เคยเป็นเหมือนกันบ้างมั้ยคับ
เริ่มเรื่อง
เรื่องเริ่มจากที่ผมกับผู้หญิงคนนึงซึ่งตอนนี้ทำงานที่เดียวกันกับผม ตอนนั้นผมอายุ33 เธออายุ 29 ผมเข้ามาทำงานก่อนเธอ เรียกว่าเป็นรุ่นพี่ทั้งอายุจริงและอายุงาน และผมได้รับมอบหมายให้สอนงานและดูแลน้อง ๆ เข้าใหม่ในเรื่องระบบงานต่าง ๆ ก็เลยรู้จักกันและสนิทสนมกัน เลยรู้ว่าเธอมาทำงานที่กทม.เพราะต้องการหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เพราะแฟนเก่าเธอก่อหนี้ไว้เยอะมาก (แฟนเก่าเธอฉลาดมากที่ซื้อของ ใช้จ่ายต่าง ๆ ก็เป็นชื่อเธอ) ตอนแรกพ่อ แม่ เธอไม่อยากให้มาทำงานที่กทม.คนเดียว เพราะเป็นห่วงลูกสาว แต่เธอก็มีเพื่อนที่ทำงานที่เก่ามาทำงานที่นี่ เลยชวนเธอมาและอยู่ด้วยกัน เพราะทั้งเงินเดือนและค่าคอมฯของที่นี่ค่อนข้างมากพอสมควร หลังจากที่รู้จักสนิทสนมกันมาพอสมควร ก็ได้รู้จักตัวตนกันมากขึ้น ก็เลยถามเธอว่า ตอนนี้มีคนที่คบอยู่ด้วยมั้ย เธอตอบว่าไม่มี ใครจะมาเอาคนที่มีแต่ภาระและหนี้สิน ผมเลยบอกเธอว่าก็มีคนที่อยู่ตรงหน้านี่ไง แล้วเธอล่ะ พร้อมจะสร้างอนาคตไปด้วยกันมั้ย เธอตอบตกลงครับ
เริ่มคบ
หลังจากที่เธอตอบตกลงคบกันนั้นเราก็ย้ายมาเช่าห้องอยู่ด้วยกัน ระยะเวลาผ่านไปสักพัก ผมจึงอยากสร้างความมั่นคงในชีวิต และอยากให้เธอและคนรอบ ๆ ตัวเธอเห็นว่าเรารักผู้หญิงคนนี้จริง ๆ ผมจึงซื้อคอนโดมือสอง แต่มีพื้นที่พอที่จะอยู่กันเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ได้ไม่อึดอัด ด้านตัวผมเองก็วางแผนไว้ว่าจะอยู่สัก 4-5 ปี แล้วค่อยขยับขยายไปซื้อบ้านรึทาวน์โฮมก็ดูกันอีกที แต่ด้วยความที่ผมก็อยากที่จะมีเงินที่ใช้ผ่อนคอนโดและใช้จ่ายอื่น ๆ ผมจึงเริ่มคิดที่จะหาหนทางที่จะเพิ่มรายได้จากทางอื่นนอกเหนือจากงานประจำ
เริ่มปัญหา
ผมคิดหาทาง หาวิธีแล้ว จนมีเพื่อนคนนึงมาชวนไปทำงานร้านอาหาร ผมตอบตกลงโดยไม่ได้ปรึกษาเธอเลย จึงได้ไปทำงานพิเศษตอนช่วงเย็นจนถึงดึก จนบางครั้งไม่มีเวลาให้เธอ ตื่นนอนเจอกัน ระหว่างวันคุยกันบ้าง ตอนเย็นผมไปทำงาน เธอกลับห้องรึไม่ก็เดินซื้อของกับเพื่อนบ้าง วันหยุดเลิกพูดเลย บางทีผมไปทำงานพิเศษตั้งแต่บ่าย ๆ กว่าจะกลับมาถึงห้องก็ดึกเลย จนกระทั่งเกิดช่องว่างระหว่างเราขึ้น ผมมองข้ามช่องว่างช่องนั้นไป คิดว่าไม่มีอะไร และช่องว่างนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนห่างเหินกัน จนเราพูดกันน้อยลง น้อยลงทุกวัน คิดแค่ว่าเดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้
และแล้วก็มาถึงจุดสิ้นสุดของความรัก
