ยามราตรีอันเงียบสงัด ในคฤหาสน์อันแสนกว้างใหญ่ หญิงสาวดวงหน้าหวานละมุนนั่งสายตาเหม่อลอยมองยาวออกไปนอกหน้าต่าง ริมฝีปากบางที่รับกับรูปหน้าสั่นระริก คราบน้ำตาที่เปื้อนหน้าบอกให้รู้ว่าเธอกำลังเศร้าเสียใจ เธอจะไม่เสียใจเลยหากคฤหาสน์ใหญ่โตหลังนี้จะไม่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเล็กลง แม้นภายนอกใครๆ อาจมองว่าเธอแข็งแกร่ง แต่ภายใต้สิ่งที่แข็งแกร่งมักมีส่วนที่อ่อนไหวอยู่เสมอ
มาริสา คุณหนูแห่งตระกูลอัศวกุล ใครๆ ต่างพากันอิจฉาในความเพียบพร้อมของเธอ แม้นแต่ตัวเธอเองก็เถอะยังคิดว่าตัวเองโชคดีขนาดไหน แต่หากเมื่อวานไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเธอคงจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่ใครๆ ก็ต่างพากันอิจฉา
“คุณหนูคะ คุณผู้หญิงให้มาตามไปรับประทานอาหารค่ะ” เสียงเฟื่องคนรับใช้เก่าแก่ทำให้เธอหลุดจากภวังค์ สองมือน้อยเช็ดคราบน้ำตาอย่างรีบร้อน
“ไปเดี๋ยวนี้ล่ะจ้ะ ป้าเฟื่อง” เฟื่องมองคุณหนูด้วยความสงสาร คุณหนูของเธอเข้มแข็งมาตั้งแต่เด็ก เธอไม่ยอมให้ใครได้เห็นมุมอ่อนไหวของเธอ แต่เฟื่องก็ทราบว่ามาริสากำลังเศร้า ด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ ที่ไม่ต้องหันหน้ามาก็ทราบว่าคุณหนูของเธอกำลังร้องไห้อยู่เป็นแน่
“มาริสา มานั่งนี่สิลูก” คุณหญิงรัตนากรซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีดำ เรียกลูกสาวให้นั่งใกล้ตน “เดี๋ยวรีบทานข้าวนะลูก ได้ไปรับแขกที่วัด” ผู้เป็นแม่บอกลูกสาว นัยน์ตาแฝงไปด้วยความเศร้า เมื่อคิดถึงสามีที่เสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรมโดยไม่สามารถหาฆาตกรได้
ณัฐเป็นชายวัยกลางคน แม้อายุค่อนข้างมากแล้วแต่ก็ยังคงมีเสน่ห์ไม่แพ้กับชายหนุ่มวัยรุ่น รัตนากรทราบดีว่าสามีของเธอเป็นคนเจ้าชู้ แต่เธอก็ไม่คิดจะใส่ใจด้วยไม่อยากสร้างความร้าวฉานในครอบครัว และเพราะสายเลือดอันเกิดจากความรักของเธอกับณัฐ นั่นก็คือ “มาริสา” ลูกสาวของเธอผู้เพียบพร้อม เธอจึงไม่อยากให้ความร้าวฉานในครอบครัวกลายมาเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตของลูกสาว
การจากไปของณัฐสร้างความเสียใจให้รัตนากรและมาริสาเป็นอย่างมาก ใบหน้าของทั้งคู่เป็นไปด้วยความเศร้าโศก เมื่อทราบข่าวจากตำรวจว่าณัฐถูกฆาตกรรม ตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเหตุชู้สาว เพราะในคอนโดที่เกิดเหตุ พบถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว และรอยลิปสติกบนร่างของณัฐ อีกทั้งพบมีดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุซึ่งได้ส่งพิสูจน์ลายนิ้วมือเพื่อหาตัวคนร้ายอย่างเร่งด่วน
“คุณหนูขา โทรศัพท์ค่ะ” เฟื่องเดินมาพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้มาริสา
