แตกประเด็นต่อเนื่องจากกระทู้ " คำถามที่ คนไม่มีพื้นฐานเรื่องหุ้นอยากถาม แต่อาจจะไม่กล้าถาม เลยไม่ได้เล่นหุ้นสักที "
http://pantip.com/topic/33154825 ... ขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้ต้องการเกาะกระแสแต่อย่างใด แค่อยากมาช่วยเพิ่มเติม
ให้มือใหม่ได้เข้าใจมากขึ้น โดยจะพยายามเขียนง่ายๆสั้นๆ แล้วเรียงลำดับให้ก็ละกันเน้อ
ก่อนอื่นขอสรุปใจความและเพิ่มเติมเล็กน้อยต่อจากกระทู้ข้างต้นก่อนแล้วกันนะ
ส่วนประกอบในตลาดหุ้น
หุ้น = สิทธิในการเป็นเจ้าของบริษัท โดยแต่ละบริษัทอาจจะแบ่งสิทธิเป็น "หมื่นล้าน" สิทธิก็ได้
ตลาดหุ้น = ตลาดที่มีไว้ซื้อขายสินค้า ซึ่งสินค้านั้นคือ สิทธิในการเป็นเจ้าของบริษัท(มหาชน)
โบรคเกอร์ = บริษัทที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น โดยคิดค่าคอมเป็นค่าบริการ
นักวิเคราะห์ = พนักงานวิเคราะห์มูลค่าบริษัท(มหาชน) และเขียนบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์
มาร์เก็ตติ้ง = พนักงานขายของโบรคเกอร์ ได้รับค่าจ้างจากค่าคอมเป็นค่าบริการอีกที
นักลงทุน = คนที่มาเดินตลาดเพื่อซื้อขายหุ้น มีทั้งจากในประเทศและต่างชาติ ทั้งรายบุคคลและนิติบุคคล
ก.ล.ต. = ตำรวจตรวจตลาดหุ้น ... 555+ ย่อมาจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
จะซื้อขายหุ้นได้อย่างไร
เปิดพอร์ท = คล้ายๆการเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อไว้ใช้บริการในการซื้อขายหุ้น โดยอาจจะ walk-in หรือ หามาร์เก็ตติ้งตามงานแฟร์เองก็ได้
เติมเงิน = ประเภทของบัญชีหุ้น 1 แบบเติมเงิน เรียกว่า Cash Balance และ 2 แบบที่ตัดเงินจากบัญชีธนาคาร เรียกว่า Cash collateral
การซื้อขายหุ้นผ่านโบรคเกอร์ = มี 2 วิธี ผ่านมาร์เก็ตติ้ง ค่าคอม 2578 บาท / 1 ล้านบาท ผ่านอินเตอร์เน็ต 1,578 บาท / 1 ล้านบาท
ซื้อขายหุ้นผ่านมาร์เก็ตติ้ง = ไม่ต้องดาวน์โหลดอะไรเลย ยกหูโทรศัพท์อย่างเดียว มาร์เก็ตติ้งได้ 675 บาท / 1 ล้านบาท
ซื้อขายหุ้นผ่านอินเตอร์เน็ต = ต้องดาวน์โหลดโปรแกรม Streaming Pro มาร์เก็ตติ้งได้ 200 บาท / 1 ล้านบาท
เสียเงินเมื่อไร ได้เงินเมื่อไร = เสียเงินเมื่อซื้อ ได้เงินเมื่อขาย จะได้กำไรหรือขาดทุน ได้น้อยได้มาก ขึ้นอยู่กับราคาที่ขายนะจ๊ะ
ป.ล. ค่าคอมที่กล่าวข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของแต่ละโบรคเกอร์ เนื่องจากตอนนี้เปิดเสรีค่าคอมแล้ว
ว่าด้วยการเล่นหุ้น
ทำไมต้องเล่นหุ้น = หลายคนอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปดูแลธุรกิจเอง หุ้นนี่แหละคือคำตอบ
เล่นหุ้นเสี่ยงไหม = การไม่มีความรู้ และ การทำธุรกิจ มีความเสี่ยงเสมอ แต่เสี่ยงน้อยกว่า แทงหวย และเล่นสล็อตแมชชีน แน่ๆ
ทำไมถึงเสี่ยงน้อยกว่า = เพราะตอนนี้หุ้นมีแค่ประมาณ 600 กว่าตัว มีแค่ขึ้นกับลง ในขณะที่หวยมีตั้งกี่แสนเลข แถม 15 วันก็เป็น 0
แล้วอะไรหละที่เสี่ยง = ปริมาณเงินที่คุณลงในหุ้นไง ถ้าคุณรู้ว่าคุณไม่แม่นมันสมควรไหมที่ จะเอาเงินไปลงเยอะๆในหุ้น 1 ตัว ?
