การนับสิกขาบทตามพุทธวจน(150ถ้วน)

ภาพเดิม แสดงไว้โดย พม ไพโรจน์

.                        

CR.  https://www.facebook.com/profile.php?id=1604870167


                            
                              ภาพ ข้อสงสัย
                              วิธีการนับสิกขาบทปาติโมกข์แบบนี้ ใครบัญญัติ ?
                      
.                      

                    

เนื้อความพระไตรปิฏก ตาม ภาพ การนับสิกขาบท

อาปัตติภยวรรคที่ ๕
[๒๔๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตารามใกล้เมืองโกสัมพี
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า

        ดูกรอานนท์ อธิกรณ์นั้นระงับแล้วหรือ
        ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  
        อธิกรณ์นั้นจักระงับแต่ที่ไหน
สัทธิวิหาริกของท่านพระอนุรุทธ์ชื่อว่าพาหิยะ
ตั้งอยู่ในการทำลายสงฆ์ถ่ายเดียว
เมื่อพระพาหิยะตั้งอยู่อย่างนั้นแล้ว
ท่านพระอนุรุทธ์ก็ไม่สำคัญที่จะพึงว่ากล่าวแม้สักคำเดียว

        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
        ดูกรอานนท์ เมื่อไร อนุรุทธ์จะจัดการชำระอธิกรณ์ในท่ามกลางสงฆ์
        อธิกรณ์ชนิดใดก็ตามที่บังเกิดขึ้น
        เธอทั้งหลายกับสารีบุตรและโมคคัลลานะต้องระงับอธิกรณ์ทั้งหมดนั้นมิใช่หรือ

        ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ลามก เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ ๔ ประการนี้
        ย่อมยินดีด้วยการทำลายสงฆ์ อำนาจประโยชน์ ๔ ประการเป็นไฉน

        ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ลามกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีความประพฤติไม่
สะอาด น่ารังเกียจ มีการงานอันปกปิด มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ
ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์
เป็นคนเน่าใน ชุ่มด้วยกิเลส รุงรังด้วยโทษ
เธอปริวิตกอย่างนี้ว่า
ถ้าภิกษุทั้งหลายจักรู้เราว่า เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม...
รุงรังด้วยโทษ จักเป็นผู้พร้อมเพรียงกันนาสนะเราเสีย
แต่ภิกษุผู้เป็นพรรคพวกจักไม่นาสนะเรา

         ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ลามก เล็งเห็นอำนาจประโยชน์ที่ ๑ นี้ ย่อมยินดีด้วยการทำลายสงฆ์ ฯ
-
-
        [๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความกลัวต่ออาบัติ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน
-
-
        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
        ภิกษุหรือภิกษุณีบางรูป เข้าไปตั้งสัญญาคือความกลัวอันแรงกล้าอย่างนั้นไว้ในธรรม
        คือ ปาราชิกทั้งหลาย ข้อนั้นเป็นอันหวังได้ว่า ผู้ที่ยังไม่ต้องธรรมคือ ปาราชิก
        จักไม่ต้อง หรือผู้ที่ต้องแล้วจักกระทำคืนตามธรรม ฯ
      
        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
        ภิกษุหรือภิกษุณีบางรูป เข้าไปตั้งสัญญาคือความกลัวอันแรงกล้าอย่างนั้นไว้ในธรรม
        คือ สังฆาทิเสสทั้งหลาย ข้อนั้นเป็นอันหวังได้ว่า ผู้ที่ยังไม่ต้องธรรม คือ สังฆาทิเสส
        จักไม่ต้อง หรือผู้ที่ต้องแล้วจักกระทำคืนตามธรรม ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
        ภิกษุ หรือภิกษุณีบางรูป เข้าไปตั้งสัญญาคือความกลัวอันแรงกล้าอย่างนั้นไว้ในธรรม
        คือ ปาจิตตีย์ทั้งหลาย ข้อนี้เป็นอันหวังได้ว่า ผู้ที่ยังไม่ต้องธรรม คือ ปาจิตตีย์
        จักไม่ต้อง หรือผู้ที่ต้องแล้วจักกระทำคืนตามธรรม ฯ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
        ภิกษุหรือภิกษุณีบางรูป เข้าไปตั้งสัญญาคือ ความกลัวอันแรงกล้าอย่างนั้นไว้ในธรรม
        คือ ปาฏิเทสนียะทั้งหลาย ข้อนั้นพึงหวังได้ว่า ผู้ที่ยังไม่ต้องธรรม คือปาฏิเทสนียะ
        จักไม่ต้อง ผู้ที่ต้องแล้วจักกระทำคืนตามธรรม

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความกลัวต่ออาบัติ ๔ ประการนี้แล ฯ

        [๒๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้
        อันมีสิกขาเป็นอานิสงส์ มีปัญญาเป็นยอด มีวิมุตติเป็นแก่น มีสติเป็นอธิปไตย
        
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พรหมจรรย์มีสิกขาเป็นอานิสงส์อย่างไร
       สิกขา คือ อภิสมาจาร
       เราบัญญัติแก่สาวกทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
       เพื่อความเลื่อมใสของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสเพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของผู้ที่เลื่อมใสแล้ว
       สิกขา คือ อภิสมาจาร เราบัญญัติแล้วแก่สาวก
       เพื่อความเลื่อมใสของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของผู้ที่เลื่อมใสแล้ว
       ด้วยประการใดๆ
       สาวกนั้นเป็นผู้มีปรกติไม่ทำสิกขานั้นให้ขาดไม่ให้ทะลุ ไม่ให้ด่าง ไม่ให้พร้อย
       ย่อมสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายด้วยประการนั้นๆ
-
-
             [๒๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูปารหบุคคล ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
             พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑
             พระปัจเจกพุทธะ ๑
             สาวกของพระตถาคต ๑
             พระเจ้าจักรพรรดิ ๑
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูปารหบุคคล ๔ จำพวกนี้แล ฯ
             [๒๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการ
             ย่อมเป็นไปเพื่อความ เจริญแห่งปัญญา ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
             คือ สัปปุริสสังเสวะ การคบสัปบุรุษ ๑
             สัทธรรมสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑
             โยนิโสมนสิการ ทำไว้ ในใจโดยแยบคาย ๑
             ธรรมานุธรรมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา ฯ

            [๒๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการ เป็นธรรมมีอุปการะมากแก่มนุษย์
            ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ
            สัปปุริสสังเสวะ ๑
            สัทธรรมสวนะ๑
            โยนิโสมนสิการ ๑
            ธรรมานุธรรมปฏิปัตติ ๑
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นธรรมมีอุปการะมากแก่มนุษย์ ฯ
            
           [๒๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โวหารอันมิใช่ของพระอริยะ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
           ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้เห็นว่าเห็น ๑
           ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ฟังว่าได้ฟัง ๑
           ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ทราบว่าได้ทราบ ๑
           ความเป็นผู้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้รู้ว่าได้รู้ ๑
           ดูกรภิกษุทั้งหลาย โวหารอันไม่ใช่ของ พระอริยะ ๔ ประการนี้แล ฯ

เนื้อความพระไตรปิฏกเต็มพระสูตร  คลิกที่นี่
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=21&item=243&items=12&preline=0
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่