บันทึกการเดินทางที่ไม่อยากให้ทำตาม : 5 วันสู่ความแข็งแกร่ง ฝึกวิทยายุทธ์ที่เวียดนาม (โฮจิมินท์ ดาลัต มุยเน่)

เรื่องนี้เกิดมานานแล้ว สัก 2 ปีได้แล้ว อาจจะมีอะไรตกหล่นไปบ้าง แต่เรื่องนี้เราสัญญาไว้กับเพื่อนคนนึงนานแล้วว่าจะเขียน ก็เลยเขียนขึ้นมา และบางส่วนก็อยากให้เป็นอุธาหรณ์ของคนที่กำลังจะไปเที่ยวด้วย ว่าความลำบากเป็นหนทางพิสูจน์มิตรภาพจริง ๆ ซึ่งเราก็ไม่ใช้คนดีสักเท่าไหร่หรอก อ่านไปก็คงรู้กันได้ ฮ่า ๆ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า

(ช่วงก่อนวันเดินทาง)

              ทริปการเดินทางของเราเริ่มต้นจากเสียงโทรศัพท์ในตอนกลางวันก่อนเดินทางสู่เวียดนาม 1 สัปดาห์ เพื่อนสาวคนสนิทโทรมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า เพื่อนคนหนึ่งจะจัดทริปไปเวียดนาม มีเพื่อนที่เป็นคนท้องถิ่นที่รู้จักจะพาเที่ยวด้วย ลองคำนวณราคาแล้วการเดินทางครั้งนี้น่าจะ 3,000 – 5,000 บาท เราลังเลสักพัก เล่นตัวพอเป็นพิธี เนื่องจากพาสปอร์ตเราหมดอายุไปนานแล้ว หลังจากถูกแรงยุของเพื่อน บวกกับความหูเบาอีกนิดหน่อย ก็เลยโอนเงินไปให้เพื่อนไปแลกเป็นเงินดอลล่าห์จำนวน 3,000 บาท ให้เงินไปต่ำสุดเลยนะ แต่เราก็รู้ว่า 3,000 บาท มันไม่พอหรอก ในตอนนั้นคิดว่าถ้าเงินหมดทั้งที่ยังไม่ถึงบ้านล่ะ เลยสำรองเงินไทยไว้ด้วยอีก 2,000 บาท ตอนนั้นลืมนึกถึงตู้ ATM พอกลับมาถึงไทยแล้วเพิ่งนึกได้ว่า เออ เมืองไทยมีตู้ ATM นี่หว่า และเรื่องเงินที่แลกไปน้อยก็กลายเป็นประเด็นสำคัญต่อการเดินทางครั้งนี้ เมื่อ(อดีต)เพื่อนไม่ได้คืนเงินสำหรับแลกเป็นดอลล่าห์ให้แก่เพื่อนสนิทเราก่อนออกเดินทาง โดยตอนนั้นอ้างว่าจะเอาเงินไปให้วันออกเดินทาง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้คืน ทำให้เงินที่เพื่อนเอาเก็บไว้สำรองร่อยหรอลง