วิธีการวิเคราะห์หุ้นมีกี่แบบ = หลักๆมี 2 แบบคือวิธีการประเมินมูลค่าของบริษัท กับ วิธีการประเมินการเคลื่อนไหวของราคา
วิธีการประเมินมูลค่า = Fundamental Analysis และ วิธีการประเมินการเคลื่อนไหวของราคา = Technical Analysis
แล้วจะรู้ได้ไงว่าแบบไหนดี = แบบไหนที่คุณมีความรู้ และถูกจริตกับมันดีที่สุด จะให้ดีต้องมีระบบวิเคราะห์เป็นของตัวเอง
ต้องมีเงินสักเท่าไรในการเริ่มต้น = เริ่มลองของอยากให้มีที่ 100 หุ้น x 10 บาท x 20 ตัว = 20,000+ บาท เทรดอินเตอร์เน็ต+ไม่มีขั้นต่ำ
เล่นสั้น หรือ เล่นยาวดี = อยู่กับคำจำกัดความว่า สั้นคือกี่วันยาวคือกี่วัน ถ้าเล่นสั้นแล้วได้กำไรมากกว่าเล่นยาว ก็เล่นไปเถอะ
เราจะทำเงินจากหุ้นได้อย่างไร = ในกรณีซื้ออย่างเดียว มี 2 แบบคือ มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น (Capital Gain) และ เงินปันผล (Dividend)
แหล่งติดตามข้อมูล
ทางทีวี = Money Channel www.moneychannel.co.th
เว็ปไซด์สำหรับข้อมูลบริษัท = www.set.or.th / www.settrade.com / www.sec.or.th
เว็ปไซด์สำหรับติดตามข่าวรอบโลก = www.bloomberg.com / www.investors.com/default.htm
เครื่องมือติดตามและดูข้อมูลราคาหุ้น = www.efinancethai.com / www.aspenthai.com / www.bisnews.com/th/index.php
เครื่องมือของเว็ปดังกล่าวมีไว้สำหรับดูกราฟราคา มือใหม่แนะนำใช้ efinancethai ที่ทางโบรคเกอร์จะแถมมาให้อยู่แล้วนะจ๊ะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอาหละมาถึงเรื่องของเรากันบ้าง ขอออกตัวก่อนว่าเคยทำงานอยู่ในแวดวง แต่ไม่ได้เป็นมาร์เก็ตติ้ง และในบางครั้ง
ต้องคอยตามนั่งแก้ปัญหาให้ท่านๆลูกค้าหลายๆคน ซึ่งค่าคอมก็ไม่ได้อะนะ ได้แต่เงินเดือนกับโบนัสน้อยนิด 555+
โดยปัญหาของนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่คือ
ไม่มีความรู้ เมื่อไม่มีความรู้ก็
ไม่มีความระมัดระวัง ทั้งๆที่ก็รู้กันว่า
"
การลงทุนมีความเสี่ยง " นั่นแปลว่าส่วนที่สำคัญเป็นอย่างแรกน่าจะเป็นการควบคุมความเสี่ยง "
ด้วยการมีความรู้ "
นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ
ไม่รู้จักประเมินตัวเอง เมื่อไม่รู้จักประเมินตัวเองก็หลงผิด แล้วก็มักจะสรุปอะไร
ต่อมิอะไรแบบผิดๆ
เมื่อสรุปอะไรแบบผิดๆ ก็จะตัดสินใจแบบผิดๆ หลังจากนั้นก็จะเป็นปัญหา ต่อเนื่องมาให้เราช่วยแก้
จนบางครั้งเราเห็นแล้วเราต้องขอนัดเจอแล้วช่วยสอนให้ เผื่อปัญหาจะน้อยลงบ้าง
แต่สุดท้ายรู้สึกว่าการสอนฟรีมักไม่มีค่าเสมอ
วันนี้เราเลยอยากจะมาระบายอารมณ์เล็กน้อย ว่าสิ่งที่นักลงทุนสมควรรู้ในวิธีทางของการวิเคราะห์ทั้ง 2 แนวคืออะไรบ้าง
แต่คงจะไม่ลงลึกมาก ส่วนเครื่องหมายต่างๆ ที่จำเป็นต้องรู้ของตลาดหลักทรัพย์ไปหาอ่านกันเอาเองนะ
แนวทางการลงทุนแบบ Fundamental Analysis
ตามหลักการในการวิเคราะห์มูลค่าหุ้นในเคสทั่วไป ราคาของหุ้นจะ "
เริ่มเพิ่มขึ้น" ก็ต่อเมื่อมีการคาดการณ์ว่า บริษัทที่เราลงทุนนั้น
จะสามารถทำกำไรได้ในไตรมาสนั้นๆหรือปีนั้นๆ เหตุผลเพราะเมื่อบริษัท มีรายได้ เก็บเงินได้ และนำมาหักค่าใช้จ่ายและลงทุนแล้ว
