คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 35
ขออนุญาตคุยเรื่องบาปกรรมอันเกิดจากการทำให้รถติด นะครับท่าน
คือเท่าที่รับฟังมาโดยตลอด เมื่อถึงที่สุด มันเหลืออยู่ประเด็นเดียว ก็คือเรื่องรถติด
ผมก็ลองคิดเล่นๆ ดูนะครับว่า ถ้าพระท่านมาเดินธุดงค์แล้วทำให้รถติด ท่านบอกว่าเป็นบาป เพราะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
แล้วถ้าใครสักคน ใครก็ได้ในโลกนี้ ทำให้รถติด หรือเป็นสาเหตุให้รถติด เขาจะบาปไหมครับท่าน ?
แต่ประเด็นที่ผมสนใจมากกว่าก็คือ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้รถติด ?
ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ เราคงจะไม่กล่าวว่า รถติดเนื่องจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง เพียงประการเดียว ใช่ไหมครับ ?
ซึ่งในความเป็นจริง มันก็เป็นอย่างนั้น กล่าวคือ รถติด มันเกิดจากเหตุปัจจัยมากมาย ไม่ได้เกิดจากเหตุเพียงข้อใดข้อหนึ่งอย่างที่รู้สึกกันไปเอง
ที่จริงแล้ว ท่านควรพิจารณาให้ดีด้วยว่า แม้แต่ท่าน ที่กำลังบ่นว่ารถติด ก็เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่ทำให้รถติดเช่นกัน แล้วท่านจะบาปไหมครับ ?
บางท่านอาจแย้งว่า ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ มันจะไม่ติด หรือติดน้อย
แต่เพราะมีเหตุเรื่องธุดงค์ มาเพิ่มเติม รถจึงติดมากขึ้น
เกี่ยวกับประเด็นนึ้ เราควรพิจารณาดูว่า เป็นเพราะผู้ที่บ่นว่ารถติด กำลังคิดอยู่บนพื้นฐานที่ว่า
ตน รถของตน บนถนนสายนั้นๆ คือความปกติ ในขณะที่การธุดงค์ดังกล่าว เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาหรือเปล่า ?
เพราะถ้าหากท่านคิดเช่นนั้น ก็แสดงว่า ท่านได้รับความสะดวกสบายในการใช้รถใช้ถนน
เสียจนเข้าใจว่า ความสะดวกสบายเหล่านั้น เป็นของท่าน แต่เพียงผู้เดียว
โดยลืมไปว่า แท้ที่จริงถนนนั่น ได้มาจากภาษีของคนทั้งชาติ และคนส่วนใหญ่ในประเทศ
ก็ไม่เคยได้มึโอกาสมาแบ่งปัน ความสะดวกสบายนี้ ร่วมกันกับท่านเลย จริงไหมครับท่าน ?
ในทางกลับกัน ผมก็ลองคิดเล่นๆว่า หากผมร้องขอต่อท่านผู้ต้องทนลำบากกับเรื่องรถติดว่า
ท่านจงละเลิกการใช้รถใช้ถนน สักปีละห้าวันสิบวันได้ไหม ?
เพราะในขณะทำกิจกรรมกันอยู่นี้ การใช้รถใช้ถนนของพวกท่าน
ก่อให้เกิดความยากลำบากต่อผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากๆ การใช้รถใช้ถนนของท่านในห้วงเวลานี้ ไม่เหมาะสม ไม่ควรทำ
แต่ถ้ายังฝืนทำ จะถือว่าเลวมาก และจะถือว่า ท่านไม่ใช่ชาวพุทธ คำถามก็คือ ท่านคิดว่า คำพูดแบบนี้ เหตุผลแบบนี้ สามารถยอมรับได้ไหมครับ ?