“ขอบใจจ้ะ ป้าชื่น”
“สา นี่เธอเป็นไงบ้าง” เสียงเพื่อนรักของเธอถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะไวน์ แล้วนี่ไวน์อยู่ไหน”
“ฉันอยู่เชียงใหม่ มาทำธุระนิดหน่อย ขอโทษด้วยนะฉันคงไปร่วมงานไม่ได้ พอดีทางนี้งานยุ่งมาก แล้วนี่คดีคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว หาตัวคนร้ายได้หรือยัง”
“คนร้ายเหรอไวน์ มันฆ่าพ่อเรา เราจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด แต่เมื่อกี้ตำรวจเพิ่งมาบอกว่าไม่พบรอยนิ้วมือบนมีดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเลย เราไม่รู้ทำยังไงแล้วไวน์ เราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” เธอปล่อยโฮออกมา ไวน์เป็นเพื่อนสนิทของเธอ เป็นคนเดียวที่เธอแสดงมุมอ่อนแอให้เห็น และเป็นคนเดียวที่เธอเลือกจะร้องไห้ด้วยยามทุกข์ใจ
“แก อย่าร้องสิ แกต้องเข้มแข็ง ส่วนเรื่องคนร้ายก็ปล่อยมันไปเถอะ ในเมื่อเราไม่มีหลักฐานจะเอาผิดมันได้ยังไง” ไวน์เตือนสติเพื่อน
“ปล่อยเหรอ แกจะให้ฉันปล่อยคนที่มันฆ่าพ่อฉัน ไม่มีวัน ไม่มีวันหรอกไวน์” มาริสาตอบด้วยน้ำเสียงอันดัง แววตาที่เศร้าสร้อยกลับกลายเป็นเปลวไฟลุกโชติด้วยความแค้น
“ฉันรู้ว่าแกเสียใจ แล้วก็อยากเอาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี แต่แกลืมไปแล้วเหรอว่า...เอ่อ..” ไวน์อ้ำอึ้ง “พูดมาเถอะ ฉันรับได้” มาริสาบอกเพื่อนสาว
“คุณลุงณัฐน่ะมีบ้านน้อยบ้านใหญ่เยอะแยะ แล้วเหตุการณ์ครั้งนี้คนที่ฆ่าพ่อแก ก็ต้องเป็นหนึ่งในเมียน้อยพ่อแกแน่นอน เชื่อฉันสิ” ไวน์ชี้แนวทางในการหาตัวคนร้าย
“แต่ฉันกับแม่ไม่เคยสนใจเรื่องเมียน้อยพ่อฉันเลยนะไวน์ ฉันละเกลียดนักพวกเมียน้อย ทั้งที่รู้ว่าเขามีเจ้าของอยู่แล้ว ยังไปแย่งของเขามา อยากได้อยากมี ฉันเพิ่งรู้นะว่าความอยากมันทำให้คนลืมศีลธรรม ลืมว่าสังคมนี้มันมีความถูกต้องอยู่ ของที่เป็นของคนอื่นเอาไปก็ไม่มีความสุข เอาไปก็มีแต่ทุกข์” มาริสาตัดพ้อ
“งั้นแค่นี้ก่อนนะแก ฉันง่วงแล้วอ่ะ ราตรีสวัสดิ์จ้า” ไวน์บอกลาเพื่อนสาว
มาริสาหยิบกุญแจรถคันหรูที่คุณพ่อเป็นคนซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดขึ้นมา พลางนึกภาพว่าในวันนั้นครอบครัวของเธอมีความสุขสักเพียงไหน หากในวันนี้ภาพความสุขเหล่านั้นกลับเลือนรางหายไป ทิ้งไว้แต่ความโศกเศร้าและบาดแผลในใจที่เกิดจากฆาตกรคนนั้น
หญิงสาวเดินลงบันไดเรื่อยลงมาจนถึงสวนหน้าบ้าน ในมือยังถือกุญแจรถคันหรูไว้ไม่ห่างกาย เธอหยิบโทรศัพท์เพื่อจะโทรหาใครสักคนที่จะช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของเธอในยามนี้ไป จะโทรหาไวน์ ป่านนี้คงนอนหลับฝันดีเสียแล้ว นึกถึงใครอีกคนชายหนุ่มคู่รักของเธอ “สงคราม” เจ้าของธุรกิจอาหารแช่แข็งอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