ไม่ขาดทุนเหลือเป็นกำไร ก็จะแบ่งกำไรออกมาเป็น
ปันผล ให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งการจ่ายหรือไม่จ่ายปันผลนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท
เพราะในกรณีที่บริษัทนั้นๆกำลังอยู่ในช่วงเติบโต บริษัทอาจจะจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนในการขยายกิจการ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บริษัท
ไม่จ่ายเงินกำไรออกมาเป็นเงินปันผล ส่วนของกำไรนั้นจะวิ่งกลับไปเข้าไปสู่ กำไรสะสม ซึ่งกำไรสะสมเป็นส่วนหนึ่งของ ส่วนของผู้ถือหุ้น
ก็คือส่วนของคุณนั่นแหละ คุณถือหุ้นอยู่ไม่ใช่หรอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณจะได้ก็คือ
มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้นสิ่งหลักๆ ที่คุณสมควรจะรู้คือ (โดยเฉพาะในกรณีที่หุ้นที่คุณถือ ไม่ใช่หุ้นที่อยู่ใน Watch List ของนักวิเคราะห์)
1 บริษัททำอะไร เป็นสินค้าหรือบริการประเภทไหน
2 ต้นทุนหลักของบริษัทคืออะไร ที่ดิน เครื่องจักร วัตถุดิบ หรือ คน
3 ลูกค้าหลักของบริษัทเป็นใคร รายย่อย หรือ บริษัทด้วยกัน ส่วนมากจะซื้อช่วงไหน
4 คู่แข่งในตลาดของบริษัทมีใครบ้าง การแข่งขันสูงไหม มีสินค้าใช้คู่กัน หรือสินค้าทดแทนไหม
ว่าง่ายๆ ส่วนแรกคือส่วนที่เกี่ยวกับ Five Force Model และงบกำไรขาดทุน - ไม่ใช่ถามอะไรไปไม่รู้สักอย่าง
โอเคสมมติว่า คุณรู้แล้วหละว่าบริษัทที่คุณกำลังจะร่วมถือหุ้นอยู่ทำอะไรยังไง คร่าวๆคุณก็จะพอประเมินได้ว่า
5 เศรษฐกิจในปัจจุบันน่าจะเอื้ออำนวยให้กับบริษัทที่คุณจะซื้อไหม แนะนำให้ติดตามตัวเลขเศรฐกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทย
6 มีนโยบายของภาครัฐ หรือสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ให้กับธุรกิจที่คุณจะซื้อไหม (เริ่มจากสิ่งแวดล้อมก่อน PESTEL Model)
7 ถ้าไม่มีอะไรสนับสนุนเลย ในส่วนของบริษัทเองมีนโยบายกระตุ้นยอดขาย หรือบริหารค่าใช้จ่ายอย่างไร (แนะนำให้ดู Op Day)
8 ประเมินความเป็นไปได้จาก ทั้งส่วนของสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย และนโยบายของบริษัท
รวมถึงความน่าเชื่อถือของผู้บริหาร
9 เราอยากให้ประเมินออกมา 3 Scenario คร่าวๆคือ Best Case / Normal Case / Worst Cast ... เผื่อมีการเปลี่ยนแปลง
ในส่วนสุดท้ายจะเป็นในส่วนของ งบดุล(ว่าด้วยสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท) และ งบกระแสเงินสด (ว่าด้วยพพฤติกรรมการใช้เงิน)
10 โอเคเมื่อเราคาดการณ์แล้วว่าบริษัทน่าจะกำไร แต่ถ้าบริษัทมีกำไร แต่มีหนี้สินเยอะแน่นอนว่าบริษัทก็ต้องเอากำไรไปใช้หนี้
11 จะใช้หนี้ได้ และใช้จ่ายอย่างอื่นได้ก็จะต้อง สามารถเก็บเงินสดมาจากลูกค้าได้ก่อน เพราะฉะนั้น 2 ข้อนี้ เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้
12 สมมติว่าทุกอย่างดูโอเค คำถามต่อไปคือราคาเหมาะสมไหมที่จะซื้อ คำตอบคือคุณต้องประเมินมูลค่าหุ้นคร่าวๆให้เป็นก่อน
14 ถ้าในกรณีที่นักวิเคราะห์ทำบทวิเคราะห์ออกมา คุณก็พอที่จะหาอ่านได้ แต่ถ้าไม่มีนักวิเคราะห์ จะทำอย่างไรเล่า อันนี้ขออุบไว้ก่อน