ถ้าจะให้ผมวิจารณ์ ประการแรก ผมเข้าใจดีครับถึงความยากลำบาก เรื่องรถติด ทึ่หลายๆท่านบ่นด่ากัน
แต่พร้อมๆกันนั้น ผมก็เห็นว่า คนที่ก่นด่าเหล่านั้น แท้ที่จริงก็เป็นการก่นด่าเพราะรู้สึกว่า ความสะดวกสบาย
อันเป็นอภิสิทธิ์ของตนกำลังได้รับความกระทบกระเทือน โดยท่านอาจหลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า
ผู้อื่นเขาก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ถนนนั้น และได้รับความสะดวก หรือความลำบาก พอๆกับท่านนั่นแหละ
ในกรณีที่ คนบ้านนอกยากจนที่เสียภาษีเหมือนๆกับท่าน แต่เขาไม่ได้ใช้ อภิสิทธิ์นั้นบนถนนเส้นเดียวกับท่าน
เขาก็เลยไม่ได้เดือดร้อนเพราะรถติดเหมือนกับท่าน คำถามก็คือ พวกเขาโชคดี หรือว่าเป็นคนด้อยสิทธิ์ ในสังคมหละครับ ?

ผมก็แค่แสดงความคิดเห็น โดยอาจมึเรื่อง สังคมบ้าง ธรรมะบ้าง ปะปนกันไปนะครับท่าน
ผมยังยินดี รับฟังทุกๆความเห็น นะครับ แต่อย่าให้ดรามา เกินไปนักก็แล้วกัน
คือเท่าที่รับฟังมาโดยตลอด เมื่อถึงที่สุด มันเหลืออยู่ประเด็นเดียว ก็คือเรื่องรถติด
ผมก็ลองคิดเล่นๆ ดูนะครับว่า ถ้าพระท่านมาเดินธุดงค์แล้วทำให้รถติด ท่านบอกว่าเป็นบาป เพราะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
แล้วถ้าใครสักคน ใครก็ได้ในโลกนี้ ทำให้รถติด หรือเป็นสาเหตุให้รถติด เขาจะบาปไหมครับท่าน ?
แต่ประเด็นที่ผมสนใจมากกว่าก็คือ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้รถติด ?
ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ เราคงจะไม่กล่าวว่า รถติดเนื่องจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง เพียงประการเดียว ใช่ไหมครับ ?
ซึ่งในความเป็นจริง มันก็เป็นอย่างนั้น กล่าวคือ รถติด มันเกิดจากเหตุปัจจัยมากมาย ไม่ได้เกิดจากเหตุเพียงข้อใดข้อหนึ่งอย่างที่รู้สึกกันไปเอง
ที่จริงแล้ว ท่านควรพิจารณาให้ดีด้วยว่า แม้แต่ท่าน ที่กำลังบ่นว่ารถติด ก็เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่ทำให้รถติดเช่นกัน แล้วท่านจะบาปไหมครับ ?
บางท่านอาจแย้งว่า ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ มันจะไม่ติด หรือติดน้อย
แต่เพราะมีเหตุเรื่องธุดงค์ มาเพิ่มเติม รถจึงติดมากขึ้น
เกี่ยวกับประเด็นนึ้ เราควรพิจารณาดูว่า เป็นเพราะผู้ที่บ่นว่ารถติด กำลังคิดอยู่บนพื้นฐานที่ว่า
ตน รถของตน บนถนนสายนั้นๆ คือความปกติ ในขณะที่การธุดงค์ดังกล่าว เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาหรือเปล่า ?
เพราะถ้าหากท่านคิดเช่นนั้น ก็แสดงว่า ท่านได้รับความสะดวกสบายในการใช้รถใช้ถนน
เสียจนเข้าใจว่า ความสะดวกสบายเหล่านั้น เป็นของท่าน แต่เพียงผู้เดียว
โดยลืมไปว่า แท้ที่จริงถนนนั่น ได้มาจากภาษีของคนทั้งชาติ และคนส่วนใหญ่ในประเทศ
ก็ไม่เคยได้มึโอกาสมาแบ่งปัน ความสะดวกสบายนี้ ร่วมกันกับท่านเลย จริงไหมครับท่าน ?