เมื่อความต้องการของคน2คนมันไม่เท่ากัน และการเงียบเฉยของคนทั้ง 2 ทำให้เธอเอ่ยปากขอยุติความรักของเรา ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าที่ผมจะพาเธอไปดูคอนโดที่ผมกู้แบงค์มาซื้อ ผมกะว่าจะเซอร์ไพร์สเธอ แต่กลับเป็นวันนั้นที่เธอทำเซอร์ไพร์สผมแทน ซึ่งผมอ้อนวอนขอโอกาสที่จะคืนดีกัน กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่เธอยืนยันคำเดิม ขอห่างกันสักพักก่อนดีว่า เผื่ออะไร ๆ มันจะดีขึ้น เธอบอกเธอรักผมมาก แต่ไม่อยากทนอยู่แบบนี้ต่อไปจนทำลายความรักที่เธอมีต่อผมจนมันไม่เหลือ จนกระทั่งวันนี้ เรื่องราวทั้งหมดผ่านมาประมาณ 3 ปี เธอยังคงทำงานที่เดียวกับผมอยู่ แล้ววันนี้เธอส่งข้อความมาบอกกับผมว่า...เธอจะลาออกแล้วกลับไปอยู่บ้าน เพราะพ่อกับแม่ของเธอจะเริ่มทำธุรกิจส่วนตัว อยากให้เธอกลับมาช่วย และไม่อยากให้ลูกสาวคนเดียวต้องมาอยู่ที่กทม.คนเดียว ณ วันนี้ ยอมรับเลยครับ ว่าใจหายมาก ๆ จากที่ถึงจะไม่ได้คบเป็นแฟน แต่อย่างน้อยก็ยังได้เห็นเธออยู่เกือบทุกวันที่มาทำงาน ผมยอมรับว่าก็ยังรักเธอมาก แต่ปากแข็งง้อผู้หญิงไม่เป็น ถึงวันนี้ ผมก็ต้องปล่อยเธอให้ไปตามทางที่เธอคงคิดว่าดีที่สุดแล้ว...............................
เคยเป็นเหมือนกันบ้างมั้ยคับ..........
เริ่มเรื่อง
เรื่องเริ่มจากที่ผมกับผู้หญิงคนนึงซึ่งตอนนี้ทำงานที่เดียวกันกับผม ตอนนั้นผมอายุ33 เธออายุ 29 ผมเข้ามาทำงานก่อนเธอ เรียกว่าเป็นรุ่นพี่ทั้งอายุจริงและอายุงาน และผมได้รับมอบหมายให้สอนงานและดูแลน้อง ๆ เข้าใหม่ในเรื่องระบบงานต่าง ๆ ก็เลยรู้จักกันและสนิทสนมกัน เลยรู้ว่าเธอมาทำงานที่กทม.เพราะต้องการหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เพราะแฟนเก่าเธอก่อหนี้ไว้เยอะมาก (แฟนเก่าเธอฉลาดมากที่ซื้อของ ใช้จ่ายต่าง ๆ ก็เป็นชื่อเธอ) ตอนแรกพ่อ แม่ เธอไม่อยากให้มาทำงานที่กทม.คนเดียว เพราะเป็นห่วงลูกสาว แต่เธอก็มีเพื่อนที่ทำงานที่เก่ามาทำงานที่นี่ เลยชวนเธอมาและอยู่ด้วยกัน เพราะทั้งเงินเดือนและค่าคอมฯของที่นี่ค่อนข้างมากพอสมควร หลังจากที่รู้จักสนิทสนมกันมาพอสมควร ก็ได้รู้จักตัวตนกันมากขึ้น ก็เลยถามเธอว่า ตอนนี้มีคนที่คบอยู่ด้วยมั้ย เธอตอบว่าไม่มี ใครจะมาเอาคนที่มีแต่ภาระและหนี้สิน ผมเลยบอกเธอว่าก็มีคนที่อยู่ตรงหน้านี่ไง แล้วเธอล่ะ พร้อมจะสร้างอนาคตไปด้วยกันมั้ย เธอตอบตกลงครับ
เริ่มคบ