             จากที่เล่าไปก่อนหน้านี้แล้ว่า พาสปอร์ตยังไม่มีเลย หมดอายุไปตั้งแต่ปีมะโว้ วันต่อมาจึงรีบเดินทางไปทำพาสปอร์ตทันที ด้วยใจลุ้นระทึกว่า จะเสร็จทันไหมเนี่ย ขอแบบไม่ส่งไปรษณีย์ด้วย เดินทางไปรับเองเลย เจ้าหน้าที่ก็ทำให้อย่างรวดเร็วได้พาสปอร์ตมาเชยชม ก่อนออกเดินทาง 18 ชั่วโมง หลังจากนั้นเราก็คุยกับ(อดีต)เพื่อนที่บอกว่าโทรจองรถบ่อนไปกัมพูชา เพื่อจะได้ทะลุกัมพูชาไปยังเวียดนาม ซึ่งตอนแรกนัดที่เซ็นทรัลบางนา แต่เวลาที่(อดีต)เพื่อนคนนั้นบอกกับเราน่ะสิ ขึ้นรถตอนตี 4 น่ะเหรอ เราจึงเริ่มไปเสิร์ชหาในเน็ต มันมีรถตั้งหลายรอบนี่ จะไปรอบตี 4 ทำซากอะไรฟ่ะ ไปขึ้นที่สวนลุมก็ได้ 7 โมงยังมีเลย และด้วยความหูเบาอีกเช่นเคย โดนเกลี่ยกล่อมนิด ๆ หน่อยก็ยอมตกลงไปตี 4 ก็ได้ ซึ่งวันนั้นเรานอนตี 1 โอ๊ย ชีวิต ตอนไปถึงถ้าพ่อไม่ยอมไปส่งให้ถึงหน้าเซ็นทรัลนะ เราก็คงไม่ไปแล้วล่ะ (ยังอิดออดจนวินาทีสุดท้าย)

            
              ขอย้อนอดีตไปยังก่อนออกเดินทาง 1 วัน (อดีต) เพื่อนโทรมาคุยกับเรา บอกเรื่องเวลาการขึ้นรถแล้ว ก็ยังคุยถึงแผนการเดินทาง ซึ่ง(อดีต)เพื่อนก็ถามเราว่าอยากไปไหนเป็นพิเศษไหม แล้วก็เล่าเรื่องการเดินทางของเขามากมายก่ายกองให้เราฟัง บอกแผนการที่จะไป บอกกำหนดการที่ตนเองจัดการมาอย่างเรียบร้อย โดยบอกเป็นกำหนดการคร่าว ๆ เนื้อหาประมาณว่า “วางใจได้ เราเคยไปหลายครั้งแล้ว เราจะเดินทางจากกรุงเทพไปที่โฮจิมินท์  และพักที่โฮจิมินท์ก่อนไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ก็จะมี จัตุรัสโฮจิมินท์ ไปรษณีย์กลาง และหลังจากนั้นเราก็จะไปดาลัตและมุยเน่ ดาลัตก็จะเด่นในเรื่องทำไวน์ พวกเราจะได้ไปชิมไวน์และทำไวน์ด้วยนะ ส่วนมุยเน่ก็จะมีทะเลทราย แล้วเราก็จะไปกินกุ้งล็อบเตอร์...บลา ๆ ๆ” ขณะนั้นเราจึงตัดบทว่า “ในเมื่อนายรู้ขนาดนี้แล้ว เราก็คงไม่ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม” ซึ่งต่อมาเราก็รู้ว่า “เออ เราโง่เอง” นอกจากนี้(อดีต)เพื่อนบอกอีกว่า “เตรียมพวกขนมของขบเคี้ยวไปกินเล่นระหว่างทางด้วยนะ เอาไฟฉายไปด้วยนะ ถ้ามีเข็มทิศยิ่งดีใหญ่เลย” ตอนนั้นเราก็เริ่มสงสัยว่าเราจะไปเดินป่าหรือไร ถึงต้องใช้เข็มทิศขนาดนั้น (อดีต)เพื่อนไม่ได้รู้ทางอยู่แล้วเหรอ หรือว่าเผื่อหลงทางนะ ระหว่างนั้น(อดีต)เพื่อนก็ยังพูดต่อไปว่า “ ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวเราจะเตรียมของทุกอย่างไปให้” หลังจากคิดสะระตะมากมาย อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้เราหยิบเครื่องคิดเลข เราจึงหยิบเครื่องคิดเลขไปรวมกับพวกของใช้ต่าง ๆ ทั้งสบู่ ยาสระผม และผ้าขนหนู