ในทางกลับกัน ผมก็ลองคิดเล่นๆว่า หากผมร้องขอต่อท่านผู้ต้องทนลำบากกับเรื่องรถติดว่า
ท่านจงละเลิกการใช้รถใช้ถนน สักปีละห้าวันสิบวันได้ไหม ?
เพราะในขณะทำกิจกรรมกันอยู่นี้ การใช้รถใช้ถนนของพวกท่าน
ก่อให้เกิดความยากลำบากต่อผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากๆ การใช้รถใช้ถนนของท่านในห้วงเวลานี้ ไม่เหมาะสม ไม่ควรทำ
แต่ถ้ายังฝืนทำ จะถือว่าเลวมาก และจะถือว่า ท่านไม่ใช่ชาวพุทธ คำถามก็คือ ท่านคิดว่า คำพูดแบบนี้ เหตุผลแบบนี้ สามารถยอมรับได้ไหมครับ ?
ถ้าจะให้ผมวิจารณ์ ประการแรก ผมเข้าใจดีครับถึงความยากลำบาก เรื่องรถติด ทึ่หลายๆท่านบ่นด่ากัน
แต่พร้อมๆกันนั้น ผมก็เห็นว่า คนที่ก่นด่าเหล่านั้น แท้ที่จริงก็เป็นการก่นด่าเพราะรู้สึกว่า ความสะดวกสบาย
อันเป็นอภิสิทธิ์ของตนกำลังได้รับความกระทบกระเทือน โดยท่านอาจหลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า
ผู้อื่นเขาก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ถนนนั้น และได้รับความสะดวก หรือความลำบาก พอๆกับท่านนั่นแหละ
ในกรณีที่ คนบ้านนอกยากจนที่เสียภาษีเหมือนๆกับท่าน แต่เขาไม่ได้ใช้ อภิสิทธิ์นั้นบนถนนเส้นเดียวกับท่าน
เขาก็เลยไม่ได้เดือดร้อนเพราะรถติดเหมือนกับท่าน คำถามก็คือ พวกเขาโชคดี หรือว่าเป็นคนด้อยสิทธิ์ ในสังคมหละครับ ?

ผมก็แค่แสดงความคิดเห็น โดยอาจมึเรื่อง สังคมบ้าง ธรรมะบ้าง ปะปนกันไปนะครับท่าน
ผมยังยินดี รับฟังทุกๆความเห็น นะครับ แต่อย่าให้ดรามา เกินไปนักก็แล้วกัน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
สวัสดีครับเจ้าของกระทู้ ผมเพิ่งสมัครวันนี้เพื่อตอบและพูดคุยกับเจ้าของกระทู้ครับ
ไม่ได้มีเจตนาในการก่อกวนเช่นกันครับ
คำถามในกระทู้คือ เราอคติกับวัดพระธะมกายเกินไปหรือไม่ และ ธรรมกายเป็นพุทธหรือไม่
ผมขอตอบในความคิดของผมเองนะครับ อาจไม่ได้เป็นความคิดของท่านสมาชิกอื่น
ในความคิดผม ผมไม่มีปัญหากับกิจกรรมของธรรมกายครับ
ผมมองว่าเค้าก็ปฏิบัติศาสนกิจของเขา ประกาศความเชื่อของเขาแก่ชาวโลก เหมือนกับศาสนาอื่นๆทำ
เช่นว่าคริส ก็มีการประกาศตามเมืองหรือสี่แยกต่างๆในข้อความของพระเจ้าหรือศาสดาของเขา
อิสลามก็มีการละหมาดของเขา ซึ่งก็ส่งเสียงมาสู่เราแต่เราก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร เราเข้าใจดี
การธุดงของธรรมกายนี้ก็เช่นกันครับ ก็เป็นศาสนกิจอย่างหนึ่ง
