจน ... แต่ได้ค้นพบสิ่งใหม่คือการนั่งสมาธิภาวนา
- เคยเป็นคนไม่มีน้ำใจ ขอทาน ไม่เคยให้ตังค์ ตอนนี้เจอใครลำบาก ก็อยากช่วยเหลือเขา ... เพราะเข้าใจว่าความจนมันเจ็บแค่ใหน
- ไม่เคยรับโบชัว ใบปลิว ที่คนมายืนแจก ... ตอนนี้รับหมดไม่ว่าใครแจกอะไร เพราะเข้าใจว่า เขาก็เหนื่อย ก็หิว และ ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน จึงต้องมายืนแจกใบปลิวแบบนี้
- เป็นคนประหยัดมากขึ้น จากสมัยก่อนที่ยังไม่ลำบาก ตอนนี้มีเงินแค่ 2000 ก็อยู่ได้ทั้งเดือน
- ความจนทำให้ผมรู้ว่า คนเราจะแบ่งบันเพื่อนมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อคนผู้นั้น เอาตัวรอดได้แล้ว มีเงินสุขสบายแล้ว จึงจะคิดถึงผู้อื่น ... จึงเข้าใจว่าคนจนบางคนไม่ทำบุญ เพราะเขาไม่มีแม้แต่จะกินจริง ๆ ... ลึก ๆ ก็รู้ว่าคนจนเหล่านั้นก็อยากทำบุญ อยากช่วยเหลือผู้อื่นถ้ามีโอกาส เหมือนกันถ้ามีเงินมากกว่านี้
- เป็นคนเดินทนมากขึ้น จากเมื่อก่อนแค่ 1 ป้ายรถเมล์ก็ขึ้นรถแล้ว แต่ตอนนี้สามารถเดิน ไป-กลับที่ทำงานได้ หลายกิโล โดยไม่ขึ้นรถเมล์
- เห็นคุณค่าของเงินมากขึ้น จากที่เมื่อก่อน เหรียญบาทเกลื่อนห้อง ตอนนี้เก็บทุกบาททุกสตางค์
- ความจนทำให้ผมอยากเรียนรู้เรื่องการออม การลงทุน ทั้งที่เมื่อก่อนไม่สนใจ เก็บใส่กระปุกอย่างเดียว ไม่คิดนำไปต่อยอด
- เมื่อก่อนเห็น ขอทาน แล้วเฉย ๆ ตอนนี้รู้สึกสงสาร อยากช่วยเหลือ อยากทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น
- คิดว่าวันนึงถ้าร่ำรวย มีเงิน มีโอกาสแล้วอยากช่วยเหลือคนตกงาน อยากนำข้าวไปให้กิน อยากหางานให้ทำ อยากช่วยเหลือทุกเรื่องที่จะช่วยเหลือคนตกงานให้ผ่านพ้นวิกฤติไปให้ได้ (อันนี้อยากทำจริง ๆ อยากเปิดเป็นมูลนิธิช่วยเหลือคนตกงานเลย)
- จากเคยมองคนที่ต่ำกว่า ว่าต่ำต้อย ไม่น่าคบ กลาย เป็น เห็นอกเห็นใจ อยากช่วยเหลือ
- จากเป็นคนไม่เคยทำบุญ ก็สนใจการทำบุญ ไม่เคยสวดมนต์ภาวนา ไม่เคยทำสมาธิ วิปัสนา ก็หันมาสนใจเรื่องบุญมากขึ้น
- ไม่เคยสำรวจตัวเองว่า ทุเรศ ขี้เกียจ ซกมก ตอนหลังจึงมาคิดได้ และ พยายามสลัดนิสัยเสีย ๆ ของตัวเองออกไป
- เคยมองโลกแต่ในแง่ลบ ตอนนี้ มองแต่ในแง่บวก ... สิ่งนึงที่ทำให้รอดตายมาได้เพราะ เปลี่ยนความคิดจาก ลบ เป็น บวก และเจอกับตัวเองแล้วว่า คนที่คิดแต่แง่ลบ เรื่องเลวร้ายก็จะเข้ามา ต้องมองแต่แง่บวกไว้ก่อน ถึงจะมือ 360 ด้าน ยังไงก็ต้องมีทางออกของปัญหาเสมอ