หลังจากที่เธอตอบตกลงคบกันนั้นเราก็ย้ายมาเช่าห้องอยู่ด้วยกัน ระยะเวลาผ่านไปสักพัก ผมจึงอยากสร้างความมั่นคงในชีวิต และอยากให้เธอและคนรอบ ๆ ตัวเธอเห็นว่าเรารักผู้หญิงคนนี้จริง ๆ ผมจึงซื้อคอนโดมือสอง แต่มีพื้นที่พอที่จะอยู่กันเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ได้ไม่อึดอัด ด้านตัวผมเองก็วางแผนไว้ว่าจะอยู่สัก 4-5 ปี แล้วค่อยขยับขยายไปซื้อบ้านรึทาวน์โฮมก็ดูกันอีกที แต่ด้วยความที่ผมก็อยากที่จะมีเงินที่ใช้ผ่อนคอนโดและใช้จ่ายอื่น ๆ ผมจึงเริ่มคิดที่จะหาหนทางที่จะเพิ่มรายได้จากทางอื่นนอกเหนือจากงานประจำ
เริ่มปัญหา
ผมคิดหาทาง หาวิธีแล้ว จนมีเพื่อนคนนึงมาชวนไปทำงานร้านอาหาร ผมตอบตกลงโดยไม่ได้ปรึกษาเธอเลย จึงได้ไปทำงานพิเศษตอนช่วงเย็นจนถึงดึก จนบางครั้งไม่มีเวลาให้เธอ ตื่นนอนเจอกัน ระหว่างวันคุยกันบ้าง ตอนเย็นผมไปทำงาน เธอกลับห้องรึไม่ก็เดินซื้อของกับเพื่อนบ้าง วันหยุดเลิกพูดเลย บางทีผมไปทำงานพิเศษตั้งแต่บ่าย ๆ กว่าจะกลับมาถึงห้องก็ดึกเลย จนกระทั่งเกิดช่องว่างระหว่างเราขึ้น ผมมองข้ามช่องว่างช่องนั้นไป คิดว่าไม่มีอะไร และช่องว่างนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนห่างเหินกัน จนเราพูดกันน้อยลง น้อยลงทุกวัน คิดแค่ว่าเดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้
และแล้วก็มาถึงจุดสิ้นสุดของความรัก
เมื่อความต้องการของคน2คนมันไม่เท่ากัน และการเงียบเฉยของคนทั้ง 2 ทำให้เธอเอ่ยปากขอยุติความรักของเรา ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าที่ผมจะพาเธอไปดูคอนโดที่ผมกู้แบงค์มาซื้อ ผมกะว่าจะเซอร์ไพร์สเธอ แต่กลับเป็นวันนั้นที่เธอทำเซอร์ไพร์สผมแทน ซึ่งผมอ้อนวอนขอโอกาสที่จะคืนดีกัน กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่เธอยืนยันคำเดิม ขอห่างกันสักพักก่อนดีว่า เผื่ออะไร ๆ มันจะดีขึ้น เธอบอกเธอรักผมมาก แต่ไม่อยากทนอยู่แบบนี้ต่อไปจนทำลายความรักที่เธอมีต่อผมจนมันไม่เหลือ จนกระทั่งวันนี้ เรื่องราวทั้งหมดผ่านมาประมาณ 3 ปี เธอยังคงทำงานที่เดียวกับผมอยู่ แล้ววันนี้เธอส่งข้อความมาบอกกับผมว่า...เธอจะลาออกแล้วกลับไปอยู่บ้าน เพราะพ่อกับแม่ของเธอจะเริ่มทำธุรกิจส่วนตัว อยากให้เธอกลับมาช่วย และไม่อยากให้ลูกสาวคนเดียวต้องมาอยู่ที่กทม.คนเดียว ณ วันนี้ ยอมรับเลยครับ ว่าใจหายมาก ๆ จากที่ถึงจะไม่ได้คบเป็นแฟน แต่อย่างน้อยก็ยังได้เห็นเธออยู่เกือบทุกวันที่มาทำงาน ผมยอมรับว่าก็ยังรักเธอมาก แต่ปากแข็งง้อผู้หญิงไม่เป็น ถึงวันนี้ ผมก็ต้องปล่อยเธอให้ไปตามทางที่เธอคงคิดว่าดีที่สุดแล้ว...............................