“สงครามค่ะ คุณว่างหรือเปล่าค่ะ เดี๋ยวสาไปหานะค่ะ” หลังจากวางโทรศัพท์ เธอเดินตรงไปยังรถคันหรู ขับรถเรื่อยจนมาถึงบ้านของสงคราม
“สา เป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มใบหน้าสะอาดสอ้าน ดวงตาสีดำรับกับคิ้วหนา มองมายังหญิงสาวด้วยความอ่อนโยน “สาอยากไปที่ที่สงบ พี่สงครามพาสาไปหน่อยนะ นะ นะ”
สงครามขับรถพามาริสามายังที่ทำงานของเขา ซึ่งเวลานี้พนักงานต่างก็กลับไปพักผ่อนกันหมดแล้ว สงครามพาแฟนสาวขึ้นมายังชั้นดาดฟ้าของที่ทำงาน
หญิงสาวเดินมาเกาะขอบระเบียงของดาดฟ้า มองเห็นแสงสีในเมืองหลวงแห่งนี้ กลางคืนอันมืดมิดแต่เหมืองแห่งนี้ยังมิได้หลับใหล ยังคงมีแสงระยิบระยับทั่วทั้งเมือง รถรายังแล่นอยู่ตามท้องถนน มาริสาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มองดวงจันทร์ที่เปล่งแสงสีเหลืองนวล ด้วยคืนนี้เป็นคืนเพ็ญ แสงนวลเหลืองงามตา ค่อยทำให้หญิงสาวคลายความโศกเศร้าลงไปบ้าง
สงครามเดินมาโอบกอดร่างบางของหญิงสาวด้วยความอบอุ่น “สา เศร้าเหรอครับ”
หญิงสาวไม่ตอบ ดวงตายังจับจ้องที่ดวงจันทร์ “คุณลุงท่านไปดีแล้วนะสา อย่าเสียใจไปเลย” ชายหนุ่มลูบหัวหญิงสาวอย่างแผ่วเบา เพื่อบอกว่าเขาจะดูแลเธอเอง
“คุณพ่อท่านอยู่คนเดียวคงจะเหงาแย่เลยนะคะพี่สงคราม” หญิงสาวพูดเสียงเศร้า น้ำตาค่อยร่วงลงมาจากดวงตากลมโตคู่นั้น
“พี่ไม่รู้หรอกว่าคุณลุงท่านจะเหงามั้ย แต่ถ้าสาเหงาเมื่อไหร่ สามาหาพี่ได้เสมอนะ พี่จะอยู่เคียงข้างสาเสมอ” ชายหนุ่มหันมาสบตาหญิงสาวเพื่อบอกถึงความจริงใจ
“ความตายมันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพบเจอ สาอย่าเสียใจไปเลย คุณลุงท่านจากไปวันนี้ ถือว่าท่านได้ไปสบายแล้วล่ะ คนตายตายแล้วไปไหนใครก็ไม่รู้หรอก แต่คนเป็นนี่สิอย่ามัวแต่อาลัยอาวรณ์คนตายอยู่เลยนะสา ชีวิตคนเรามันต้องก้าวไปข้างหน้า ถ้าสายังเลือกยืนอยู่กับความเศร้า แล้วเงาของความเข็บปวดนั่นแหละจะกลับมาทำร้ายสาเอง แต่หากวันนี้สาเลือกจะเดินต่อไป ขอให้สารู้ไว้ว่ามีพี่อยู่ข้างสาเสมอ” ชายหนุ่มพูดจบก็โน้มตัวลงจุมพิตแผ่วเบนเบาหน้าผากของหญิงอันเป็นที่รัก “พี่รักสานะ” มาริสาสวมกอดสงครามไว้แน่น เธอคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่เลือกสงคราม
ชายหนุ่มรูปงามกับสตรีแสนสวยบนรถคันหรูแล่นผ่านราตรีอันมิเคยหลับใหลของเมืองหลวง ทั้งคู่เปรียบเสมือนเจ้าชายเจ้าหญิงก็ไม่ปาน ค่ำคืนอันมืดมิดแต่ยังคงสว่างสดใสด้วยความรักที่ทั้งคู่มีต่อกัน
“เดี๋ยวคุณส่งสาที่บ้านคุณก็ได้นะค่ะ สาจะได้เอารถกลับเลยค่ะ” หญิงสาวหันไปบอกชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นสารถี