15 นอกจากนี้คุณยังต้องคิดอีกว่าวิธีการวิเคราะห์หุ้นของนักวิเคราะห์หุ้น เหมาะสมไหม มีเหตุผลไหม น่าจะเป็นไปได้ไหม
แนวทางของ Fundamental Analysis ก็มีประมาณนี้ เดี๋ยวจะโพสต์หนังสือที่สมควรอ่านไว้ให้ทีหลัง เริ่มจะหมดแรงเขียนละ กิกิ
สิ่งที่คุณสมควรรู้มากกว่านี้คือ Financial Ratios ต่างๆ ที่อย่างน้อยถึงแม้ว่าคุณจะประเมินมูลค่าไม่ได้ ก็ยังพอที่จะดูคุณภาพบริษัทได้
แนวทางการลงทุนแบบ Technical Analysis
ตามหลักการของการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค จริงๆมีหลายเว็ปมากที่สอนเกี่ยวกับหัวข้อนี้ฟรีด้วย แต่มีเว็ปดีจริงๆอยู่ไม่กี่เว็ป
ปัญหาส่วนมากที่เจอคือ
การเป็น Mano Investor นักลงทุนมือใหม่บางคนดูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าราคากำลังลง ทั้งๆที่เห็นกราฟอยู่ตรงหน้า
ได้แต่บ่นๆว่าๆนักวิเคราะห์ หรือมาร์เก็ตติ้งคนนั้นคนนี้บอกว่าน่าจะขึ้น
แต่สิ่งที่กลับลืมคิดคือตลาดมันไม่ได้สนใจหรอกว่าคุณคิดอย่างไร
ทั้งนี้สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่สมควรรู้ในที่นี้ จะกล่าวถึงเฉพาะในส่วนของ Technical Analysis ไม่เกี่ยวข้องกับ Systematic Analysis เน้อ
1 Time Frame - โดยส่วนมากแล้วแนะนำให้ดูกราฟ Day และ Week เป็นหลักในกรณีที่เป็นหุ้น เพราะจะมี Noises น้อยกว่ารายนาที
2 Dow Theory - ทฤษฎีการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณทำความเข้าใจ การทำงานของเครื่องมืออื่นๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
3 Trend - Up Trend / Down Trend / Side Way + Up or Down / Support & Resistance ช่วยเข้าใจศัพท์ 6-7 คำนี้กันหน่อยนะ
4 Highest High & Lowest Low - มันคือ "ราคา High ที่สูงที่สุด" และ "ราคา Low ที่ต่ำที่สุด" ในรอบระยะเวลาที่คุณเห็นหรือกำหนด
ว่าง่ายๆ ในส่วนนี้เป็นส่วนของคำศัพท์ และคำจำกัดความที่คุณสมควรจะเข้าใจมันให้เป๊ะๆ จะได้มองแล้วไม่คลาดเคลื่อนจากคนหมู่มาก
5 Candle Sticks - อันนี้ไม่ซีเรียสนะ แต่รู้ไว้ก็ดีว่าแต่ละแบบมันมีความแตกต่างกันอย่างไร เกิดจากแรงซื้อหรือแรงขายที่ต่างกันอย่างไร
6 Peak and Trough - จุดต่ำสุด และจุดสูงสุด ที่มีไว้สำหรับการมองรูปแบบของ Price Patterns และการตี Trend Lines
7 Price Patterns - เกิดจากมองรูปแบบความต่อเนื่องของราคา ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมี ทิศทาง ความชัน และระยะเวลาที่แตกต่างกัน
9 Trend Line - เวลาตี Trend Line ช่วยกรุณาคิดนิดนึงว่าคุณสนใจอดีตล่าสุด มากกว่า อดีตที่ผ่านมานานมากๆ แล้วจะได้ไม่ผิดโลจิก
10 Period - คือช่วงระยะเวลาในการนำข้อมูลมาคำนวณ ของ Indicators & Oscillators ซึ่งแต่ละตัวใช้ Periods ที่แตกต่างกัน
11 Indicators & Oscillators - อย่างแรกขอให้แยกให้ออกก่อนว่ามันต่างกันอย่างไร แล้วหลังจากนั้นถ้าเข้าใจสูตรคำนวณได้จะดีมาก
12 How to use Indicators & Oscillators - เมื่อรู้ความแตกต่างแล้ว คุณสมควรรู้ว่าแต่ละตัวใช้อย่างไร และมีจุดอ่อนจุดแข็งอะไรบ้าง
หวังว่ากระทู้จะเป็นประโยชน์ต่อหลายๆท่านที่เพิ่งเริ่มลงทุนบ้างไม่มากก็น้อย หากมีผิดพลาดประการใดต้องขออภัยล่วงหน้า ไว้ ณ ที่นี้
