พอดีพึ่งตอบกระทู้ของผู้ปกครองคนนึงที่เว็บอื่น ยาวหน่อยนะคะ แต่อยากให้อ่านด้วยความหวังดีจากใจค่ะ
จึงคิดว่า น่าจะมาแชร์ในพันทิพและอยากบอกถึงพ่อแม่ทุกคนค่ะ
เราเป็นติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษ มาเป็นปีแล้วค่ะ
สอนมาทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กยันติวสอบ
ด้วยความที่ชอบเด็กๆเป็นทุนเดิม และรักการสอนค่ะ
จะไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอเล่าเรื่องเลยละกัน
นี่เป็นเคสตัวอย่างจากประสบการณ์ที่เราอยากเปรียบเทียบให้ฟัง
ครอบครัวที่หนึ่ง น้องวัย 3ขวบ
ครอบครัวที่สอง น้องวัย 4ขวบ
เราจัดว่าอยู่ในวัยเดียวกันเลยนะคะ
สำหรับ
ครอบครัวที่หนึ่ง
คุณแม่น้องไม่ได้ซีเรียสว่าต้องให้น้องมานั่งท่องศัพท์หรืออ่านเป็นจริงเป็นจัง
แต่ต้องการให้น้องใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ในชีวิตจริง
สิ่งที่เราทำคือ พยายามพูดภาษาอังกฤษตลอดการสอน สอนผ่านการเล่น
และทำกิจกรรมต่างๆเล็กๆน้อยๆโดยใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อสอดแทรกคำศัพท์ โดยไม่ยัดเยียด และให้น้องกล้าพูด
ครอบครัวที่สอง
คุณแม่น้องต้องการให้เรียนภาษาอังกฤษเพื่อ:
1.เพื่อให้น้องไม่เล่นตอนเย็น
2.เพื่อให้อ่านออกเขียนได้ และคำศัพท์
ตอนไปสอนครั้งแรก เราก็มาคล้ายๆกับน้องคนแรก อาจจะต่างบ้างเล็กน้อยในรายละเอียด
เราจะเน้นที่การฝึกพูดและการใส่คำศัพท์แบบไม่ยัดเยียด ผ่านกิจกรรมต่างๆ น้องก็จะเล่นไปบ้าง เรียนไปบ้าง
(แต่ระหว่างเล่น ก็ใช้ภาษาอังกฤษและแอบให้คำศัพท์อยู่เนืองๆ)
ปรากฎว่าคุณแม่น้องไม่โอเค
ต้องการให้เราดุน้องเลย อยากให้น้องนั่งเรียนดีๆแบบเรียบร้อย ... กับเด็ก4ขวบ
จริงๆถ้านร.ที่ดื้อมากจริง เราดุนะคะ ค่อนข้างเป็นคนแอบดุด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราดูตามวัยและพัฒนาการของน้องเป็นหลัก
สุดท้าย เราก็สอนแบบที่คุณแม่ต้องการ คือนั่งเรียน เขียน อ่าน เพราะเขาเป็นคนจ่ายเงินเรา
ไม่มีการมานั่งเล่นแล้วพูดภาษาอังกฤษไปด้วย / ฝึกพูด ก็คือเรียนพูดเลย
(แต่เราก็แอบให้น้องเล่นบ้าง พักบ้าง เป็นบางเวลา ซึ่งขัดใจคุณแม่เบาๆ)
ปรากฎว่า น้องออกเริ่มจะแอนตี้ภาษาอังกฤษ เริ่มบ่นว่าไม่ชอบ และไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษเลย
คือต้องบังคับ ต่างจากแรกๆที่พูดไปยิ้มไป เล่นไป ไม่อยากให้เรากลับ แต่วันนี้ถามเราว่า เมื่อไหร่เราจะกลับ .. แอบเสียใจนิดนึง ฮ่าๆ
เราพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้ทางบ้านเขาเข้าใจ แต่เหมือนเขายังเชื่อว่า การเรียนแบบน้องต้องนั่งโต๊ะ ตั้งใจอ่านเขียน คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้น้องเก่ง
น้องคนนี้ วันไหนที่ไม่ได้เรียนกับเรา ก็ต้องไปนั่งเรียนคุมอง คือไม่ได้เลิกเรียนแล้วกลับมาบ้าน สนุกตามวัย
