+ + + + จากทุ่งกุลา .... ถึงป่าภูพาน (เพชรน้ำนิล) + + + +


ปราสาทหินศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์

ปีใหม่ที่ผ่านมา ดิฉันได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้าน พร้อมเพื่อนรุ่นพี่ที่ดิฉันเคารพรักนับถือ ดิฉันกับพี่ออกเดินทางจากกรุงเทพฯไปแวะรับเพื่อนของพี่อีก 2 คนที่จังหวัดสุรินทร์เพื่อไปเที่ยวบ้านดิฉันด้วยกัน

เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้ไปจังหวัดสุรินทร์จึงรู้สึกสนุกและตื่นเต้นมาก  พอเข้าเขตบุรีรัมย์รถก็เริ่มติด และติดมากๆเมื่อเริ่มเข้าเส้นทางแยกไปประสาทเขาพระวิหาร นึกถึงประสาทเขาพระวิหารทีไร ก็นึกไปถึงความคลั่งชาติของสลิ่มทุกที นึกไปก็ขำไป อยากถามพี่หลิ่มเหมือนกันว่า ทวงเขาพระวิหารคืนมาได้รึยัง ?  มีความคืบหน้าไปถึงไหน ?  ไมเงียบ ? ....

ผ่าดงรถติดมาได้เราก็เข้าเขตสุรินทร์  สองข้างฝั่งทางนั้นเป็นทุ่งนาที่ตอนนี้เหลือแต่ตอซังกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เราเข้าสู่เขตแดนที่เรียกว่า “ทุ่งกุลา” แล้วสินะ ....
  
ทุ่งกุลาดินแดนที่สุดแสนแห้งแล้งกันดารในอดีต ทุ่งโล่งอันกว้างใหญ่ไพศาล ขาดแคลนแหล่งน้ำ อากาศร้อนจัด พื้นดินแตกระแหง เป็นที่ที่เหล่านายฮ้อย (พ่อค้า) ที่ต้องเดินทางผ่านพื่อนำสินค้าไปขายที่กรุงเทพฯ ต้องเอาชีวิตทั้งของตัวเอง ลูกน้อง วัวควายมาทิ้งที่นี่มากมายจนได้ชื่อว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้”  แต่ในปัจจุบันเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิพันธุ์ดีที่สุดในโลกไปแล้ว

ดิฉันสังเกตเห็นตอซังข้าวสูงตามแปลงนาแล้วก็พอมโนออกว่า ปีนี้ชาวนาคงปลูกข้าวได้ผลผลิตดีทีเดียว และก็เป็นจริงเมื่อเราได้พูดคุยกับเจ้าของที่นาเกือบร้อยไร่ เพื่อนของพี่ที่เราแวะไปหาเมื่อเราไปถึงสุรินทร์ พี่เจ้าของที่นาเล่าให้เราฟังว่า ปีนี้ทำนาได้ข้าวมากพอสมควรใกล้เคียงกับปีที่แล้ว แต่ที่น่าเศร้าใจคือ แม้ผลผลิตจะดี แต่ราคานั้นต่างกันมาก เพราะโครงการรับจำนำข้าวที่คอยช่วยพยุงราคาข้าวเอาไว้ไม่ให้พ่อค้ากดราคาได้มากนักได้ถูกยกเลิกไป

ปีนี้ราคาข้าวหอมมะลิ 105 ที่พี่เค้าขายอยู่ที่ตันละ 9,000 หรือ ช่วงดีที่สุดคือ 10,000 บาทเท่านั้น ที่พูดนี้เราพูดกันที่ข้าวตากแห้งความชื้นไม่เกิน 20%  ถ้าเป็นช่วงที่หลังเก็บเกี่ยวข้าวใหม่ๆชาวนาไม่ได้ตากข้าวให้แห้ง คือเกี่ยวแล้วนำไปขายเลย ราคาข้าวอยู่ที่ตันละ 6,500 – 7,000 บาทเท่านั้น
ตอนที่ขับรถเข้าเขตจังหวัดสุรินทร์นั้น เห็นมีโรงสีอยู่ 2 – 3 โรงมีขนาดใหญ่มากๆ  ถัดไปไม่ไกลกันมากนัก ก็เจอบ้านบนเนินดินหลังมหึมาอย่างกับวังฮ่องเต้ ล้อมรั้วลัลลอยด์ราคาแพงลิ่ว มโนเอาว่าเจ้าของบ้านน่าจะเป็นคนเดียวกันกับเจ้าของโรงสี