ดังนั้นไม่ว่าเค้าจะจัดพิธีอะไร จะบวชอะไรอย่างไร เดินธุดงแบบไหน ผมไม่มีปัญหาครับ ส่วนในแง่ของการจราจรก็คงให้เป็นหน้าที่ของคนจัดหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเค้าจัดการกันไปตามสมควร
และธุงดงในป่าหรือในเมือง ผมก็มองว่าแล้วแต่จุดประสงค์ครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับประเด็นนี้เช่นกัน
ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง วัดกับพระเหล่านั้นเป็นพุทธหรือไม่ อันนี้น่าสนใจ
พุทธในควาามเข้าใจด้วยความรู้น้อยๆของผม พุทธสอนเราเรื่องกรรมกับผลของกรรม
กรรมดีหรือบุญก็มีผลของกรรมดีนั้นอยู่ และสอนเรื่องผลของทาน ไม่ว่าจะร่ำรวยอายุยืนขึ้นได้ขึ้นสวรรค์ ... ฯลฯ จนไปถึงนิพพาน
การทำทานเท่าที่ผมทราบในพุทธนั้นสอนจุดประสงค์ไว้มากมาย แต่ที่สำคัญมากในพุทธคือ การทำทานเพื่อสละความเป็นตัวกูของกูออกไปจากตัว
หรือเพื่อละตัวตนออกโดยอุบายของการทำทาน เป็นทานที่เป็นไปเพื่อนิพพาน สละความเห็นแก่ตัวออกไป และมีความยินดีในการทำทานนั้น ไม่ว่าจะก่อนทำ ขณะทำ หรือหลังทำ ก็ยังยินดีในทานนั้นอยู่ ทานเช่นนี้ให้อานิสงค์สูงสุดในทางพุทธ
พุทธไม่ได้สอนให้ทำทานเพื่อหวังแก้บน สวรรค์ ร่ำรวยเงินทอง หายเจ็บไข้ สอบผ่าน หรืออะไร แต่สอนให้ทำทานเพื่อหวังผลสูงสุดดังกล่าว
ส่วนธรรมกายเท่าที่ผมทราบมานั้น (ผมไม่เคยเข้าธรรมกาย ข้อมูลที่ผมได้ล้วนมาจากแหล่งอื่น ถ้าธรรมกายจริงๆไม่ได้เป็นตามที่ผมเข้าใจ ผมต้องขออภัยจริงๆ) สอนให้เหล่าสาวกของเขาทำบุญ หวังสวรรค์เป็นที่ตั้ง ทำบุญมากๆ จะได้ผลมากๆ ไม่ได้ทำเพื่อหวังสละตัวตนออกแต่อย่างใด
ทำบุญไม่ดีเหรอ >> ดีครับ ทำบุญเป็นสิ่งดี ไม่อาจกล่าวว่าไม่ดีได้เลย แต่ไม่อาจเรียกว่าพุทธได้ สาสนาอื่นก็สอนให้ทำบุญเช่นกัน ก็ไม่อาจเรียกศาสนานั้นๆว่าพุทธได้เช่นกัน เช่นเดียวกับพุทธก็ไม่อาจกล่าวว่าเป็นศาสนาอื่นได้เช่นกัน
เพราะพุทธมีจุดมุ่งหมายเพื่อนิพพาน แล้วการกระทำที่เป็นไปเพื่อจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่นิพพาน จะเป็นพุทธได้อย่างไร
พุทธสอนให้เอาสวรรค์ ทำอะไรไม่ได้แล้วก็เกาะสวรรค์ไว้ก่อน ไม่ใช่เพื่อให้มีความสุขบนสวรรค์ แต่เป็นไปเพื่อให้ยังมีเวลาที่จะไปถึงนิพพานได้ อย่างน้อยก็ยังไม่ลงนรกไปตอนนั้น และไม่ได้สอนให้ยึดติดใจในรสสวรรค์หรือรสของบุญด้วยเช่นกัน
ธรรมกายสอนเช่นนั้นหรือไม่?
