สวัสดีครับ ผมยืมยูสเพื่อนมา เล่าประสบการณ์ของผม ลองอ่านกันดูนะครับ
สวัสดีครับ เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อไม่นานมานี้เองครับ
ผมเป็นคนไม่เคยไปที่ไหนคนเดียวมาก่อน ไม่เคยเที่ยวคนเดียว ไม่เคยทำอะไรคนเดียวเลย จะต้องหาเพื่อนไปด้วยตลอด ก็เลยเป็นเหตุให้คิดว่าจะไปลองเที่ยวคนเดียวดู พอดีผมมีเพื่อนที่รู้จักอยู่ มหาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แถวๆประตูสวนดอก ผมก็คิดว่าจะไปอาศัยกับเพื่อนสัก 5 วัน เพื่อประหยัดค่าโรงแรม (ประหยัดได้มากๆเลย) และเพื่อนยังใจดีที่ให้ยืมรถมอไซอีกแต่ต้องเติมน้ำมันเอง ผมจึงตัดสินใจแพ็คกระเป๋าขึ้นรถบัสสีเขียว มายังจังหวัดเชียงใหม่ใช้เวลา 4 ชั่วโมงด้วยกัน พอผมถึงที่หมายผมก็ได้เที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองเชียงใหม่ เช่น งานราชพฤกษ์ วัดพระธาตุดอยคำ วัดต่างๆในเชียงใหม่ อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ผมจะเล่าข้ามไปวันที่ 3 เลยนะคับ
วันที่ 3
ก็รู้ๆกันอยู่ว่าใน smartphone จะมีแอพหาเพื่อน ซึ่งจะมีแอพ ที่หาเพื่อน สี ส้มๆ อยู่ ปกติผมจะมีไว้งั้นแหละคับ มีคนทักมาก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง วันนี้เป็นวันศุกร์หลังจากผมเที่ยวมาเเล้ว 2 วัน ก็ถึงเวลาพักบ้าง ผมก็นอนเล่นแอพ ไปเรื่อยๆก็ไปเจอ ผู้ชายคนนึงคับ ก็เห็นว่าน่ารักดี ผมเลยทักเขาไป สรุปว่าเขาอายุเท่ากันกับผม มาเที่ยวเหมือนกัน แต่มาเที่ยวเเล้วพักอยู่กับน้องสาวที่เรียน มหาลัยย่านนั้น เราก็คุยกันปกติทั่วไป เพราะผมต้องการแค่เพื่อนคุย แค่นั้น แต่ก็ไม่ลืมที่จะขอ Line ของเขามา ในคืนนั้นเองเพื่อนผมที่ผมขออาศัยด้วย ก็บอกกับผมว่าวันพรุ่งนี้ไม่ว่างพาไปถนนคนเดินวัวลายเเล้ว เพราะก่อนหน้านั้น ผมเที่ยวคนเดียวตลอด แต่การเดินถนนคนเดิน คนเดียวอย่างนี้ ผมไม่สามารถ จริงๆ ผมเลยทักลายของเขาไป ถามว่าพรุ่งนี้จะไปถนนคนเดินวัวลายด้วยกันมั้ย คำตอบที่ได้มา คือ
ผมนี่ดีใจเลยครับ จะได้มีเพื่อนไปเเล้วไม่ต้องไปคนเดียว แต่ด้วยความที่ เรา 2 คน ไม่ใช่คนพื้นที่ ก็เลยถามย้ำเขาอีกครั้งว่าจะไปมั้ย เพราะกลัวว่าผมจะพาเขาหลง เขาเลยตอบ
ผมก็ยิ้มเลยครับ ไม่คิดว่า เขาจะกล้าไปกับใครก็ไม่รู้ ที่รู้จักกันผ่านทาง แอพ (ไม่เเนะนำให้ไว้ใจใครง่ายๆนะครับ) ก่อนจะนอนผมเลยขอเฟสเขาไว้ครับ
วันที่ 4
ผมตื่นมาเพื่อนผมก็ออกไปเเล้วทิ้งให้ผมอยู่ห้องคนเดียวทั้งวัน เพื่อรอที่จะไปถนนวัวลายตอนเย็น ตอนนั้นก็ ประมาน เที่ยงเเล้วคับที่ผมตื่น ผมเลยลองทักเขาไปว่าตื่นหรือยัง สักพักเขาก็ตอบมาคับว่าตื่นเเล้ว ผมก็บ่นกับเขาว่า "เราไม่รู้จะไปไหน เพื่อนไม่อยู่ 555 " ไม่ได้หวังให้เขาชวนเที่ยวหรืออะไรเเค่บ่นตามประสา แต่เขากลับตอบมาว่า