             ยอมรับเลยว่าตอนนั้นน่ะ ไม่อยากหาข้อมูลเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปจังหวัดไหนเมืองอะไร เรื่องเล่าต่าง ๆ ฟังจนมึนไปหมด การเดินทางไปเมืองหลวง ไปดูทะเลทราย กินล็อบเตอร์ ซึ่งเราก็บอกว่า “บ้านเราอยู่ติดอ่าวไทย ล็อบเตอร์มันก็กุ้งตัวโตไม่ใช่รึไง นายอยากกินก็กินไปเถอะ เรากินกุ้งจนเบื่อแล้ว” ไม่ว่าเพื่อนจะบอกว่ากุ้งล็อบเตอร์เวียดนามเด็ดแค่ไหน แต่เรายังยึดสโลแกน ประหยัดแบบไม่สนสิ่งที่ไม่ต้องการหรือไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็น ถ้าเราไม่ได้รู้สึกอยากได้มากถึงขนาดที่ต้องเสียใจภายหลัง เราก็จะไม่ซื้อ หลังจากเราโดน(อดีต)เพื่อนและเพื่อนสาวกล่อมจน เออ จะไปไหนก็ไป นำไปเลยล่ะกัน ซึ่งนั่นเป็นที่มาของ....เรื่องทั้งหมด

            ตามที่ตกลงกันไว้ตอนแรก จะไปขึ้นรถตอนตี  4.30 น. ที่หน้าเซ็นทรัลบางนา และออกเดินทางถึงประมาณ 9 โมงเช้า หลังจากนั้นจะเดินทางไปเรื่อย ๆ ดูโน้นดูนี้ และมีเพื่อนชาวเวียดนามของ(อดีต)เพื่อนคอยเป็นไกด์ด้วย และกลับถึงกรุงเทพวันศุกร์ นั่นคือที่ตกลงกันไว้ และแล้ววันที่ออกเดินทางก็มาถึง แต่กำหนดการในตอนกลางดึกดันออกมาเป็นดังนี้  (ซึ่งข้อความนี้เราก๊อปมาจากหน้าเฟสที่เราคุยกับ(อดีต)เพื่อนคนนั้นหลังจากเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ)

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

                  หลังจากอ่านตารางคร่าว ๆ ด้านบน เราก็รู้สึกว่าจะรีบไปไหนฟ่ะ เช้าเกินไปแล้วนะ ไปเที่ยวก็เที่ยวแบบสบายหน่อยสิ จะออกตั้งแต่ตี 4 เลยรึไง เพราะที่เราไปหารอบ 7 โมงเช้าก็ยังมี ถึงบ่าย ๆ ก็ดูท่าจะสบายดี โดย(อดีต)เพื่อนให้เหตุผลกับเราว่า เราจะได้มีเวลาเดินเที่ยวไง เพราะถ้าออกสักประมาณสิบเอ็ดโมง อาจถึงบ่าย ๆ ร้านก็ปิดหมดแล้ว” คนที่ไม่เคยไปโรงเกลืออย่างเราก็ยิ่งแปลกใจแย้งกลับไปว่า “เฮ้ย เราเคยอ่านกระทู้เกี่ยวกับตลาดโรงเกลือนะ บ่าย ๆ มันก็เปิดไม่ใช่เหรอ” แน่นอนว่าเราก็ไดรับเหตุผลกลับมาว่า “ที่เปิดน่ะ มันมีนิดเดียว ส่วนใหญ่ปิดแล้ว”