ต่อมา พุทธได้กล่าวไว้เสมอว่า สิ่งต่างๆในโลกประกอบด้วยลักษณะสามอย่าง หรือไตรลักษณ์ ของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา มีความไม่เที่ยง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และไม่มีตัวตนของสิ่งต่างๆ ให้มองสิ่งต่างๆถึงลักษณะเหล่านี้เพื่อให้เห็นตัวตนที่แท้จริงและคลายความยึดถือต่างๆในโลกออก
แม้แต่นิพพาน พุทธก็กล่าวไว้เช่นกัน เพียงแต่นิพพานนั้นเป็น นิจจัง แต่ก็ยังเป็นอนัตตา
ส่วนธรรมกายที่กล่าวว่า นิพพาน เป็น อัตตา ผมได้ยินมาหนาหูมากว่าท่านสอนสาวกของท่านอย่างนี้
ผมจึงไม่อาจกล่าวได้ว่า ธรรมกายคือพุทธ ในตอนนี้
ส่วนจริงๆแล้วนิพพานจะเป็นอย่างไร ผมไม่อาจกล่าวได้ เพราะยังไม่เคยเข้าถึงครับ
อื่นๆก็เช่นมีการนำเอาอิทธิปาฏิหารย์ต่างๆมาเผยแพร่ ซึ่งอาจจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่ และการเผยแพร่นั้นเป็นไปเพื่อให้เหล่าสาวกศรัทธา ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดในทางพุทธ องค์ศาสดาของพุทธได้กล่าวกับสาวกไว้แล้วว่าห้ามการกระทำเช่นนี้
ผมจึงไม่อาจกล่าวได้ว่า ธรรมกายคือพุทธ ในตอนนี้
นี่เป็นความเข้าใจของผมครับ ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ
ไม่ได้มีเจตนาในการก่อกวนเช่นกันครับ
คำถามในกระทู้คือ เราอคติกับวัดพระธะมกายเกินไปหรือไม่ และ ธรรมกายเป็นพุทธหรือไม่
ผมขอตอบในความคิดของผมเองนะครับ อาจไม่ได้เป็นความคิดของท่านสมาชิกอื่น
ในความคิดผม ผมไม่มีปัญหากับกิจกรรมของธรรมกายครับ
ผมมองว่าเค้าก็ปฏิบัติศาสนกิจของเขา ประกาศความเชื่อของเขาแก่ชาวโลก เหมือนกับศาสนาอื่นๆทำ
เช่นว่าคริส ก็มีการประกาศตามเมืองหรือสี่แยกต่างๆในข้อความของพระเจ้าหรือศาสดาของเขา
อิสลามก็มีการละหมาดของเขา ซึ่งก็ส่งเสียงมาสู่เราแต่เราก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร เราเข้าใจดี
การธุดงของธรรมกายนี้ก็เช่นกันครับ ก็เป็นศาสนกิจอย่างหนึ่ง
ดังนั้นไม่ว่าเค้าจะจัดพิธีอะไร จะบวชอะไรอย่างไร เดินธุดงแบบไหน ผมไม่มีปัญหาครับ ส่วนในแง่ของการจราจรก็คงให้เป็นหน้าที่ของคนจัดหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเค้าจัดการกันไปตามสมควร
และธุงดงในป่าหรือในเมือง ผมก็มองว่าแล้วแต่จุดประสงค์ครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับประเด็นนี้เช่นกัน
ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง วัดกับพระเหล่านั้นเป็นพุทธหรือไม่ อันนี้น่าสนใจ
พุทธในควาามเข้าใจด้วยความรู้น้อยๆของผม พุทธสอนเราเรื่องกรรมกับผลของกรรม
กรรมดีหรือบุญก็มีผลของกรรมดีนั้นอยู่ และสอนเรื่องผลของทาน ไม่ว่าจะร่ำรวยอายุยืนขึ้นได้ขึ้นสวรรค์ ... ฯลฯ จนไปถึงนิพพาน
การทำทานเท่าที่ผมทราบในพุทธนั้นสอนจุดประสงค์ไว้มากมาย แต่ที่สำคัญมากในพุทธคือ การทำทานเพื่อสละความเป็นตัวกูของกูออกไปจากตัว