ปีนี้คงเป็นปีทองของโรงสีหรือพ่อค้าข้าวที่จะเป็นผู้กำหนดราคาข้าวเอง ในขณะที่ชาวนานั่งหน้าแห้งกับราคาข้าวที่ตกต่ำ เงินที่ขายข้าวได้แทบจะไม่พอใช้หนี้ ธกส. แต่พ่อค้าข้าวกลับนั่งพุงพลุ้ยหัวเราะร่ากับราคาข้าวที่ตัวเองกดได้จากชาวนา

เมื่อโครงการดีๆที่พอจะพยุงชีวิตให้ตั้งหลักได้ถูกยกเลิกไป ความหวังที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นพอจะลืมตาอ้าปากได้ของชาวนาก็ริบหรี่ลง  สุดท้ายก็หนีไม่พ้นวังวนเดิมๆ
  
ชาวนา --- > ทำนา --- >   ขายข้าวราคาถูก --- >  ขาดทุน --- > ยากจน  --- > กู้หนี้เพิ่ม --- >  ยากจนมากขึ้น
พ่อค้า --- > กำหนดราคาเอง --- > กำไรมาก --- > ร่ำรวย --- > อำนาจต่อรองมาก --- > กำหนดราคาตลาด --- > ร่ำรวยมากขึ้น


พระธาตุเชิงชุม สัญลักษณ์ของจังหวัดสกลนคร และ สาวภูไทที่ลือชื่อว่างามล้ำ (แต่ทุกอย่างมีข้อยกเว้นนะคะ อิอิ)

เราออกจากสุรินทร์มุ่งหน้าสู่สกลนครในตอนสายของวันรุ่งขึ้น
ภูมิประเทศของสกลนครเป็นภูเขาสลับพื้นราบ ภูพานคือเส้นแบ่งเขตจังหวัดกาฬสินธุ์กับสกลนคร พวกเรากำลังขับรถอยู่บนเส้นทางที่คดเคี้ยวบนสันเขาภูพานตอนตะวันรอนๆ ลงจากภูพานก็จะเป็นอำเภอเมืองสกลนคร นั่นหมายความว่าพวกเรา   4 ชีวิต ต้องขับรถบนภูต่ออีกประมาณ 70 กม. จึงจะถึงจุดหมายปลายทาง

สกลนคร เป็นจังหวัดที่มีภูพานเป็นเหมือนกำแพงกั้นลมมรสุม (ดิฉันมโนเอาเองล้วนๆ) สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วและแตกต่างกันมาก ฤดูหนาวอากาศหนาวจัด บางช่วงอุณหภูมิตอนเช้าๆประมาณ 8- 9 เซลเซียส ฤดูร้อนอากาศร้อนจัด ประมาณ 38 – 39 เซลเซียส เสียดายวันที่เราเดินทางไปนั้นไม่เจออากาศหนาว แต่พอวันที่เราเดินทางกลับ อุณหภูมิกลับลดลงฮวบฮาบประมาณ 7-9 เซลเซียสเลยทีเดียว ใครที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศแบบนี้ พาลจะไม่สบายเอาได้ง่ายๆ


ป่าไม้เปลี่ยนสีที่สกลนคร

ใครที่เคยขับรถบนภูพานนั้น ต้องเคยเห็นป้ายเขียนบอกทางไป  “ถ้ำเสรีไทย”  ในช่วงกลางระหว่างรอยต่อภูเขา 2  ลูก  พวกเราก็เช่นกัน เมื่อใครคนหนึ่งมองเห็นป้ายนี้เข้า บทสนทนาในรถจึงเปลี่ยนจากเรื่องการประกอบอาชีพทำมาหากิน เข้าสู่โหมดการเมือง และย้อนไปถึงประวัติความเป็นมา เกิดเป็นความสงสัย เกิดเป็นคำถามที่อยากค้นหา