ผมยังไม่ได้ขึ้นไปเลยครับ เพราะว่า กลัวว่าไม่ชินทางกลับจะเป็นอันตรายเลยจะรอไปกับเพื่อน แต่ผมมีคนไปด้วยละ โครตดีใจเลย ผมก็ขอเบอร์ โทรหากันว่าอยู่แถวไหน ปรากฎว่าอยู่ใกล้ๆกันครับ ผมก็เลยขับรถออกจากหอเเล้วไปรับเขาเพื่อไปเที่ยวดอยสุเทพกัน --- ระหว่างทางที่ขึ้นดอยสุเทพผมค่อนข้างขับช้าเพราะไม่คุ้นกับทาง ผมกับเขาก็คุยกันเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องเรียน เรื่องชีวิต มีแฟนหรือยัง(โสดทั้งคู่) แต่เขาบอกว่ายังไม่อยากจะคิดเรื่องนี้ตอนนี้อยากเรียนจบก่อน (เราก็คิดในใจว่าคนอย่างนี้ยังมีอยู่เว้ย) เราก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ เรา 2 คนก็ ทำบุญ เขาหยิบดอกไม้มา 1 และ เทียน 2 เล่ม ผมก็สงสัยว่าทำไม ต้องหยิบเทียนมา 2 เล่ม เขาบอกว่า "เอ่า ก็ปกติเขาให้ทำ 2 เล่มไม่ใช่อ่อ" ผมก็เถียงเขาว่าเล่มเดียว แต่ก็ไหนๆก็หยิบมาเเล้ว ผมเลยบอกกับเขาไปว่า "ทำ 2 เล่มนั้นแหละ ทำคู่ จะได้มีคู่เร็วๆ" แล้วเรา ก็ ไหว้พระไปเรื่อยๆคับ โน่นนี่นั้น พอไหว้เสร็จ เขาก็ถามผม ว่า ถ่ายรูปมั้ยเดี่ยวเราถ่ายให้ แต่เขาเอากล้องโทรศัพท์เขาถ่ายนี่สิครับ ผมก็รู้สึกแปลกว่าทำไมไม่เอากล้องผมถ่าย เราก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิวครับ เรา 2 คนก็ มองเมืองเชียงใหม่ และเขาก็ถามผมว่า นั้นใช่เครื่องบิน นกแอร์รึป่าว ผมก็มอง แต่ผมเป็นคนสายตาสั้นถึงใส่คอนเเทคผมก็มองไม่ชัดอยู่ดี ผมก็ตอบว่าอาจจะใช่ เรา 2 คนก็มอง เครื่องบิน Take off จนลับสายตาไป ผมรู้สึกได้เลยตลอดเวลาที่ผมไปรับ และพูดคุยกัน เรารู้สึกถูกชะตากันมาก เราสนิทกันอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้พูดกันถึงเรื่องนี้เลย ถ้าคนมองมาที่เรา 2 คน จะมองว่าเราเป็นแฟนกัน มากกว่าคนที่เพิ่งจะรู้จักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง และผมก็ถ่ายรูปกับเขาเป็นที่ระลึก ประเด็นมันอยู่ตรงที่ผมกับเขาเอาหัวมาชนกันนี่สิ อืม.... ผมก็ถ่ายๆไป แต่ก็ยิ้มๆ อยู่เหมือนกัน
พอลงจากพระธาตุ ก็ตกเย็นพอดีก็เลยกะไปถนนวัวลายเลย ระหว่างทางผมก็เกิดสงสัยว่าทำไมถึงกล้าที่จะออกมากับคนที่ไม่รุ้จักไม่กลัวผมลากไปฆ่าหรอ เขาตอบผมว่า "เราเชื่อว่าคนดียังมีอยู่ ปัญญาชนเขาไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก" พอเราถึงถนนวัวลาย เราก็เดินข้างๆกันคับ ก็เดินๆไป เขาหาซื้อน้ำมันหอมระเหย แต่กว่าจะตัดสินใจได้ เรา 2 คน ช่วยกันดม ว่ากลิ่นไหนหอม พอตัดสินใจว่าจะเอา กลิ่น แคนตาลูบ กับ วนิลา ก็ซื้อมาครับ พอเราเดินมาได้ซักพักเขาก็พูดขึ้นมาว่า "กลิ่นยังติดมืออยู่เลย ดมดูดิ" เขาก็ยื่นมือมาห่างจากหน้าประมาน 1 คืบ แต่คือผมไม่ได้กลิ่นไงครับ ผมเลยเผลอจับมือเขาเเล้วมาดมใกล้ๆ มันก็หอมติดมือจริงๆ เขาก็ยิ้มๆ เรา 2 คนก็เดินกันต่อไป