หรือเพื่อละตัวตนออกโดยอุบายของการทำทาน เป็นทานที่เป็นไปเพื่อนิพพาน สละความเห็นแก่ตัวออกไป และมีความยินดีในการทำทานนั้น ไม่ว่าจะก่อนทำ ขณะทำ หรือหลังทำ ก็ยังยินดีในทานนั้นอยู่ ทานเช่นนี้ให้อานิสงค์สูงสุดในทางพุทธ
พุทธไม่ได้สอนให้ทำทานเพื่อหวังแก้บน สวรรค์ ร่ำรวยเงินทอง หายเจ็บไข้ สอบผ่าน หรืออะไร แต่สอนให้ทำทานเพื่อหวังผลสูงสุดดังกล่าว
ส่วนธรรมกายเท่าที่ผมทราบมานั้น (ผมไม่เคยเข้าธรรมกาย ข้อมูลที่ผมได้ล้วนมาจากแหล่งอื่น ถ้าธรรมกายจริงๆไม่ได้เป็นตามที่ผมเข้าใจ ผมต้องขออภัยจริงๆ) สอนให้เหล่าสาวกของเขาทำบุญ หวังสวรรค์เป็นที่ตั้ง ทำบุญมากๆ จะได้ผลมากๆ ไม่ได้ทำเพื่อหวังสละตัวตนออกแต่อย่างใด
ทำบุญไม่ดีเหรอ >> ดีครับ ทำบุญเป็นสิ่งดี ไม่อาจกล่าวว่าไม่ดีได้เลย แต่ไม่อาจเรียกว่าพุทธได้ สาสนาอื่นก็สอนให้ทำบุญเช่นกัน ก็ไม่อาจเรียกศาสนานั้นๆว่าพุทธได้เช่นกัน เช่นเดียวกับพุทธก็ไม่อาจกล่าวว่าเป็นศาสนาอื่นได้เช่นกัน
เพราะพุทธมีจุดมุ่งหมายเพื่อนิพพาน แล้วการกระทำที่เป็นไปเพื่อจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่นิพพาน จะเป็นพุทธได้อย่างไร
พุทธสอนให้เอาสวรรค์ ทำอะไรไม่ได้แล้วก็เกาะสวรรค์ไว้ก่อน ไม่ใช่เพื่อให้มีความสุขบนสวรรค์ แต่เป็นไปเพื่อให้ยังมีเวลาที่จะไปถึงนิพพานได้ อย่างน้อยก็ยังไม่ลงนรกไปตอนนั้น และไม่ได้สอนให้ยึดติดใจในรสสวรรค์หรือรสของบุญด้วยเช่นกัน
ธรรมกายสอนเช่นนั้นหรือไม่?
ต่อมา พุทธได้กล่าวไว้เสมอว่า สิ่งต่างๆในโลกประกอบด้วยลักษณะสามอย่าง หรือไตรลักษณ์ ของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา มีความไม่เที่ยง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และไม่มีตัวตนของสิ่งต่างๆ ให้มองสิ่งต่างๆถึงลักษณะเหล่านี้เพื่อให้เห็นตัวตนที่แท้จริงและคลายความยึดถือต่างๆในโลกออก
แม้แต่นิพพาน พุทธก็กล่าวไว้เช่นกัน เพียงแต่นิพพานนั้นเป็น นิจจัง แต่ก็ยังเป็นอนัตตา
ส่วนธรรมกายที่กล่าวว่า นิพพาน เป็น อัตตา ผมได้ยินมาหนาหูมากว่าท่านสอนสาวกของท่านอย่างนี้
ผมจึงไม่อาจกล่าวได้ว่า ธรรมกายคือพุทธ ในตอนนี้
ส่วนจริงๆแล้วนิพพานจะเป็นอย่างไร ผมไม่อาจกล่าวได้ เพราะยังไม่เคยเข้าถึงครับ
อื่นๆก็เช่นมีการนำเอาอิทธิปาฏิหารย์ต่างๆมาเผยแพร่ ซึ่งอาจจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่ และการเผยแพร่นั้นเป็นไปเพื่อให้เหล่าสาวกศรัทธา ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดในทางพุทธ องค์ศาสดาของพุทธได้กล่าวกับสาวกไว้แล้วว่าห้ามการกระทำเช่นนี้
ผมจึงไม่อาจกล่าวได้ว่า ธรรมกายคือพุทธ ในตอนนี้
นี่เป็นความเข้าใจของผมครับ ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ
แสดงความคิดเห็น
เราอคติกับวัดพระธรรมกาย มากเกินไปหรือเปล่าครับท่าน ?