“เดี๋ยวผมให้สุขขับรถไปบ้านคุณดีกว่า ส่วนคุณผมจะไปส่งเองนะครับ กลางค่ำกลางคืนกลับบ้านคนเดียวมันอันตรายนะครับ สายิ่งสวยๆ เสียด้วยสิ เกิดใครทำอะไรขึ้นมา ผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ” ชายหนุ่มหันมามองมาริสาด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
“ก็ได้ค่ะ สงคราม”
“ไปก่อนนะค่ะสงคราม” หญิงสาวบอกลา
“ครับ ฝันดีนะครับ” ชายหนุ่มหันมาโบกมือลา หญิงสาวเอี้ยวตัวไปเบาะหลังเพื่อหยิบกระเป๋าถือแบรนด์ดัง ด้วยความรีบร้อนทำให้กระเป๋าหล่นลง ข้าวของในกระเป๋ากระจัดกระจาย มาริสารีบร้อนเก็บของใส่กระเป๋าแล้วโบกมือลาชายอันเป็นที่รัก
“ไปกับนายสงครามมาอีกแล้วใช่ไหม” ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน รัตนากรมีท่าทีถทึง ส่งสายตาแข็งกร้าวให้ลูกสาว
“ค่ะ คุณแม่”
“แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ไปคบหาสมาคมกับนายสงครามอีก” รัตนากรพูดเสียงแข็ง
“ทำไมละค่ะคุณแม่ สงครามเขาไม่ดีตรงไหนคะ” รัตนากรไม่ตอบ สองเท้ารีบก้าวขึ้นบันได
“คุณแม่คะ สงครามเขาเป็นคนดี ฐานะทางบ้านก็เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง คุณแม่ยังไม่พอใจอะไรอีกเหรอคะ” มาริสาพูดเสียงดัง
“สา นี่สาดูถูกแม่มากเกินไปแล้วนะ แม่ไม่เคยดูใครที่ฐานะทางบ้าน หรือเรียกง่ายๆ ว่าเห็นแก่เงิน แต่แม่อยากให้ลูกรู้ไว้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนดีหรอก” รัตนากรพูดจบ ก็สาวเท้าขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว
“แต่แม่คะ..”
“พอเถอะสา แม่ไม่อยากทะเลาะกับลูก พรุ่งนี้ต้องเผาศพคุณพ่อ ไปนอนเถอะ” ผู้เป็นแม่ผิดประตูห้องทิ้งให้มาริสายืนอยู่ด้วยความทุกข์ใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัตนากรห้ามเธอไม่ให้คบหากับสงคราม ทั้งที่ช่วงแรกที่เธอคบกัน รัตนากรก็ดูจะพอใจในตัวสงครามดี แต่ช่วงหลังๆ เนี่ยสิที่รัตนากรมีท่าทีเปลี่ยนไป
มาริสาหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดออกมาจากกระเป๋าใบโปรด เพื่อโทรศัพท์หาสงครามคนรักของเธอ
“นอนหรือยังคะ สงคราม” มาริสาถามคนรักเสียงใส
“กำลังจะนอนละครับ สานอนเถอะนะครับ พรุ่งนี้ต้องจัดการเรื่องงานศพคุณลุงแต่เช้า” สงครามบอกหญิงสาวเจ้าของเสียงใสจากสายโทรศัพท์ด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะ ฝันดีนะคะ สงคราม”
“ฝันดีครับ”
มาริสาตั้งโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง สายตาพลับเหลือบไปเห็นลิปสติกสีแปลกตาในกระเป๋าซึ่งไม่ใช้สีที่เธอใช้อยู่เป็นประจำ เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าคงจะติดมาตอนที่เธอทำกระเป๋าหล่นบนรถของสงคราม แล้วสงครามมีลิปสติกแท่งนี้ได้อย่างไร แถมสีลิปสติกแท่งนี้ก็คุ้นตาเธอเสียเหลือเกิน หรืออาจจะเป็นของเหมียวน้องสาวของสงคราม แปลกแฮะร้อยวันพันปีไม่เห็นเหมียวจะใช้ลิปสติกสีนี้ เธอคิดได้ดังนั้นจึงปิดไฟเข้านอนเพื่อที่พรุ่งนี้จะตื่นมาทำพิธีแต่เช้า