ปล. เพราะอะไรผมถึงเจอวิบากกรรม ทำให้ลำบากขนาดนี้ ... เพราะความขี้เกียจคำเดียวเลยครับ
      ลองอ่านกระทู้นี้ดู หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับคนที่ กำลัง ขี้เกียจ ท้อแท้ จับจดนั่งโทษตัวเอง ฯลฯ ได้อ่านและมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง
      http://pantip.com/topic/33159183
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 28
(ขออนุญาตินำความเห็นของคุณ สมาชิกหมายเลข 1033165 มาเน้นในจุดนี้
เพราะเห็นว่าเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์ และ อยากให้เมืองไทยมีแบบนี้บ้าง
ขอบคุณ สมาชิกหมายเลข 1033165 สำหรับความรู้ตรงนีด้วยครับ)


ความคิดเห็นที่ 21-4
จริง ๆ แล้วประเทศที่พัฒนาแล้วเขามีสวัสดิการส่วนนี้นะครับ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น สำหรับสหรัฐฯ นั้นเขามีบ้านให้พวกจรจัด หรือไม่มีงานทำได้พัก แต่ให้พักได้แค่คืนเดียวนะ พรุ่งนี้ไปต่อคิวใหม่ ไม่ได้ก็อด ไปนอนข้างถนนเอา ภาครัฐบาลมีสวัสดิการโรงทานเลี้ยง และบางทีพวกโบสถ์ต่าง ๆ ก็ตั้งโรงทานเลี้ยงในโอกาสพิเศษต่าง ๆ อีก พวกที่ประกันตนมีเงินเดือนให้พอแค่ยาไส้ มีช่วยหางาน ฯลฯ  ส่วนญี่ปุ่นนั้น คนจรจัดเร่ร่อนมีเงินเดือนนะครับ ตกเดือนละหมื่นกว่าบาท (แต่ผมไม่ confirm ข้อมูลนะว่าจริงเปล่า) เขาจะรวมกันเป็นกลุ่ม ๆ คล้ายสลัมบ้านเรา ทุก ๆ เช้าจะมาเข้าแถวรองาน (ย้ำนะครับว่าเข้าแถว) บางพวกก็อยู่ไม่เป็นที่เร่ร่อนไปเรื่อย ค่ำไหนนอนนั่น ก็ขอยืนยันล่ะครับว่ารัฐสวัสดิการ หรือประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลายแหล่นั้นมี แต่สำหรับประเทศไทยนั้น.... ความตั้งใจของ จขกท.เป็นความตั้งใจที่ดี และควรมีในประเทศไทยตั้งนานแล้วด้วย ให้สมกับภาษีที่ประชาชนเสีย และให้สมกับประกันสังคมที่เราได้จ่าย ๆ กันไป
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
โชคดีที่ผมมีทุกข้อที่ จขกท กล่าวมาโดยไม่ต้องรอไห้มีบทเรียนที่สาหัสสากัน
ทุกวันนี้ ขอบคุณ รปภ ทุกครั้งที่โบกรถ เปิดประตู ขอบคุณแม่บ้านทุกวันถ้าเจอก่อนกลับห้อง
มีอยู่เย็นวันหนึ่ง แม่บ้านที่บริษัทถามว่าขอบคุณเขาทำไม ก็ขอบคุณที่พี่ช่วยทำไห้ห้องผมสะอาดหมดจรดทุกวันไงครับ ...
มีอยู่ครั้งไปกินข้าวมันไก่ข้างทาง มีคนจรเดินมาขอเงินกินข้าว ผมชวนนั่งกินด้วยกันเลย ตอนคิดเงิน เจ้าของร้านไม่คิดเงินผม ให้ก็ไม่เอา
มีหลายๆอย่างในโลกนี้ สิ่งเล็กๆน้อยๆก็อย่ามองข้าม ผมคิดเสมอว่า วันนี้ผมโชคดีกว่าใครอีกเป็นแสนเป็นล้านคน
ไห้ได้ก็ไห้ แบ่งได้ก็แบ่ง ไม่เดือดร้อนตัวเอง ครอบครัว หรือคนอื่นเป็นพอ