ป.ล. เราอยากให้มือใหม่ อ่านกระทู้นี้ด้วย
http://pantip.com/topic/33119143 ขอบคุณจ้า
คำตอบสำหรับ คำถามของคนที่ไม่มีพื้นฐานเรื่องหุ้น เลยเล่นหุ้นไม่เป็นสักที
http://pantip.com/topic/33154825 ... ขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้ต้องการเกาะกระแสแต่อย่างใด แค่อยากมาช่วยเพิ่มเติม
ให้มือใหม่ได้เข้าใจมากขึ้น โดยจะพยายามเขียนง่ายๆสั้นๆ แล้วเรียงลำดับให้ก็ละกันเน้อ
ก่อนอื่นขอสรุปใจความและเพิ่มเติมเล็กน้อยต่อจากกระทู้ข้างต้นก่อนแล้วกันนะ
ส่วนประกอบในตลาดหุ้น
หุ้น = สิทธิในการเป็นเจ้าของบริษัท โดยแต่ละบริษัทอาจจะแบ่งสิทธิเป็น "หมื่นล้าน" สิทธิก็ได้
ตลาดหุ้น = ตลาดที่มีไว้ซื้อขายสินค้า ซึ่งสินค้านั้นคือ สิทธิในการเป็นเจ้าของบริษัท(มหาชน)
โบรคเกอร์ = บริษัทที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น โดยคิดค่าคอมเป็นค่าบริการ
นักวิเคราะห์ = พนักงานวิเคราะห์มูลค่าบริษัท(มหาชน) และเขียนบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์
มาร์เก็ตติ้ง = พนักงานขายของโบรคเกอร์ ได้รับค่าจ้างจากค่าคอมเป็นค่าบริการอีกที
นักลงทุน = คนที่มาเดินตลาดเพื่อซื้อขายหุ้น มีทั้งจากในประเทศและต่างชาติ ทั้งรายบุคคลและนิติบุคคล
ก.ล.ต. = ตำรวจตรวจตลาดหุ้น ... 555+ ย่อมาจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
จะซื้อขายหุ้นได้อย่างไร
เปิดพอร์ท = คล้ายๆการเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อไว้ใช้บริการในการซื้อขายหุ้น โดยอาจจะ walk-in หรือ หามาร์เก็ตติ้งตามงานแฟร์เองก็ได้
เติมเงิน = ประเภทของบัญชีหุ้น 1 แบบเติมเงิน เรียกว่า Cash Balance และ 2 แบบที่ตัดเงินจากบัญชีธนาคาร เรียกว่า Cash collateral
การซื้อขายหุ้นผ่านโบรคเกอร์ = มี 2 วิธี ผ่านมาร์เก็ตติ้ง ค่าคอม 2578 บาท / 1 ล้านบาท ผ่านอินเตอร์เน็ต 1,578 บาท / 1 ล้านบาท
ซื้อขายหุ้นผ่านมาร์เก็ตติ้ง = ไม่ต้องดาวน์โหลดอะไรเลย ยกหูโทรศัพท์อย่างเดียว มาร์เก็ตติ้งได้ 675 บาท / 1 ล้านบาท
ซื้อขายหุ้นผ่านอินเตอร์เน็ต = ต้องดาวน์โหลดโปรแกรม Streaming Pro มาร์เก็ตติ้งได้ 200 บาท / 1 ล้านบาท
เสียเงินเมื่อไร ได้เงินเมื่อไร = เสียเงินเมื่อซื้อ ได้เงินเมื่อขาย จะได้กำไรหรือขาดทุน ได้น้อยได้มาก ขึ้นอยู่กับราคาที่ขายนะจ๊ะ
ป.ล. ค่าคอมที่กล่าวข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของแต่ละโบรคเกอร์ เนื่องจากตอนนี้เปิดเสรีค่าคอมแล้ว
ว่าด้วยการเล่นหุ้น
ทำไมต้องเล่นหุ้น = หลายคนอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปดูแลธุรกิจเอง หุ้นนี่แหละคือคำตอบ
เล่นหุ้นเสี่ยงไหม = การไม่มีความรู้ และ การทำธุรกิจ มีความเสี่ยงเสมอ แต่เสี่ยงน้อยกว่า แทงหวย และเล่นสล็อตแมชชีน แน่ๆ
ทำไมถึงเสี่ยงน้อยกว่า = เพราะตอนนี้หุ้นมีแค่ประมาณ 600 กว่าตัว มีแค่ขึ้นกับลง ในขณะที่หวยมีตั้งกี่แสนเลข แถม 15 วันก็เป็น 0
แล้วอะไรหละที่เสี่ยง = ปริมาณเงินที่คุณลงในหุ้นไง ถ้าคุณรู้ว่าคุณไม่แม่นมันสมควรไหมที่ จะเอาเงินไปลงเยอะๆในหุ้น 1 ตัว ?