รสปรารถนา ตอนที่ ๑ โดย..ศักดิ์ศรี
มาริสา คุณหนูแห่งตระกูลอัศวกุล ใครๆ ต่างพากันอิจฉาในความเพียบพร้อมของเธอ แม้นแต่ตัวเธอเองก็เถอะยังคิดว่าตัวเองโชคดีขนาดไหน แต่หากเมื่อวานไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเธอคงจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่ใครๆ ก็ต่างพากันอิจฉา
“คุณหนูคะ คุณผู้หญิงให้มาตามไปรับประทานอาหารค่ะ” เสียงเฟื่องคนรับใช้เก่าแก่ทำให้เธอหลุดจากภวังค์ สองมือน้อยเช็ดคราบน้ำตาอย่างรีบร้อน
“ไปเดี๋ยวนี้ล่ะจ้ะ ป้าเฟื่อง” เฟื่องมองคุณหนูด้วยความสงสาร คุณหนูของเธอเข้มแข็งมาตั้งแต่เด็ก เธอไม่ยอมให้ใครได้เห็นมุมอ่อนไหวของเธอ แต่เฟื่องก็ทราบว่ามาริสากำลังเศร้า ด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ ที่ไม่ต้องหันหน้ามาก็ทราบว่าคุณหนูของเธอกำลังร้องไห้อยู่เป็นแน่
“มาริสา มานั่งนี่สิลูก” คุณหญิงรัตนากรซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีดำ เรียกลูกสาวให้นั่งใกล้ตน “เดี๋ยวรีบทานข้าวนะลูก ได้ไปรับแขกที่วัด” ผู้เป็นแม่บอกลูกสาว นัยน์ตาแฝงไปด้วยความเศร้า เมื่อคิดถึงสามีที่เสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรมโดยไม่สามารถหาฆาตกรได้
ณัฐเป็นชายวัยกลางคน แม้อายุค่อนข้างมากแล้วแต่ก็ยังคงมีเสน่ห์ไม่แพ้กับชายหนุ่มวัยรุ่น รัตนากรทราบดีว่าสามีของเธอเป็นคนเจ้าชู้ แต่เธอก็ไม่คิดจะใส่ใจด้วยไม่อยากสร้างความร้าวฉานในครอบครัว และเพราะสายเลือดอันเกิดจากความรักของเธอกับณัฐ นั่นก็คือ “มาริสา” ลูกสาวของเธอผู้เพียบพร้อม เธอจึงไม่อยากให้ความร้าวฉานในครอบครัวกลายมาเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตของลูกสาว
การจากไปของณัฐสร้างความเสียใจให้รัตนากรและมาริสาเป็นอย่างมาก ใบหน้าของทั้งคู่เป็นไปด้วยความเศร้าโศก เมื่อทราบข่าวจากตำรวจว่าณัฐถูกฆาตกรรม ตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเหตุชู้สาว เพราะในคอนโดที่เกิดเหตุ พบถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว และรอยลิปสติกบนร่างของณัฐ อีกทั้งพบมีดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุซึ่งได้ส่งพิสูจน์ลายนิ้วมือเพื่อหาตัวคนร้ายอย่างเร่งด่วน
“คุณหนูขา โทรศัพท์ค่ะ” เฟื่องเดินมาพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้มาริสา
“ขอบใจจ้ะ ป้าชื่น”
“สา นี่เธอเป็นไงบ้าง” เสียงเพื่อนรักของเธอถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะไวน์ แล้วนี่ไวน์อยู่ไหน”