จนสุด ระหว่างที่เดิน ผมก็ดึงเเขนเขาให้เดินให้ทันผมบ้าง โอบไหล่บ้าง เกาะไหล่ เกาะเอว บ้าง แต่ขากลับผมบังเอินมือไปโดนมือของเขา มือเขาเหงื่อออกมากเลย ผมก็จับขึ้นมาเลยครับ ผมหาเรื่องจับมือเขาเองล่ะ ยอมรับเลย แต่เปียกชุ่มเหงือจริงๆ ผมก็บอกเขาว่าระวังเป็นโรคหัวใจนะ เพราะเคยอ่านมา ผมก็เล่นมือเขาไปเรื่อยๆ บีบๆ ลูบๆ และผมก็ลองกางนิ้วมือแล้วกะประสานมือกับเขา เขาก็เหมือนรู้ด้วย เขาก็ ประสานมือกับเรา จบด้วยการที่เรา 2 คน กุมมือกัน ตลอดเส้นทางของการเดิน ถึงตอนนั้นผมเริ่มที่จะหวั่นไหวกับผู้ชายคนนี้เเล้วครับ อีกอย่าง เวลาเขาคุยกับใคร เขาจะพูด ครับต่อท้ายตลอด ไม่ใช่ครับ!! นะครับ เป็น คาฟ ประมานนี้ คือมันเหมือนการอ้อนดีดีนี่เองผมนี่หลงเลยคับ เราจับมือกัน โดยไม่ได้มีการพูดกันถึงเรื่องนี้ เราก็จับมือกันไป โดยไม่เเคร์สายตาใครเลย เป็นใคร ใครก็หวั่นไหวครับ เจองี้เข้าไป พอเดินจนสุดทางผมก็ไปส่งเขากลับหอ ครับ ผมกลับมาถึงหอ ผมก็ลายถามเขาว่า รู้สึกอะไรมั้ยที่เราจับมือกัน เขาบอกว่ารู้สึกดีคับ
ผมว่าเรา 2 คนคงถูกชะตากันแน่ๆ แต่ไม่รุ้ทำไมผมไม่ได้อยากจะเป็นเจ้าของเขา แต่ผมเเค่อยากอยู่ใกล้เขาก็พอ อยู่ใกล้ๆเเล้วอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ผมเลยบอกว่าชอบเขาเลย เขาบอกว่า พูดไม่ออก ทำตัวไม่ถูก แต่เค้าก็หวั่นๆอยู่เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอก เขาไม่ต้องการมีใครตอนนี้ เรียนให้จบก่อน จากนั้น เราก็ โทรLineคุยกัน ตั้งแต่ 23.39-00.45 ผมจำไม่ได้เเล้วว่าคุยอะไรกัน แต่ก็ไม่ได้คุยเรื่องความรักเลย คุยกันเรื่องทั่วไปมากกว่าเหมือนกับการทำความรู้จักกันให้มากขึ้น
วันที่ 5
ตื่นมาจากที่เมื่อคืนคุยกันผมเลยรู้ว่าเขาจะกลับ ม วันนี้ ผมก็เลยทักถามเขาว่าจะกลับกี่โมงก็เเชทไปเรื่อยๆ จนเขาถามว่า
ตอนแรกเพื่อนจะพาไปแต่พอดีเพื่อนมีธุระด่วน จึงทำให้ผมอดไป ผมเลยลองชวนเขาดู แต่ผมก็บอกเขาอีกทีว่า เหมือนจะไม่ทันเวลากลับ เขาบอกว่า
สรุปคือ เราก็ขับไปกัน 2 คนคับ ทางขึ้นค่อนข้างลำบากทีเดียวแต่ดีที่รถไม่เยอะเท่าไหร่ พอไปถึงที่หมาย เรา 2 คนก็ ถ่ายรูปกับต้นพญาเสือโคร่ง ส่วนมากจะเป็นการถ่ายรูปคู่ซะมากกว่า (ในระหว่างที่ผมเล่นโทรศัพท์อยู่ ผมเห็นหางตาว่าเขาแอบถ่ายรูปตอนผมเผลอไปหลาย ช๊อตเลย ^^ ตอนหลังเขาส่งมาให้ดู) พอเราถ่ายเสร็จถึงเวลากลับ จะมีทางกลับ 2 ทางคือ 1 ทางเดิมที่เรามา กับอีกทางที่ไปต่อ ซึ่งเราเห็นว่าทางที่ไปต่อ ระยะทางมันสั้นกว่า ก็เลยไปทางนั้น แต่ปรากฎว่า เป็นทางลงเขาทั้งหมดเลย ทางเป็นดินมีร่องน้ำกัดเซาะ พูดง่ายๆคือต้องกำเบรกไว้ตลอดเวลาไม่งั้นไหลลงเขาเเน่ๆครับ (ไม่แนะนำให้กลับทางนี้นะครับ) เรา 2 คนค่อยเป็นค่อยไปครับ เพราะได้ถามลุงแถวนั้นว่าต้องไปทางไหนบ้าง