วิธีการวิเคราะห์หุ้นมีกี่แบบ = หลักๆมี 2 แบบคือวิธีการประเมินมูลค่าของบริษัท กับ วิธีการประเมินการเคลื่อนไหวของราคา
วิธีการประเมินมูลค่า = Fundamental Analysis และ วิธีการประเมินการเคลื่อนไหวของราคา = Technical Analysis
แล้วจะรู้ได้ไงว่าแบบไหนดี = แบบไหนที่คุณมีความรู้ และถูกจริตกับมันดีที่สุด จะให้ดีต้องมีระบบวิเคราะห์เป็นของตัวเอง
ต้องมีเงินสักเท่าไรในการเริ่มต้น = เริ่มลองของอยากให้มีที่ 100 หุ้น x 10 บาท x 20 ตัว = 20,000+ บาท เทรดอินเตอร์เน็ต+ไม่มีขั้นต่ำ
เล่นสั้น หรือ เล่นยาวดี = อยู่กับคำจำกัดความว่า สั้นคือกี่วันยาวคือกี่วัน ถ้าเล่นสั้นแล้วได้กำไรมากกว่าเล่นยาว ก็เล่นไปเถอะ
เราจะทำเงินจากหุ้นได้อย่างไร = ในกรณีซื้ออย่างเดียว มี 2 แบบคือ มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น (Capital Gain) และ เงินปันผล (Dividend)
แหล่งติดตามข้อมูล
ทางทีวี = Money Channel www.moneychannel.co.th
เว็ปไซด์สำหรับข้อมูลบริษัท = www.set.or.th / www.settrade.com / www.sec.or.th
เว็ปไซด์สำหรับติดตามข่าวรอบโลก = www.bloomberg.com / www.investors.com/default.htm
เครื่องมือติดตามและดูข้อมูลราคาหุ้น = www.efinancethai.com / www.aspenthai.com / www.bisnews.com/th/index.php
เครื่องมือของเว็ปดังกล่าวมีไว้สำหรับดูกราฟราคา มือใหม่แนะนำใช้ efinancethai ที่ทางโบรคเกอร์จะแถมมาให้อยู่แล้วนะจ๊ะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอาหละมาถึงเรื่องของเรากันบ้าง ขอออกตัวก่อนว่าเคยทำงานอยู่ในแวดวง แต่ไม่ได้เป็นมาร์เก็ตติ้ง และในบางครั้ง
ต้องคอยตามนั่งแก้ปัญหาให้ท่านๆลูกค้าหลายๆคน ซึ่งค่าคอมก็ไม่ได้อะนะ ได้แต่เงินเดือนกับโบนัสน้อยนิด 555+
โดยปัญหาของนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่คือ ไม่มีความรู้ เมื่อไม่มีความรู้ก็ ไม่มีความระมัดระวัง ทั้งๆที่ก็รู้กันว่า
" การลงทุนมีความเสี่ยง " นั่นแปลว่าส่วนที่สำคัญเป็นอย่างแรกน่าจะเป็นการควบคุมความเสี่ยง " ด้วยการมีความรู้ "
นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่รู้จักประเมินตัวเอง เมื่อไม่รู้จักประเมินตัวเองก็หลงผิด แล้วก็มักจะสรุปอะไร
ต่อมิอะไรแบบผิดๆ เมื่อสรุปอะไรแบบผิดๆ ก็จะตัดสินใจแบบผิดๆ หลังจากนั้นก็จะเป็นปัญหา ต่อเนื่องมาให้เราช่วยแก้
จนบางครั้งเราเห็นแล้วเราต้องขอนัดเจอแล้วช่วยสอนให้ เผื่อปัญหาจะน้อยลงบ้าง แต่สุดท้ายรู้สึกว่าการสอนฟรีมักไม่มีค่าเสมอ
วันนี้เราเลยอยากจะมาระบายอารมณ์เล็กน้อย ว่าสิ่งที่นักลงทุนสมควรรู้ในวิธีทางของการวิเคราะห์ทั้ง 2 แนวคืออะไรบ้าง
แต่คงจะไม่ลงลึกมาก ส่วนเครื่องหมายต่างๆ ที่จำเป็นต้องรู้ของตลาดหลักทรัพย์ไปหาอ่านกันเอาเองนะ
แนวทางการลงทุนแบบ Fundamental Analysis