“ฉันอยู่เชียงใหม่ มาทำธุระนิดหน่อย ขอโทษด้วยนะฉันคงไปร่วมงานไม่ได้ พอดีทางนี้งานยุ่งมาก แล้วนี่คดีคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว หาตัวคนร้ายได้หรือยัง”
“คนร้ายเหรอไวน์ มันฆ่าพ่อเรา เราจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด แต่เมื่อกี้ตำรวจเพิ่งมาบอกว่าไม่พบรอยนิ้วมือบนมีดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเลย เราไม่รู้ทำยังไงแล้วไวน์ เราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” เธอปล่อยโฮออกมา ไวน์เป็นเพื่อนสนิทของเธอ เป็นคนเดียวที่เธอแสดงมุมอ่อนแอให้เห็น และเป็นคนเดียวที่เธอเลือกจะร้องไห้ด้วยยามทุกข์ใจ
“แก อย่าร้องสิ แกต้องเข้มแข็ง ส่วนเรื่องคนร้ายก็ปล่อยมันไปเถอะ ในเมื่อเราไม่มีหลักฐานจะเอาผิดมันได้ยังไง” ไวน์เตือนสติเพื่อน
“ปล่อยเหรอ แกจะให้ฉันปล่อยคนที่มันฆ่าพ่อฉัน ไม่มีวัน ไม่มีวันหรอกไวน์” มาริสาตอบด้วยน้ำเสียงอันดัง แววตาที่เศร้าสร้อยกลับกลายเป็นเปลวไฟลุกโชติด้วยความแค้น
“ฉันรู้ว่าแกเสียใจ แล้วก็อยากเอาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี แต่แกลืมไปแล้วเหรอว่า...เอ่อ..” ไวน์อ้ำอึ้ง “พูดมาเถอะ ฉันรับได้” มาริสาบอกเพื่อนสาว
“คุณลุงณัฐน่ะมีบ้านน้อยบ้านใหญ่เยอะแยะ แล้วเหตุการณ์ครั้งนี้คนที่ฆ่าพ่อแก ก็ต้องเป็นหนึ่งในเมียน้อยพ่อแกแน่นอน เชื่อฉันสิ” ไวน์ชี้แนวทางในการหาตัวคนร้าย
“แต่ฉันกับแม่ไม่เคยสนใจเรื่องเมียน้อยพ่อฉันเลยนะไวน์ ฉันละเกลียดนักพวกเมียน้อย ทั้งที่รู้ว่าเขามีเจ้าของอยู่แล้ว ยังไปแย่งของเขามา อยากได้อยากมี ฉันเพิ่งรู้นะว่าความอยากมันทำให้คนลืมศีลธรรม ลืมว่าสังคมนี้มันมีความถูกต้องอยู่ ของที่เป็นของคนอื่นเอาไปก็ไม่มีความสุข เอาไปก็มีแต่ทุกข์” มาริสาตัดพ้อ
“งั้นแค่นี้ก่อนนะแก ฉันง่วงแล้วอ่ะ ราตรีสวัสดิ์จ้า” ไวน์บอกลาเพื่อนสาว
มาริสาหยิบกุญแจรถคันหรูที่คุณพ่อเป็นคนซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดขึ้นมา พลางนึกภาพว่าในวันนั้นครอบครัวของเธอมีความสุขสักเพียงไหน หากในวันนี้ภาพความสุขเหล่านั้นกลับเลือนรางหายไป ทิ้งไว้แต่ความโศกเศร้าและบาดแผลในใจที่เกิดจากฆาตกรคนนั้น
หญิงสาวเดินลงบันไดเรื่อยลงมาจนถึงสวนหน้าบ้าน ในมือยังถือกุญแจรถคันหรูไว้ไม่ห่างกาย เธอหยิบโทรศัพท์เพื่อจะโทรหาใครสักคนที่จะช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของเธอในยามนี้ไป จะโทรหาไวน์ ป่านนี้คงนอนหลับฝันดีเสียแล้ว นึกถึงใครอีกคนชายหนุ่มคู่รักของเธอ “สงคราม” เจ้าของธุรกิจอาหารแช่แข็งอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
“สงครามค่ะ คุณว่างหรือเปล่าค่ะ เดี๋ยวสาไปหานะค่ะ” หลังจากวางโทรศัพท์ เธอเดินตรงไปยังรถคันหรู ขับรถเรื่อยจนมาถึงบ้านของสงคราม