แต่สุดท้าย ก็หลงครับ เราหลงไปออกทางที่ไกลกว่าเราเลยจำใจที่จะต้องไปทางนั้น ต่อ เพราะกลับรถลำบากมากทางลงเขาล้วนๆ ที่รู้ว่าผิดทางเพราะว่า เราเปิด google map ดู ต้องขอขอบคุณมากเลย ครับ ระหว่างทางที่เเสนยาวนาน เขาและผม อยู่ด้วยกันแค่ 2 คน ไม่มีใครมาหลงกับเราเลยครับ แต่มันทำให้เราได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้พูดคุยเฮฮา เขาเเละผมไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อยว่าจะออกไม่ได้ ไม่มีใครพูดถึง แต่เรากลับหัวเราะ สนุกสนาน ที่หลงป่า ถ้าอีกคนเมื่อย ก็ผลัดกันคุมรถ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีครับเพราะได้ผ่านเห็นวิวสวยๆ เยอะเลย จนเราออกมาได้ มาทะลุตรงห้วยตึงเฒ่า ไกลมากๆ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ผมเลยชวนเขาว่า ไปถนนคนเดินกันมั้ย เขาตกลงครับ แต่ต้องแยกย้ายไปอาบน้ำกันก่อนครับตัวมีแต่ฝุ่น
พอมาถึงถนนคนเดินเราก็เดินจับมือกันครับ ตลอดเส้นเลย มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากครับ แต่ผมก็เสียดายที่ในวันพรุ่งนี้ทั้งผมและเขาจะต้องกลับไปสู่โลกของความจริงที่จะต้องกลับ ม กันทั้งคู่ ผมเลยขอเขาคับผม "ทีขอหอมแก้มหน่อยได้มั้ย" (นามสมมติ) ทั้งๆที่คนเดินอยู่เยอะเเยะ แต่เขากลับยื่นแก้มที่เป่าลมให้ป่องมาทางผม ผมนี่เขินเลยครับ แต่ก็หอมเเก้มไป ทีนึง เราทั้งคู่ก็จับมือกันเเน่นขึ้นครับ เหมือนราวกับว่าไม่อยากจะให้อีกคนหายไปไหน มีอยู่ช่วยนึงช่วงแรกๆที่เข้ามาในถนนคนเดินเราไม่ได้จับมือกันผมพลัดหลงกับเขาจนผมต้องโทรหา พอเห็นเขาหยุดรอผมก็รีบเดินไปหาและทำหน้าเหมือนเด็กหลงเจอพ่อแม่ เขาเอามือมาจับแก้มผมเเล้วบีบๆ เเล้วพูดว่า "โอ๋ๆ หลงหรอ" ผมเขินมาก หลังจากนั้นเราก็จับมือกันไม่ปล่อยเลยครับ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ผมนั่งกับเขาหน้าเดอะเบรนตรงข้ามวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เเละคุยกัน เพื่อรอน้องสาวของเขามารับเพื่อจะไปช่วยน้องสาวดูแฟนของน้องสาวดื่ม มีอยู่จังหวะนึงเราพูดอะไรกันนี่ล่ะครับเเล้วมีคำว่า "หรอค๊าฟ หรอค๊าฟ หรอค๊าฟ " ทุกครั้งที่ผมพูด ผมจะยื่นหน้าเข้าไปหาหน้าเขา เขาก็ "อื้ม" ตอบทุกครั้งและยิ้ม ตาเรา 2 คนมองกัน หน้าแทบจะชิดกันอยู่เเล้ว แต่ไม่ครับ ผมยิ้มเเล้วทำหน้า แบร่ ใส่เเล้วก็ กลับมานั่งเหมือนเดิม ถึงตอนนี้ผมนี่ยังเสียดายว่าทำไมผมไม่ยื่นหน้าเข้าไปอีกนิดนึงนะ รู้สึกเสียดาย ฮ่าๆ สุดท้ายน้องเขาก็มาครับ แต่ก่อนแยกกันเขาโอบไหล่ผมเเล้วพูดว่า "เราไปแล้วนะเเล้วเจอกันใหม่" แต่คือเขายืนโอบผมหน้าผมกับหน้าเขาอยู่ใกล้กันอีกเเล้ว ผมก็เลย .....หอมแก้มเขาไปทีนึงคับเเล้วเราก็เดินเเยกกัน ไปตามทางที่ต้องไป
มีต่อนิดหน่อยที่ คห. 3 นะครับ