เราก็ทั้งสงสารน้อง ทั้งสงสารตัวเอง (ฮา) แต่ก็อยากให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่ match กันทั้ง ครูและครอบครัว
ถ้าสุดท้าย มันไม่ได้จริงๆ น้องยังคงแอนตี้ โดยที่เรากลับไปสอนแบบเดิมไม่ได้ คงต้องถอยออกมา
ขอตัดจบเลยแล้วกัน
สรุปคือ ถ้าน้องยังเล็ก ควรให้เรียนแบบธรรมชาติ เขาจะไม่แอนตี้กับการเรียน และใช้ภาษาได้จริง
ไม่ควรมาซีเรียสว่าน้องจะไม่ทันเพื่อน กลัวจะไม่ได้ภาษา
การเรียนการเล่น อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้น้องเรียนรู้ใด้ดีที่สุดเลยค่ะ สำหรับเรา
เราในฐานะติวเตอร์ที่สอนภาษาอังกฤษ และพยายามเข้าใจในพัฒนาการและจิตวิทยาเด็ก
ด้วยความที่เลี้ยงน้องมาตั้งแต่เล็กๆ และสอนนักเรียนมาก็ไม่น้อย ปรับเปลี่ยนแนวการสอนตามลักษณะของนักเรียนที่ต่างกัน
แต่สำหรับบางเคส ที่ need ของครอบครัวแตกต่างกัน ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ต่างกันจริงๆ จึงอยากมาแชร์ค่ะ
ปล.
1.หากยาวไปต้องขออภัยด้วยนะคะ
2. เราไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เราเขียนหรือเราทำไป คือถูกต้องที่สุดนะคะ
แต่ก็เป็นการแชร์ความคิด และเผื่อไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้ปกครองทุกท่านค่ะ
3.เหมือนออกแนวระบายด้วยนิดนึง แต่ด้วยความหวังดีและเป็นห่วงทุกๆคนจากใจค่ะ
ฝากถึงผู้ปกครอง ที่มีน้องเล็กๆ กับ "การเรียนภาษาอังกฤษ"
จึงคิดว่า น่าจะมาแชร์ในพันทิพและอยากบอกถึงพ่อแม่ทุกคนค่ะ
เราเป็นติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษ มาเป็นปีแล้วค่ะ
สอนมาทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กยันติวสอบ
ด้วยความที่ชอบเด็กๆเป็นทุนเดิม และรักการสอนค่ะ
จะไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอเล่าเรื่องเลยละกัน
นี่เป็นเคสตัวอย่างจากประสบการณ์ที่เราอยากเปรียบเทียบให้ฟัง
ครอบครัวที่หนึ่ง น้องวัย 3ขวบ
ครอบครัวที่สอง น้องวัย 4ขวบ
เราจัดว่าอยู่ในวัยเดียวกันเลยนะคะ
สำหรับครอบครัวที่หนึ่ง
คุณแม่น้องไม่ได้ซีเรียสว่าต้องให้น้องมานั่งท่องศัพท์หรืออ่านเป็นจริงเป็นจัง
แต่ต้องการให้น้องใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ในชีวิตจริง
สิ่งที่เราทำคือ พยายามพูดภาษาอังกฤษตลอดการสอน สอนผ่านการเล่น
และทำกิจกรรมต่างๆเล็กๆน้อยๆโดยใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อสอดแทรกคำศัพท์ โดยไม่ยัดเยียด และให้น้องกล้าพูด
ครอบครัวที่สอง
คุณแม่น้องต้องการให้เรียนภาษาอังกฤษเพื่อ:
1.เพื่อให้น้องไม่เล่นตอนเย็น
2.เพื่อให้อ่านออกเขียนได้ และคำศัพท์
ตอนไปสอนครั้งแรก เราก็มาคล้ายๆกับน้องคนแรก อาจจะต่างบ้างเล็กน้อยในรายละเอียด