“สา เป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มใบหน้าสะอาดสอ้าน ดวงตาสีดำรับกับคิ้วหนา มองมายังหญิงสาวด้วยความอ่อนโยน “สาอยากไปที่ที่สงบ พี่สงครามพาสาไปหน่อยนะ นะ นะ”
สงครามขับรถพามาริสามายังที่ทำงานของเขา ซึ่งเวลานี้พนักงานต่างก็กลับไปพักผ่อนกันหมดแล้ว สงครามพาแฟนสาวขึ้นมายังชั้นดาดฟ้าของที่ทำงาน
หญิงสาวเดินมาเกาะขอบระเบียงของดาดฟ้า มองเห็นแสงสีในเมืองหลวงแห่งนี้ กลางคืนอันมืดมิดแต่เหมืองแห่งนี้ยังมิได้หลับใหล ยังคงมีแสงระยิบระยับทั่วทั้งเมือง รถรายังแล่นอยู่ตามท้องถนน มาริสาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มองดวงจันทร์ที่เปล่งแสงสีเหลืองนวล ด้วยคืนนี้เป็นคืนเพ็ญ แสงนวลเหลืองงามตา ค่อยทำให้หญิงสาวคลายความโศกเศร้าลงไปบ้าง
สงครามเดินมาโอบกอดร่างบางของหญิงสาวด้วยความอบอุ่น “สา เศร้าเหรอครับ”
หญิงสาวไม่ตอบ ดวงตายังจับจ้องที่ดวงจันทร์ “คุณลุงท่านไปดีแล้วนะสา อย่าเสียใจไปเลย” ชายหนุ่มลูบหัวหญิงสาวอย่างแผ่วเบา เพื่อบอกว่าเขาจะดูแลเธอเอง
“คุณพ่อท่านอยู่คนเดียวคงจะเหงาแย่เลยนะคะพี่สงคราม” หญิงสาวพูดเสียงเศร้า น้ำตาค่อยร่วงลงมาจากดวงตากลมโตคู่นั้น
“พี่ไม่รู้หรอกว่าคุณลุงท่านจะเหงามั้ย แต่ถ้าสาเหงาเมื่อไหร่ สามาหาพี่ได้เสมอนะ พี่จะอยู่เคียงข้างสาเสมอ” ชายหนุ่มหันมาสบตาหญิงสาวเพื่อบอกถึงความจริงใจ
“ความตายมันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพบเจอ สาอย่าเสียใจไปเลย คุณลุงท่านจากไปวันนี้ ถือว่าท่านได้ไปสบายแล้วล่ะ คนตายตายแล้วไปไหนใครก็ไม่รู้หรอก แต่คนเป็นนี่สิอย่ามัวแต่อาลัยอาวรณ์คนตายอยู่เลยนะสา ชีวิตคนเรามันต้องก้าวไปข้างหน้า ถ้าสายังเลือกยืนอยู่กับความเศร้า แล้วเงาของความเข็บปวดนั่นแหละจะกลับมาทำร้ายสาเอง แต่หากวันนี้สาเลือกจะเดินต่อไป ขอให้สารู้ไว้ว่ามีพี่อยู่ข้างสาเสมอ” ชายหนุ่มพูดจบก็โน้มตัวลงจุมพิตแผ่วเบนเบาหน้าผากของหญิงอันเป็นที่รัก “พี่รักสานะ” มาริสาสวมกอดสงครามไว้แน่น เธอคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่เลือกสงคราม
ชายหนุ่มรูปงามกับสตรีแสนสวยบนรถคันหรูแล่นผ่านราตรีอันมิเคยหลับใหลของเมืองหลวง ทั้งคู่เปรียบเสมือนเจ้าชายเจ้าหญิงก็ไม่ปาน ค่ำคืนอันมืดมิดแต่ยังคงสว่างสดใสด้วยความรักที่ทั้งคู่มีต่อกัน
“เดี๋ยวคุณส่งสาที่บ้านคุณก็ได้นะค่ะ สาจะได้เอารถกลับเลยค่ะ” หญิงสาวหันไปบอกชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นสารถี
“เดี๋ยวผมให้สุขขับรถไปบ้านคุณดีกว่า ส่วนคุณผมจะไปส่งเองนะครับ กลางค่ำกลางคืนกลับบ้านคนเดียวมันอันตรายนะครับ สายิ่งสวยๆ เสียด้วยสิ เกิดใครทำอะไรขึ้นมา ผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ” ชายหนุ่มหันมามองมาริสาด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