หรือจะเรียกว่าความรักเกิดขึ้นได้ แค่ 2 วัน ?? (ช-ช) true story
สวัสดีครับ เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อไม่นานมานี้เองครับ
ผมเป็นคนไม่เคยไปที่ไหนคนเดียวมาก่อน ไม่เคยเที่ยวคนเดียว ไม่เคยทำอะไรคนเดียวเลย จะต้องหาเพื่อนไปด้วยตลอด ก็เลยเป็นเหตุให้คิดว่าจะไปลองเที่ยวคนเดียวดู พอดีผมมีเพื่อนที่รู้จักอยู่ มหาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แถวๆประตูสวนดอก ผมก็คิดว่าจะไปอาศัยกับเพื่อนสัก 5 วัน เพื่อประหยัดค่าโรงแรม (ประหยัดได้มากๆเลย) และเพื่อนยังใจดีที่ให้ยืมรถมอไซอีกแต่ต้องเติมน้ำมันเอง ผมจึงตัดสินใจแพ็คกระเป๋าขึ้นรถบัสสีเขียว มายังจังหวัดเชียงใหม่ใช้เวลา 4 ชั่วโมงด้วยกัน พอผมถึงที่หมายผมก็ได้เที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองเชียงใหม่ เช่น งานราชพฤกษ์ วัดพระธาตุดอยคำ วัดต่างๆในเชียงใหม่ อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ผมจะเล่าข้ามไปวันที่ 3 เลยนะคับ
วันที่ 3
ก็รู้ๆกันอยู่ว่าใน smartphone จะมีแอพหาเพื่อน ซึ่งจะมีแอพ ที่หาเพื่อน สี ส้มๆ อยู่ ปกติผมจะมีไว้งั้นแหละคับ มีคนทักมาก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง วันนี้เป็นวันศุกร์หลังจากผมเที่ยวมาเเล้ว 2 วัน ก็ถึงเวลาพักบ้าง ผมก็นอนเล่นแอพ ไปเรื่อยๆก็ไปเจอ ผู้ชายคนนึงคับ ก็เห็นว่าน่ารักดี ผมเลยทักเขาไป สรุปว่าเขาอายุเท่ากันกับผม มาเที่ยวเหมือนกัน แต่มาเที่ยวเเล้วพักอยู่กับน้องสาวที่เรียน มหาลัยย่านนั้น เราก็คุยกันปกติทั่วไป เพราะผมต้องการแค่เพื่อนคุย แค่นั้น แต่ก็ไม่ลืมที่จะขอ Line ของเขามา ในคืนนั้นเองเพื่อนผมที่ผมขออาศัยด้วย ก็บอกกับผมว่าวันพรุ่งนี้ไม่ว่างพาไปถนนคนเดินวัวลายเเล้ว เพราะก่อนหน้านั้น ผมเที่ยวคนเดียวตลอด แต่การเดินถนนคนเดิน คนเดียวอย่างนี้ ผมไม่สามารถ จริงๆ ผมเลยทักลายของเขาไป ถามว่าพรุ่งนี้จะไปถนนคนเดินวัวลายด้วยกันมั้ย คำตอบที่ได้มา คือ
ผมนี่ดีใจเลยครับ จะได้มีเพื่อนไปเเล้วไม่ต้องไปคนเดียว แต่ด้วยความที่ เรา 2 คน ไม่ใช่คนพื้นที่ ก็เลยถามย้ำเขาอีกครั้งว่าจะไปมั้ย เพราะกลัวว่าผมจะพาเขาหลง เขาเลยตอบ
ผมก็ยิ้มเลยครับ ไม่คิดว่า เขาจะกล้าไปกับใครก็ไม่รู้ ที่รู้จักกันผ่านทาง แอพ (ไม่เเนะนำให้ไว้ใจใครง่ายๆนะครับ) ก่อนจะนอนผมเลยขอเฟสเขาไว้ครับ
วันที่ 4
ผมตื่นมาเพื่อนผมก็ออกไปเเล้วทิ้งให้ผมอยู่ห้องคนเดียวทั้งวัน เพื่อรอที่จะไปถนนวัวลายตอนเย็น ตอนนั้นก็ ประมาน เที่ยงเเล้วคับที่ผมตื่น ผมเลยลองทักเขาไปว่าตื่นหรือยัง สักพักเขาก็ตอบมาคับว่าตื่นเเล้ว ผมก็บ่นกับเขาว่า "เราไม่รู้จะไปไหน เพื่อนไม่อยู่ 555 " ไม่ได้หวังให้เขาชวนเที่ยวหรืออะไรเเค่บ่นตามประสา แต่เขากลับตอบมาว่า