ตามหลักการในการวิเคราะห์มูลค่าหุ้นในเคสทั่วไป ราคาของหุ้นจะ "เริ่มเพิ่มขึ้น" ก็ต่อเมื่อมีการคาดการณ์ว่า บริษัทที่เราลงทุนนั้น
จะสามารถทำกำไรได้ในไตรมาสนั้นๆหรือปีนั้นๆ เหตุผลเพราะเมื่อบริษัท มีรายได้ เก็บเงินได้ และนำมาหักค่าใช้จ่ายและลงทุนแล้ว
ไม่ขาดทุนเหลือเป็นกำไร ก็จะแบ่งกำไรออกมาเป็น ปันผล ให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งการจ่ายหรือไม่จ่ายปันผลนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท
เพราะในกรณีที่บริษัทนั้นๆกำลังอยู่ในช่วงเติบโต บริษัทอาจจะจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนในการขยายกิจการ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บริษัท
ไม่จ่ายเงินกำไรออกมาเป็นเงินปันผล ส่วนของกำไรนั้นจะวิ่งกลับไปเข้าไปสู่ กำไรสะสม ซึ่งกำไรสะสมเป็นส่วนหนึ่งของ ส่วนของผู้ถือหุ้น
ก็คือส่วนของคุณนั่นแหละ คุณถือหุ้นอยู่ไม่ใช่หรอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณจะได้ก็คือ มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้นสิ่งหลักๆ ที่คุณสมควรจะรู้คือ (โดยเฉพาะในกรณีที่หุ้นที่คุณถือ ไม่ใช่หุ้นที่อยู่ใน Watch List ของนักวิเคราะห์)
1 บริษัททำอะไร เป็นสินค้าหรือบริการประเภทไหน
2 ต้นทุนหลักของบริษัทคืออะไร ที่ดิน เครื่องจักร วัตถุดิบ หรือ คน
3 ลูกค้าหลักของบริษัทเป็นใคร รายย่อย หรือ บริษัทด้วยกัน ส่วนมากจะซื้อช่วงไหน
4 คู่แข่งในตลาดของบริษัทมีใครบ้าง การแข่งขันสูงไหม มีสินค้าใช้คู่กัน หรือสินค้าทดแทนไหม
ว่าง่ายๆ ส่วนแรกคือส่วนที่เกี่ยวกับ Five Force Model และงบกำไรขาดทุน - ไม่ใช่ถามอะไรไปไม่รู้สักอย่าง
โอเคสมมติว่า คุณรู้แล้วหละว่าบริษัทที่คุณกำลังจะร่วมถือหุ้นอยู่ทำอะไรยังไง คร่าวๆคุณก็จะพอประเมินได้ว่า
5 เศรษฐกิจในปัจจุบันน่าจะเอื้ออำนวยให้กับบริษัทที่คุณจะซื้อไหม แนะนำให้ติดตามตัวเลขเศรฐกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทย
6 มีนโยบายของภาครัฐ หรือสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ให้กับธุรกิจที่คุณจะซื้อไหม (เริ่มจากสิ่งแวดล้อมก่อน PESTEL Model)
7 ถ้าไม่มีอะไรสนับสนุนเลย ในส่วนของบริษัทเองมีนโยบายกระตุ้นยอดขาย หรือบริหารค่าใช้จ่ายอย่างไร (แนะนำให้ดู Op Day)
8 ประเมินความเป็นไปได้จาก ทั้งส่วนของสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย และนโยบายของบริษัท รวมถึงความน่าเชื่อถือของผู้บริหาร
9 เราอยากให้ประเมินออกมา 3 Scenario คร่าวๆคือ Best Case / Normal Case / Worst Cast ... เผื่อมีการเปลี่ยนแปลง
ในส่วนสุดท้ายจะเป็นในส่วนของ งบดุล(ว่าด้วยสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท) และ งบกระแสเงินสด (ว่าด้วยพพฤติกรรมการใช้เงิน)
10 โอเคเมื่อเราคาดการณ์แล้วว่าบริษัทน่าจะกำไร แต่ถ้าบริษัทมีกำไร แต่มีหนี้สินเยอะแน่นอนว่าบริษัทก็ต้องเอากำไรไปใช้หนี้