ดิฉันผู้เป็นฝ่ายทีมเหย้า ก็ได้แต่เงียบกริบ  เพราะไม่รู้เรื่องอะไรกับเค้า ได้แต่อ้อมแอ้มโบ้ยไปให้พ่อ  บอกพี่ๆไว้ว่า กลับถึงบ้านแล้วค่อยให้พ่อเล่าให้ฟัง เพราะดิฉันจำได้ว่าถ้าขับรถมากับพ่อผ่านแถวนี้ทีไร พ่อเป็นต้องเล่าความหลังครั้งสมัยพ่อเป็นเด็ก อยู่ในยุคที่สกลนครถูกได้รับเกลียด (พิมพ์ถูกแล้ว) ให้เป็นเขต  “พื้นที่สีแดง” ทุกครั้งไป (พ่อเกิดปี พ.ศ. 2494)

เอาเข้าจริง พอกลับถึงบ้านแล้ว เรากลับไม่มีเวลาได้คุยกันมากนัก  และ ดิฉันก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

ที่บ้านได้มีการจัดพาบายศรีเล็กๆ ไว้ต้อนรับการมาเยี่ยมเยือนของพี่ๆและการกลับมาบ้านของดิฉัน ตามธรรมเนียมปฏิบัติของคนภูไทดั้งเดิม ที่เป็นการแสดงให้เห็นถึง การรอคอยการกลับมาของลูกหลานที่จากบ้านไปไกลนานๆ เป็นการเรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับเหย้ากับเรือน

ปกติถ้าเป็นพาบายศรีใหญ่ จะมีพิธีรีตองค่อนข้างมาก มีหมอพราหมณ์มาร่ายร้องทำนองเรียกขวัญ มีการฟ้อนเชิญขวัญ มีผู้หลักผู้ใหญ่มาเป็นประธานพิธีผูกข้อไม้ข้อมือ ใส่ชุดภูไทเต็มยศ  แต่ตอนนี้วัฒนธรรมพื้นบ้านเหล่านี้ ค่อยๆเลือนหายไป ตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมและค่านิยม  .....  จริงๆแล้วเวลาไม่ได้เปลี่ยน  คนเราเองต่างหากที่เปลี่ยน ....


ทุ่งดอกดุสิตาที่ลานหิน อุทยานแห่งชาติภูพาน สกลนคร

ย้อนกลับมาเรื่องที่ดิฉันติดค้างเอาไว้  ความเป็นมาของ “ถ้ำเสรีไทย”

หลังจากที่กลับมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ดิฉันจึงนึกขึ้นได้ว่า ได้ติดค้างเรื่องนี้เอาไว้กับพี่ จึงได้ค้นหาข้อมูลเพื่อตอบคำถามที่พี่เคยถามไว้  จึงพบว่าแท้จริงแล้ว พื้นดินที่ราบสูงของภาคอีสาน คนอีสานมีเลือดนักสู้ นักประชาธิปไตยมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนอีสานมีความคิดเป็นอกเทศ ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือและทาสของใคร สังเกตจากประวัติศาสตร์มักไม่ค่อยกล่าวถึงเมืองต่างๆในภาคอีสานมากนัก

การปฏิวัติการปกครองของประเทศไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาสู่ระบอบประชาธิปไตย  บรรพบุรุษของคนอีสาน ได้มีส่วนร่วมและมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้การนำของนักสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเสมอภาคเท่าเทียมกันของประชาชนของ  “เตียง  ศิริขันธ์” และ 3 สหายเพื่อนรัก จากดินแดนแห่งทุ่งกุลา ....

.... และนี่ก็พอจะเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมพรรคประชาธิปัตย์  จึงไม่สามารถเข้ามาครอบงำคนอีสานและพื้นดินอีสานได้


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
การแสดงฟ้อนบายศรีสู่ขวัญแบบภูไท

เป็นครั้งแรกที่โพสต์คลิปลงยูทูปค่ะ ต้องขออภัยที่มีความจำเป็นต้องตัดคลิปบางส่วนออก ตัดเปนแต่ต่อมะเปนอ่า ใช้ Movie Maker ยังมะเปนนิ
ร้องไห้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่