ผมยังไม่ได้ขึ้นไปเลยครับ เพราะว่า กลัวว่าไม่ชินทางกลับจะเป็นอันตรายเลยจะรอไปกับเพื่อน แต่ผมมีคนไปด้วยละ โครตดีใจเลย ผมก็ขอเบอร์ โทรหากันว่าอยู่แถวไหน ปรากฎว่าอยู่ใกล้ๆกันครับ ผมก็เลยขับรถออกจากหอเเล้วไปรับเขาเพื่อไปเที่ยวดอยสุเทพกัน --- ระหว่างทางที่ขึ้นดอยสุเทพผมค่อนข้างขับช้าเพราะไม่คุ้นกับทาง ผมกับเขาก็คุยกันเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องเรียน เรื่องชีวิต มีแฟนหรือยัง(โสดทั้งคู่) แต่เขาบอกว่ายังไม่อยากจะคิดเรื่องนี้ตอนนี้อยากเรียนจบก่อน (เราก็คิดในใจว่าคนอย่างนี้ยังมีอยู่เว้ย) เราก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ เรา 2 คนก็ ทำบุญ เขาหยิบดอกไม้มา 1 และ เทียน 2 เล่ม ผมก็สงสัยว่าทำไม ต้องหยิบเทียนมา 2 เล่ม เขาบอกว่า "เอ่า ก็ปกติเขาให้ทำ 2 เล่มไม่ใช่อ่อ" ผมก็เถียงเขาว่าเล่มเดียว แต่ก็ไหนๆก็หยิบมาเเล้ว ผมเลยบอกกับเขาไปว่า "ทำ 2 เล่มนั้นแหละ ทำคู่ จะได้มีคู่เร็วๆ" แล้วเรา ก็ ไหว้พระไปเรื่อยๆคับ โน่นนี่นั้น พอไหว้เสร็จ เขาก็ถามผม ว่า ถ่ายรูปมั้ยเดี่ยวเราถ่ายให้ แต่เขาเอากล้องโทรศัพท์เขาถ่ายนี่สิครับ ผมก็รู้สึกแปลกว่าทำไมไม่เอากล้องผมถ่าย เราก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิวครับ เรา 2 คนก็ มองเมืองเชียงใหม่ และเขาก็ถามผมว่า นั้นใช่เครื่องบิน นกแอร์รึป่าว ผมก็มอง แต่ผมเป็นคนสายตาสั้นถึงใส่คอนเเทคผมก็มองไม่ชัดอยู่ดี ผมก็ตอบว่าอาจจะใช่ เรา 2 คนก็มอง เครื่องบิน Take off จนลับสายตาไป ผมรู้สึกได้เลยตลอดเวลาที่ผมไปรับ และพูดคุยกัน เรารู้สึกถูกชะตากันมาก เราสนิทกันอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้พูดกันถึงเรื่องนี้เลย ถ้าคนมองมาที่เรา 2 คน จะมองว่าเราเป็นแฟนกัน มากกว่าคนที่เพิ่งจะรู้จักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง และผมก็ถ่ายรูปกับเขาเป็นที่ระลึก ประเด็นมันอยู่ตรงที่ผมกับเขาเอาหัวมาชนกันนี่สิ อืม.... ผมก็ถ่ายๆไป แต่ก็ยิ้มๆ อยู่เหมือนกัน
พอลงจากพระธาตุ ก็ตกเย็นพอดีก็เลยกะไปถนนวัวลายเลย ระหว่างทางผมก็เกิดสงสัยว่าทำไมถึงกล้าที่จะออกมากับคนที่ไม่รุ้จักไม่กลัวผมลากไปฆ่าหรอ เขาตอบผมว่า "เราเชื่อว่าคนดียังมีอยู่ ปัญญาชนเขาไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก" พอเราถึงถนนวัวลาย เราก็เดินข้างๆกันคับ ก็เดินๆไป เขาหาซื้อน้ำมันหอมระเหย แต่กว่าจะตัดสินใจได้ เรา 2 คน ช่วยกันดม ว่ากลิ่นไหนหอม พอตัดสินใจว่าจะเอา กลิ่น แคนตาลูบ กับ วนิลา ก็ซื้อมาครับ พอเราเดินมาได้ซักพักเขาก็พูดขึ้นมาว่า "กลิ่นยังติดมืออยู่เลย ดมดูดิ" เขาก็ยื่นมือมาห่างจากหน้าประมาน 1 คืบ แต่คือผมไม่ได้กลิ่นไงครับ ผมเลยเผลอจับมือเขาเเล้วมาดมใกล้ๆ มันก็หอมติดมือจริงๆ เขาก็ยิ้มๆ เรา 2 คนก็เดินกันต่อไป