ทำบุญอย่าเข้าแต่วัดเลยครับ ไปตามสถานสงเคราะห์ คนแก่ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ไม่ต้องรอไห้มีเย้อะ เล็กๆน้อยๆก็มีความหมายครับ
ความคิดเห็นที่ 3
มันจะดูเว่อร์ไปมั้ย ... แต่ผมอยากทำจริง ๆ นะ

มูลนิธิช่วยเหลือคนตกงาน

- หางานให้ทำ ( รวบรวมข้อมูลคนตกงานที่มี โดยไปคุยกับนายจ้าง ๆ ต่าง ๆ
- หาที่พักฟรีให้ (มีงานแล้วค่อยให้ย้ายออก เพื่อคนตกงานคนอื่นจะได้อยู่แทน)
- มีค่ารถเมล์เพื่อให้ไปหางาน (กรณีอยากหาเอง) คนละ 100 บาทต่อวัน
- มีอาหารเป็นโรงทานให้กินวันละ สามมื้อ
- มีอินเตอร์เน็ต ให้เข้ามา search หางาน
- มีการสอนอาชีพ ทำขนม งานฝีมือ เพื่อไปนำไปต่อยอดธุรกิจส่วนตัว
- มี เงินกู้ ดอกเบี้ยต่ำโครต (บางรายอาจไม่เอาดอกเบี้ยเลย) มีเงินเมื่อไหร่ ค่อยเอามาคืน
- มีอบรมนั่งสมาธิ สวดมนต์ นิมนต์พระมาเทศ สั่งสอน ให้กำลังใจ ให้มองแต่ในแง่บวก
ฯลฯ

จริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้มันก็มีคนคอยช่วยอยู่หลายหน่วยงานอยู่แล้ว ทั้งกรมแรงงาน หรือ ตามวัดต่าง ๆ แต่ผมว่ามันเป็นเชิงรับเกินไป
อยากช่วยเหลือแบบเชิงรุก เข้าหาถึงตัวคนกำลังเดือนร้อนเลย คนเหล่านี้น่าสงสาร และ ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ เราต้องเป็นมิตรกับเขา และ วิ่งหาเขา แสดงถึงความจริงใจที่อยากช่วยเหลือจริง ๆ ... คนตกงานเหล่านี้คงจะดีใจมากที่มีคนคอยช่วยเขาในเวลาลำบากแบบนี้

ยังมีหลายสิ่งที่อยากช่วย ... ถ้าวันนึงผมทำได้ผมจะทำแน่นอน
ความคิดเห็นที่ 10
อะไรที่เป็นความสุขของเรา เเล้วเป็นความสุขของผู้อื่น ทำไปเลยครับ




เเละอย่าลืมว่า คิดดี ทำดี แล้ว อย่าหวังผล

ความคิดเห็นที่ 19
ขอบคุณที่แบ่งปันคับ

ยกเว้นเรื่องขอทาน (ครบ 32) ผมว่าเค้ารวยกว่าที่คุณคิดเยอะมากครับ
ความคิดเห็นที่ 16
ผมเคยมีเพื่อนสถานะคล้ายๆคุณและผมก็จะบอกคุณตรงๆอย่างจริงใจเหมือนที่เคยบอกกับเพื่อนผมว่า ...

"เอาตัวเองให้รอดก่อนนะตอนนี้ ไม่ต้องเศือกเอาหัวไปคิดช่วยคนนั้นคนนี้ไปตั้งสมาคมสมาคังมูลนิธิ5เหวไรเลย ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเลิกฟุ้งซ่านคิดมากเกินตัวแล้วหาเงินมีกินให้อยู่ตัวซัก 5 ปี 10 ปีก่อนนะ แล้วเหลือเยอะเมื่อไหร่ค่อยคิดให้คนอื่นก็ยังไม่สาย ไม่ใช่วันนี้ไม่มี 5 ไรเลยแต่ฝันเกินตัวไปตั้งโน่นตั้งนี่ใหญ่โต อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงซะทีโว้ย! ..."
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่