“ก็ได้ค่ะ สงคราม”
“ไปก่อนนะค่ะสงคราม” หญิงสาวบอกลา
“ครับ ฝันดีนะครับ” ชายหนุ่มหันมาโบกมือลา หญิงสาวเอี้ยวตัวไปเบาะหลังเพื่อหยิบกระเป๋าถือแบรนด์ดัง ด้วยความรีบร้อนทำให้กระเป๋าหล่นลง ข้าวของในกระเป๋ากระจัดกระจาย มาริสารีบร้อนเก็บของใส่กระเป๋าแล้วโบกมือลาชายอันเป็นที่รัก
“ไปกับนายสงครามมาอีกแล้วใช่ไหม” ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน รัตนากรมีท่าทีถทึง ส่งสายตาแข็งกร้าวให้ลูกสาว
“ค่ะ คุณแม่”
“แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ไปคบหาสมาคมกับนายสงครามอีก” รัตนากรพูดเสียงแข็ง
“ทำไมละค่ะคุณแม่ สงครามเขาไม่ดีตรงไหนคะ” รัตนากรไม่ตอบ สองเท้ารีบก้าวขึ้นบันได
“คุณแม่คะ สงครามเขาเป็นคนดี ฐานะทางบ้านก็เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง คุณแม่ยังไม่พอใจอะไรอีกเหรอคะ” มาริสาพูดเสียงดัง
“สา นี่สาดูถูกแม่มากเกินไปแล้วนะ แม่ไม่เคยดูใครที่ฐานะทางบ้าน หรือเรียกง่ายๆ ว่าเห็นแก่เงิน แต่แม่อยากให้ลูกรู้ไว้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนดีหรอก” รัตนากรพูดจบ ก็สาวเท้าขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว
“แต่แม่คะ..”
“พอเถอะสา แม่ไม่อยากทะเลาะกับลูก พรุ่งนี้ต้องเผาศพคุณพ่อ ไปนอนเถอะ” ผู้เป็นแม่ผิดประตูห้องทิ้งให้มาริสายืนอยู่ด้วยความทุกข์ใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัตนากรห้ามเธอไม่ให้คบหากับสงคราม ทั้งที่ช่วงแรกที่เธอคบกัน รัตนากรก็ดูจะพอใจในตัวสงครามดี แต่ช่วงหลังๆ เนี่ยสิที่รัตนากรมีท่าทีเปลี่ยนไป
มาริสาหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดออกมาจากกระเป๋าใบโปรด เพื่อโทรศัพท์หาสงครามคนรักของเธอ
“นอนหรือยังคะ สงคราม” มาริสาถามคนรักเสียงใส
“กำลังจะนอนละครับ สานอนเถอะนะครับ พรุ่งนี้ต้องจัดการเรื่องงานศพคุณลุงแต่เช้า” สงครามบอกหญิงสาวเจ้าของเสียงใสจากสายโทรศัพท์ด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะ ฝันดีนะคะ สงคราม”
“ฝันดีครับ”
มาริสาตั้งโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง สายตาพลับเหลือบไปเห็นลิปสติกสีแปลกตาในกระเป๋าซึ่งไม่ใช้สีที่เธอใช้อยู่เป็นประจำ เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าคงจะติดมาตอนที่เธอทำกระเป๋าหล่นบนรถของสงคราม แล้วสงครามมีลิปสติกแท่งนี้ได้อย่างไร แถมสีลิปสติกแท่งนี้ก็คุ้นตาเธอเสียเหลือเกิน หรืออาจจะเป็นของเหมียวน้องสาวของสงคราม แปลกแฮะร้อยวันพันปีไม่เห็นเหมียวจะใช้ลิปสติกสีนี้ เธอคิดได้ดังนั้นจึงปิดไฟเข้านอนเพื่อที่พรุ่งนี้จะตื่นมาทำพิธีแต่เช้า