จนสุด ระหว่างที่เดิน ผมก็ดึงเเขนเขาให้เดินให้ทันผมบ้าง โอบไหล่บ้าง เกาะไหล่ เกาะเอว บ้าง แต่ขากลับผมบังเอินมือไปโดนมือของเขา มือเขาเหงื่อออกมากเลย ผมก็จับขึ้นมาเลยครับ ผมหาเรื่องจับมือเขาเองล่ะ ยอมรับเลย แต่เปียกชุ่มเหงือจริงๆ ผมก็บอกเขาว่าระวังเป็นโรคหัวใจนะ เพราะเคยอ่านมา ผมก็เล่นมือเขาไปเรื่อยๆ บีบๆ ลูบๆ และผมก็ลองกางนิ้วมือแล้วกะประสานมือกับเขา เขาก็เหมือนรู้ด้วย เขาก็ ประสานมือกับเรา จบด้วยการที่เรา 2 คน กุมมือกัน ตลอดเส้นทางของการเดิน ถึงตอนนั้นผมเริ่มที่จะหวั่นไหวกับผู้ชายคนนี้เเล้วครับ อีกอย่าง เวลาเขาคุยกับใคร เขาจะพูด ครับต่อท้ายตลอด ไม่ใช่ครับ!! นะครับ เป็น คาฟ ประมานนี้ คือมันเหมือนการอ้อนดีดีนี่เองผมนี่หลงเลยคับ เราจับมือกัน โดยไม่ได้มีการพูดกันถึงเรื่องนี้ เราก็จับมือกันไป โดยไม่เเคร์สายตาใครเลย เป็นใคร ใครก็หวั่นไหวครับ เจองี้เข้าไป พอเดินจนสุดทางผมก็ไปส่งเขากลับหอ ครับ ผมกลับมาถึงหอ ผมก็ลายถามเขาว่า รู้สึกอะไรมั้ยที่เราจับมือกัน เขาบอกว่ารู้สึกดีคับ
ผมว่าเรา 2 คนคงถูกชะตากันแน่ๆ แต่ไม่รุ้ทำไมผมไม่ได้อยากจะเป็นเจ้าของเขา แต่ผมเเค่อยากอยู่ใกล้เขาก็พอ อยู่ใกล้ๆเเล้วอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ผมเลยบอกว่าชอบเขาเลย เขาบอกว่า พูดไม่ออก ทำตัวไม่ถูก แต่เค้าก็หวั่นๆอยู่เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอก เขาไม่ต้องการมีใครตอนนี้ เรียนให้จบก่อน จากนั้น เราก็ โทรLineคุยกัน ตั้งแต่ 23.39-00.45 ผมจำไม่ได้เเล้วว่าคุยอะไรกัน แต่ก็ไม่ได้คุยเรื่องความรักเลย คุยกันเรื่องทั่วไปมากกว่าเหมือนกับการทำความรู้จักกันให้มากขึ้น
วันที่ 5
ตื่นมาจากที่เมื่อคืนคุยกันผมเลยรู้ว่าเขาจะกลับ ม วันนี้ ผมก็เลยทักถามเขาว่าจะกลับกี่โมงก็เเชทไปเรื่อยๆ จนเขาถามว่า
ตอนแรกเพื่อนจะพาไปแต่พอดีเพื่อนมีธุระด่วน จึงทำให้ผมอดไป ผมเลยลองชวนเขาดู แต่ผมก็บอกเขาอีกทีว่า เหมือนจะไม่ทันเวลากลับ เขาบอกว่า
สรุปคือ เราก็ขับไปกัน 2 คนคับ ทางขึ้นค่อนข้างลำบากทีเดียวแต่ดีที่รถไม่เยอะเท่าไหร่ พอไปถึงที่หมาย เรา 2 คนก็ ถ่ายรูปกับต้นพญาเสือโคร่ง ส่วนมากจะเป็นการถ่ายรูปคู่ซะมากกว่า (ในระหว่างที่ผมเล่นโทรศัพท์อยู่ ผมเห็นหางตาว่าเขาแอบถ่ายรูปตอนผมเผลอไปหลาย ช๊อตเลย ^^ ตอนหลังเขาส่งมาให้ดู) พอเราถ่ายเสร็จถึงเวลากลับ จะมีทางกลับ 2 ทางคือ 1 ทางเดิมที่เรามา กับอีกทางที่ไปต่อ ซึ่งเราเห็นว่าทางที่ไปต่อ ระยะทางมันสั้นกว่า ก็เลยไปทางนั้น แต่ปรากฎว่า เป็นทางลงเขาทั้งหมดเลย ทางเป็นดินมีร่องน้ำกัดเซาะ พูดง่ายๆคือต้องกำเบรกไว้ตลอดเวลาไม่งั้นไหลลงเขาเเน่ๆครับ (ไม่แนะนำให้กลับทางนี้นะครับ) เรา 2 คนค่อยเป็นค่อยไปครับ เพราะได้ถามลุงแถวนั้นว่าต้องไปทางไหนบ้าง