เราจะเน้นที่การฝึกพูดและการใส่คำศัพท์แบบไม่ยัดเยียด ผ่านกิจกรรมต่างๆ น้องก็จะเล่นไปบ้าง เรียนไปบ้าง
(แต่ระหว่างเล่น ก็ใช้ภาษาอังกฤษและแอบให้คำศัพท์อยู่เนืองๆ)
ปรากฎว่าคุณแม่น้องไม่โอเค
ต้องการให้เราดุน้องเลย อยากให้น้องนั่งเรียนดีๆแบบเรียบร้อย ... กับเด็ก4ขวบ
จริงๆถ้านร.ที่ดื้อมากจริง เราดุนะคะ ค่อนข้างเป็นคนแอบดุด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราดูตามวัยและพัฒนาการของน้องเป็นหลัก
สุดท้าย เราก็สอนแบบที่คุณแม่ต้องการ คือนั่งเรียน เขียน อ่าน เพราะเขาเป็นคนจ่ายเงินเรา
ไม่มีการมานั่งเล่นแล้วพูดภาษาอังกฤษไปด้วย / ฝึกพูด ก็คือเรียนพูดเลย
(แต่เราก็แอบให้น้องเล่นบ้าง พักบ้าง เป็นบางเวลา ซึ่งขัดใจคุณแม่เบาๆ)
ปรากฎว่า น้องออกเริ่มจะแอนตี้ภาษาอังกฤษ เริ่มบ่นว่าไม่ชอบ และไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษเลย
คือต้องบังคับ ต่างจากแรกๆที่พูดไปยิ้มไป เล่นไป ไม่อยากให้เรากลับ แต่วันนี้ถามเราว่า เมื่อไหร่เราจะกลับ .. แอบเสียใจนิดนึง ฮ่าๆ
เราพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้ทางบ้านเขาเข้าใจ แต่เหมือนเขายังเชื่อว่า การเรียนแบบน้องต้องนั่งโต๊ะ ตั้งใจอ่านเขียน คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้น้องเก่ง
น้องคนนี้ วันไหนที่ไม่ได้เรียนกับเรา ก็ต้องไปนั่งเรียนคุมอง คือไม่ได้เลิกเรียนแล้วกลับมาบ้าน สนุกตามวัย
เราก็ทั้งสงสารน้อง ทั้งสงสารตัวเอง (ฮา) แต่ก็อยากให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่ match กันทั้ง ครูและครอบครัว
ถ้าสุดท้าย มันไม่ได้จริงๆ น้องยังคงแอนตี้ โดยที่เรากลับไปสอนแบบเดิมไม่ได้ คงต้องถอยออกมา
ขอตัดจบเลยแล้วกัน
สรุปคือ ถ้าน้องยังเล็ก ควรให้เรียนแบบธรรมชาติ เขาจะไม่แอนตี้กับการเรียน และใช้ภาษาได้จริง
ไม่ควรมาซีเรียสว่าน้องจะไม่ทันเพื่อน กลัวจะไม่ได้ภาษา
การเรียนการเล่น อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้น้องเรียนรู้ใด้ดีที่สุดเลยค่ะ สำหรับเรา
เราในฐานะติวเตอร์ที่สอนภาษาอังกฤษ และพยายามเข้าใจในพัฒนาการและจิตวิทยาเด็ก
ด้วยความที่เลี้ยงน้องมาตั้งแต่เล็กๆ และสอนนักเรียนมาก็ไม่น้อย ปรับเปลี่ยนแนวการสอนตามลักษณะของนักเรียนที่ต่างกัน
แต่สำหรับบางเคส ที่ need ของครอบครัวแตกต่างกัน ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ต่างกันจริงๆ จึงอยากมาแชร์ค่ะ
ปล.
1.หากยาวไปต้องขออภัยด้วยนะคะ
2. เราไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เราเขียนหรือเราทำไป คือถูกต้องที่สุดนะคะ
แต่ก็เป็นการแชร์ความคิด และเผื่อไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้ปกครองทุกท่านค่ะ
3.เหมือนออกแนวระบายด้วยนิดนึง แต่ด้วยความหวังดีและเป็นห่วงทุกๆคนจากใจค่ะ