มีหนังรัก Rom-Com น่ารักๆหลายเรื่องมากมาย แต่ถ้ามีคนถามว่านึกถึงเรื่องไหนเป็นเรื่องแรกก็คงจะไม่พ้นเรื่อง Music and Lyrics (2007) ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดหนัง Rom-Com ในดวงใจที่สนุกแถมเพลงยังเพราะมาก และเป็นหนังที่ละเอียดอ่อนมากกว่าแค่ดูผ่านๆไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของตัวบท องค์ประกอบของหนัง การออกแบบฉาก สัญลักษณ์ เพลงประกอบและตัวนักแสดงเอง ซึ่งจริงๆแล้วในหนังทุกๆเรื่องที่เป็นหนังแมส (หนังตลาด) ไม่ใช่มีเพียงแต่หนังอินดี้หรือหนังอาร์ตเท่านั้น ก็มีสิ่งที่พึ่งกล่าวไปทั้งหมด ซึ่งเรื่องนี้ก็มีอยู่มากมายหลายจุดและเหมาะที่จะนำมายกตัวอย่างให้เพื่อนๆได้ลองสังเกตกัน
Music and Lyrics เป็นเรื่องราวของ Alex Fletcher อดีตนักร้องดังวง Pop (Hugh Grant) ตกอับที่พยายามจะกลับสู่วงการด้วยการแต่งเพลงให้นักร้องสาวที่ดังระดับโลก แต่ปัญหาก็คือเขาไม่สามารถคิดเนื้อร้องได้ สามารถแต่งได้เพียงทำนองเท่านั้น แต่ปัญหาทุกอย่างก็หมดไปเมื่อเขาเจอ Sophie Fisher สาวที่มาทำหน้าที่รดน้ำต้นไม้ให้ที่ก้องของเขาเอง (Drew Barrymore)
หนังเรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดย Marc Lawrence ที่เร็วๆนี้ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ก็กำลังจะมีหนังของเขาเข้าฉายในโรงที่ส่วนตัวก็เฝ้าตั้งหน้าตั้งตาคอยอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็คือ หนังเรื่อง Rewrite นั่นเอง... Marc Lawrence เคยฝากผลงานไว้มากมายทั้งเรื่อง Two Weeks Notice (2002), Did You Hear About the Morgans? (2009) และยังเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทเรื่อง Miss Congeniality (2000) อีกด้วย โดยทั้งหมดนี้ Music and Lyrics น่าจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขา
โดยเป็นที่แน่นอนว่าหนังทุกเรื่องต้องมี Theme และ Theme ของ Music and Lyrics ก็คือ ความแตกต่างระหว่างชายกับหญิง ที่สุดท้ายก็สามารถรวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว โดยหนังทุกเรื่องนั้นมักจะประกาศ Theme ของหนังใน 5 นาทีแรกของเรื่องเสมอ เพื่อบ่งบอกให้คนดูรับรู้ว่าต่อไปนี้คนดูจะต้องพบเจอกับอะไรในหนังต่อไปบ้าง อย่าง Music and Lyrics ก็คือฉากวงดนตรีป๊อปร้องเพลงรัก สวมใส่ชุดขาวดำ ซึ่งนั่นก็เปรียบสีขาวดำได้กับหยิน-หยาง หรือเป็น Symbolic แทนชายและหญิง

โดยในเรื่อง Alex จะต้องแต่งเพลงให้กับนักร้องป๊อปวัยรุ่นในเพลง Theme "Way Back Into Love" ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่ง Theme ที่หนังค่อนข้างบอกเล่าได้อย่างชัดเจน เพราะตัวละครหลักทั้งชายและหญิงทั้งคู่ต่างไม่มีความรัก ที่สำคัญคือมันคือตัวแทนบอกเล่าความรู้สึกและชีวิตของตัวละครฝ่ายหญิงอย่าง Sophie ที่เคยช้ำรักมาและไม่กล้าที่จะเริ่มต้นมีความรักใหม่อีกครั้งหรือแม้กระทั่งความกล้าที่จะเป็นนักเขียนเต็มตัว ทั้งยังหมายถึงการพยายามหาทางกลับมาเป็นนักดนตรีดังอีกครั้งของ Alex อีกด้วย ซึ่งดนตรีสำหรับเขาแล้วมันก็คืออีกหนึ่งความรักและเรื่องราวชีวิตของเขานั่นเอง ตามเนื้อร้องของเพลงนี้เลยค่ะ
ซึ่งระหว่างเรื่องหนังก็ยังมีจะการประกาศ Theme ของเรื่องจริงๆออกมาอย่างชัดเจนมากๆผ่านบทสนทนาของของตัวละครหลักทั้ง 2 ตัว ที่แทนเนื้อร้องกับทำนอง เหมือนเป็นชายกับหญิง ที่ต่างคนต่างมาเติมเต็มให้กัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปเพลงก็คงจะไม่สมบูรณ์ #ความรักก็เช่นกัน
Alex: It doesn’t have to be perfect, just spit it out! There’re just lyrics……Lyrics are important. There are just not as important as melody.
(มันไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟ็กหรอก แค่พูดมันออกมา! มันก็แค่เนื้อเพลง...... เนื้อเพลงหนะสำคัญก็จริง แต่ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับทำนอง)
Sophie: A melody is like seeing someone for the first time- the physical attraction, sex….But then, as you get to know the person, that's the lyrics- their story, who they are underneath. It's the combination of the two that makes it magical
(ทำนองมันก็เหมือนการเจอใครบางคนในครั้งแรก เหมือนรูปร่างหน้าตา ความดึงดูดทางเพศ แต่เมื่อคุณได้รู้จักคนๆนั้นดีขึ้นแล้ว นั่นถึงจะเรียกว่าเนื้อเพลง ซึ่งก็คือเรื่องราวของคนๆนั้น ว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างไร มันเป็นการผสมผสานเอาทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันถึงจะเรียกมันได้ว่าเวทมนต์ไงหละ)
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นความเข้าใจส่วนตัว หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยค่ะ สามารถอ่าน Review หนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ Movies Stalker ค่ะ
https://www.facebook.com/MoviesStalker
[มีต่อข้างล่าง จะเป็นส่วนองค์ประกอบและสัญลักษณ์]
Music and Lyrics หนังรักที่มีดียิ่งกว่าคุณคิด
ซึ่งระหว่างเรื่องหนังก็ยังมีจะการประกาศ Theme ของเรื่องจริงๆออกมาอย่างชัดเจนมากๆผ่านบทสนทนาของของตัวละครหลักทั้ง 2 ตัว ที่แทนเนื้อร้องกับทำนอง เหมือนเป็นชายกับหญิง ที่ต่างคนต่างมาเติมเต็มให้กัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปเพลงก็คงจะไม่สมบูรณ์ #ความรักก็เช่นกัน
(มันไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟ็กหรอก แค่พูดมันออกมา! มันก็แค่เนื้อเพลง...... เนื้อเพลงหนะสำคัญก็จริง แต่ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับทำนอง)
Sophie: A melody is like seeing someone for the first time- the physical attraction, sex….But then, as you get to know the person, that's the lyrics- their story, who they are underneath. It's the combination of the two that makes it magical
(ทำนองมันก็เหมือนการเจอใครบางคนในครั้งแรก เหมือนรูปร่างหน้าตา ความดึงดูดทางเพศ แต่เมื่อคุณได้รู้จักคนๆนั้นดีขึ้นแล้ว นั่นถึงจะเรียกว่าเนื้อเพลง ซึ่งก็คือเรื่องราวของคนๆนั้น ว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างไร มันเป็นการผสมผสานเอาทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันถึงจะเรียกมันได้ว่าเวทมนต์ไงหละ)
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นความเข้าใจส่วนตัว หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยค่ะ สามารถอ่าน Review หนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ Movies Stalker ค่ะ https://www.facebook.com/MoviesStalker