แต่สุดท้าย ก็หลงครับ เราหลงไปออกทางที่ไกลกว่าเราเลยจำใจที่จะต้องไปทางนั้น ต่อ เพราะกลับรถลำบากมากทางลงเขาล้วนๆ ที่รู้ว่าผิดทางเพราะว่า เราเปิด google map ดู ต้องขอขอบคุณมากเลย ครับ ระหว่างทางที่เเสนยาวนาน เขาและผม อยู่ด้วยกันแค่ 2 คน ไม่มีใครมาหลงกับเราเลยครับ แต่มันทำให้เราได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้พูดคุยเฮฮา เขาเเละผมไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อยว่าจะออกไม่ได้ ไม่มีใครพูดถึง แต่เรากลับหัวเราะ สนุกสนาน ที่หลงป่า ถ้าอีกคนเมื่อย ก็ผลัดกันคุมรถ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีครับเพราะได้ผ่านเห็นวิวสวยๆ เยอะเลย จนเราออกมาได้ มาทะลุตรงห้วยตึงเฒ่า ไกลมากๆ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ผมเลยชวนเขาว่า ไปถนนคนเดินกันมั้ย เขาตกลงครับ แต่ต้องแยกย้ายไปอาบน้ำกันก่อนครับตัวมีแต่ฝุ่น
พอมาถึงถนนคนเดินเราก็เดินจับมือกันครับ ตลอดเส้นเลย มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากครับ แต่ผมก็เสียดายที่ในวันพรุ่งนี้ทั้งผมและเขาจะต้องกลับไปสู่โลกของความจริงที่จะต้องกลับ ม กันทั้งคู่ ผมเลยขอเขาคับผม "ทีขอหอมแก้มหน่อยได้มั้ย" (นามสมมติ) ทั้งๆที่คนเดินอยู่เยอะเเยะ แต่เขากลับยื่นแก้มที่เป่าลมให้ป่องมาทางผม ผมนี่เขินเลยครับ แต่ก็หอมเเก้มไป ทีนึง เราทั้งคู่ก็จับมือกันเเน่นขึ้นครับ เหมือนราวกับว่าไม่อยากจะให้อีกคนหายไปไหน มีอยู่ช่วยนึงช่วงแรกๆที่เข้ามาในถนนคนเดินเราไม่ได้จับมือกันผมพลัดหลงกับเขาจนผมต้องโทรหา พอเห็นเขาหยุดรอผมก็รีบเดินไปหาและทำหน้าเหมือนเด็กหลงเจอพ่อแม่ เขาเอามือมาจับแก้มผมเเล้วบีบๆ เเล้วพูดว่า "โอ๋ๆ หลงหรอ" ผมเขินมาก หลังจากนั้นเราก็จับมือกันไม่ปล่อยเลยครับ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ผมนั่งกับเขาหน้าเดอะเบรนตรงข้ามวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เเละคุยกัน เพื่อรอน้องสาวของเขามารับเพื่อจะไปช่วยน้องสาวดูแฟนของน้องสาวดื่ม มีอยู่จังหวะนึงเราพูดอะไรกันนี่ล่ะครับเเล้วมีคำว่า "หรอค๊าฟ หรอค๊าฟ หรอค๊าฟ " ทุกครั้งที่ผมพูด ผมจะยื่นหน้าเข้าไปหาหน้าเขา เขาก็ "อื้ม" ตอบทุกครั้งและยิ้ม ตาเรา 2 คนมองกัน หน้าแทบจะชิดกันอยู่เเล้ว แต่ไม่ครับ ผมยิ้มเเล้วทำหน้า แบร่ ใส่เเล้วก็ กลับมานั่งเหมือนเดิม ถึงตอนนี้ผมนี่ยังเสียดายว่าทำไมผมไม่ยื่นหน้าเข้าไปอีกนิดนึงนะ รู้สึกเสียดาย ฮ่าๆ สุดท้ายน้องเขาก็มาครับ แต่ก่อนแยกกันเขาโอบไหล่ผมเเล้วพูดว่า "เราไปแล้วนะเเล้วเจอกันใหม่" แต่คือเขายืนโอบผมหน้าผมกับหน้าเขาอยู่ใกล้กันอีกเเล้ว ผมก็เลย .....หอมแก้มเขาไปทีนึงคับเเล้วเราก็เดินเเยกกัน ไปตามทางที่ต้องไป
มีต่อนิดหน่อยที่ คห. 3 นะครับ