                ในตอนนั้นยิ่งเราอ่านที่(อดีต)เพื่อนโพสมากเท่าไร คิ้วเราก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน ยิ่งอ่านยิ่งตะหงิด ๆ ว่า อยากเข้าบ่อนกันขนาดนั้นเลยเหรอ และตามที่ตกลงกันไว้ก็คือ กลับวันศุกร์ เพราะว่าถ้ากลับวันเสาร์ เราอาจไม่มีแรงไปทำงาน แต่หลังจากคุยกับเพื่อนสนิทที่เคยบอกว่ากลับวันเสาร์ตอนเช้า ๆ นั้น ก็กลายเป็นเรื่องที่ผิดแผนอีกเช่นกัน เพราะกำหนดการข้างต้นบอกว่าถึงกรุงเทพฯ ค่ำ ๆ แต่เราต้องตื่นไปถึงที่ทำงานในวันอาทิตย์ตั้งแต่เช้า นี่มันคนละอย่างกับที่คุยเลยนะ ตอนนั้นเราบอกเพื่อนสนิทเลยว่า ถ้าอยากเล่นคาสิโนมากนัก เราจะทิ้งไว้เลย ปล่อยให้เล่นให้หนำใจ เพื่อนสนิทเราก็บอกว่า “แค่อยากเข้าไปดูเฉย ๆ ถ้าขาไปเข้าแล้ว ขากลับคงไม่เข้าหรอก และยินดีกลับกรุงเทพพร้อมเรา” ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

               เหตุการณ์ในช่วงก่อนหน้าเดินทางอีกเช่นกัน มีข่าวเกี่ยวกับการสวรรคตของพระเจ้าสีหนุ และย้ายพระศพมาที่กัมพูชา (อดีต)เพื่อนบอกว่าจะไปไหว้ศพกษัตริย์สีหนุด้วย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ในความรู้สึกเรา เราไม่ได้รู้จักเขา เขาไม่ได้รู้จักเรา เหมือนเราเดินเข้าวัดแล้วมีงานศพที่เราไม่รู้จักนั้นแหละ มันไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดแกตัวเราและเขาเลย งานศพมันเป็นงานแห่งความเศร้าหมอง แต่เราจะไปเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ถ้าไปเพราะอยากรู้ว่างานศพเขาจัดอย่างไรก็ว่าไป แต่นี้ไปเหมือนอยากอวดว่า “นี่ไง ฉันไปมาแล้วนะ” เราก็เลยไม่อยากไป เพราะดูเหมือนไม่เคารพหรือให้เกียรติกับผู้ตายเลย อีกทั้งจุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่เวียดนาม เราจึงปรึกษากับเพื่อนสนิทว่า อย่าไปดีกว่า

               หลังจากที่แท๊กทีมกันห้ามปราม (อดีต)เพื่อนไม่ให้ไปเคารพพระศพของกษัตริย์สีหนุสำเร็จ แต่ยังไม่หมดแค่นั้นเมื่อ(อดีต)เพื่อนบอกว่า “อาจให้เราต้องโทรจองโรงแรมที่เวียดนามนะ แต่เราจะได้นอนโรงแรมแน่นอน เราไปกับผู้หญิงบ่อย อาจจะขอให้เธอช่วยโทรจองโรงแรมให้หน่อย” เราก็ ”หือ อะไรนะ” แค่นั้นยังไม่จบ เมื่อ(อดีต)เพื่อนไม่เปิดโอกาสให้เราพูดอะไรเพิ่มเติมด้วยการรีบพูดต่อไปว่า “แต่โทรจองไว้ก็อาจไม่ได้ไปนอนนะ แค่เผื่อไว้ว่าเราจะมีโรงแรมไว้นอนเท่านั้นเอง ถ้าไปถึงแล้วเราจะหาโรงแรมเอาดาบหน้า เพราะว่าถ้าไปต่อรองที่โน้นถูกกว่าจองเยอะ” แต่เราก็ไม่ได้จองโรงแรมใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะ(อดีต)เพื่อนไม่ได้บอกว่าต้องจองโรงแรมไหน อย่างไร และตอนนี้เราก็ยุ่งกับธุระเรื่องงานที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยด้วย โดยก่อนออกเดินทางเราเติมเงินในโทรศัพท์เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินทั้งทางเรา บ้าน และที่ทำงานไว้ด้วย จะได้ติดต่อกันได้สะดวก

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่