แต่เมื่อได้สนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องธรรมกายมาสักพัก
ก็เกิดความสงสัยในนิยามความเป็นชาวพุทธ อยู่พอสมควร
ในเรื่องของธุดงควัตร อันนี้ผมตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่า
ทางวัดธรรมกาย เขาไม่ได้ทำผิดอะไร เมื่อเทียบกับพระธรรมคำสอน
การที่บางท่านติเตียนเพราะเข้าใจว่า พระธุดงค์ ต้องเข้าป่า ไม่เข้าเมือง นั่นเป็นความเข้าใจผิด
พระธุดงค์ที่จาริกเข้าป่า หมายถึง ท่านผู้สมาทานการอยู่ป่า
แต่ถ้าสมาทานธุดงควัตรข้ออื่น แม้ท่านไม่จาริกเข้าป่า ท่านก็เป็นพระธุดงค์เหมือนกันครับ
ธุดงควัตรนี้มีสิบสามข้อ พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดว่า ต้องถือ สำหรับผู้ที่ถือ ก็ไม่ได้กำหนดว่าต้องถือทุกข้อ
ดังนั้น ความเข้าใจแปลกๆที่ว่า พระธุดงค์ อยู่ในเมืองไม่ได้ ต้องเข้าป่าอย่างเดียว เป็นการเข้าใจผิดนะครับท่าน
แต่ประเด็นที่ผมสงสัยก็คือ บางท่านกล่าวติเตียนว่า ธรรมกายผิด เพราะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
บางคนถึงกับกล่าวว่า ทำผู้อื่นเดือดร้อนขนาดนี้ ไม่ถือว่าเป็นชาวพุทธอีกต่อไป(สามารถด่าได้?)
ผมขออนุญาตแยกเป็นสองประเด็นย่อยนะครับ
1 เรื่องที่ว่า มีคนเดือดร้อนเพราะการธุดงค์นี้ ผมเห็นว่า ก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา
แต่การที่บางท่านระบุว่าเป็นบาปนั้นผมไม่เห็นด้วย เพราะกรรม ย่อมขึ้นอยู่กับเจตนานี่ครับ
จะบาปหรือไม่บาป ก็ต้องพิจารณาดูว่า เขามีเจตนาทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือเปล่า ?
ถ้าไม่มีเจตนาจะแกล้งให้ผู้อื่นเดือดร้อน เจตนาของ เขา คือคิดจะทำบุญ เขาก็ไม่บาปหรอกครับ
2 อีกเรื่องที่สงสัยก็คือ บางท่านกล่าวว่า เพราะวัดนี้ทำผู้อื่นเดือดร้อน จึงไม่ถือว่าเป็นพระ เป็นวัด ในพระพุทธศาสนาอึกต่อไป
เหตุผลแบบนี้ ฟังดูแปลกนะครับท่าน และจะมีปัญหามากด้วย
เพราะตามธรรมดา กิจกรรมงานวัดทุกชนิด ล้วนก่อให้เกิดผลกระทบ
ความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น มากบ้าง น้อยบ้าง ด้วยทั้งนั้น
คำถามก็คือ แล้ววัดกับพระเหล่านั้น เป็นพุทธหรือเปล่าครับ ?
เพราะถ้าท่านใช้หลักเกณฑ์อันนึ้ในการวินิจฉัยความเป็นพุทธ
ผมสงสัยอยู่ว่า จะเหลือวัดพุทธ และพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ตามความคิดของท่าน อยู่สักเท่าไหร่กัน ?
เราอคติกับวัดพระธรรมกาย มากเกินไปหรือเปล่าครับท่าน ?