11 จะใช้หนี้ได้ และใช้จ่ายอย่างอื่นได้ก็จะต้อง สามารถเก็บเงินสดมาจากลูกค้าได้ก่อน เพราะฉะนั้น 2 ข้อนี้ เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้
12 สมมติว่าทุกอย่างดูโอเค คำถามต่อไปคือราคาเหมาะสมไหมที่จะซื้อ คำตอบคือคุณต้องประเมินมูลค่าหุ้นคร่าวๆให้เป็นก่อน
14 ถ้าในกรณีที่นักวิเคราะห์ทำบทวิเคราะห์ออกมา คุณก็พอที่จะหาอ่านได้ แต่ถ้าไม่มีนักวิเคราะห์ จะทำอย่างไรเล่า อันนี้ขออุบไว้ก่อน
15 นอกจากนี้คุณยังต้องคิดอีกว่าวิธีการวิเคราะห์หุ้นของนักวิเคราะห์หุ้น เหมาะสมไหม มีเหตุผลไหม น่าจะเป็นไปได้ไหม
แนวทางของ Fundamental Analysis ก็มีประมาณนี้ เดี๋ยวจะโพสต์หนังสือที่สมควรอ่านไว้ให้ทีหลัง เริ่มจะหมดแรงเขียนละ กิกิ
สิ่งที่คุณสมควรรู้มากกว่านี้คือ Financial Ratios ต่างๆ ที่อย่างน้อยถึงแม้ว่าคุณจะประเมินมูลค่าไม่ได้ ก็ยังพอที่จะดูคุณภาพบริษัทได้
แนวทางการลงทุนแบบ Technical Analysis
ตามหลักการของการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค จริงๆมีหลายเว็ปมากที่สอนเกี่ยวกับหัวข้อนี้ฟรีด้วย แต่มีเว็ปดีจริงๆอยู่ไม่กี่เว็ป
ปัญหาส่วนมากที่เจอคือ การเป็น Mano Investor นักลงทุนมือใหม่บางคนดูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าราคากำลังลง ทั้งๆที่เห็นกราฟอยู่ตรงหน้า
ได้แต่บ่นๆว่าๆนักวิเคราะห์ หรือมาร์เก็ตติ้งคนนั้นคนนี้บอกว่าน่าจะขึ้น แต่สิ่งที่กลับลืมคิดคือตลาดมันไม่ได้สนใจหรอกว่าคุณคิดอย่างไร
ทั้งนี้สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่สมควรรู้ในที่นี้ จะกล่าวถึงเฉพาะในส่วนของ Technical Analysis ไม่เกี่ยวข้องกับ Systematic Analysis เน้อ
1 Time Frame - โดยส่วนมากแล้วแนะนำให้ดูกราฟ Day และ Week เป็นหลักในกรณีที่เป็นหุ้น เพราะจะมี Noises น้อยกว่ารายนาที
2 Dow Theory - ทฤษฎีการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณทำความเข้าใจ การทำงานของเครื่องมืออื่นๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
3 Trend - Up Trend / Down Trend / Side Way + Up or Down / Support & Resistance ช่วยเข้าใจศัพท์ 6-7 คำนี้กันหน่อยนะ
4 Highest High & Lowest Low - มันคือ "ราคา High ที่สูงที่สุด" และ "ราคา Low ที่ต่ำที่สุด" ในรอบระยะเวลาที่คุณเห็นหรือกำหนด
ว่าง่ายๆ ในส่วนนี้เป็นส่วนของคำศัพท์ และคำจำกัดความที่คุณสมควรจะเข้าใจมันให้เป๊ะๆ จะได้มองแล้วไม่คลาดเคลื่อนจากคนหมู่มาก
5 Candle Sticks - อันนี้ไม่ซีเรียสนะ แต่รู้ไว้ก็ดีว่าแต่ละแบบมันมีความแตกต่างกันอย่างไร เกิดจากแรงซื้อหรือแรงขายที่ต่างกันอย่างไร
6 Peak and Trough - จุดต่ำสุด และจุดสูงสุด ที่มีไว้สำหรับการมองรูปแบบของ Price Patterns และการตี Trend Lines
7 Price Patterns - เกิดจากมองรูปแบบความต่อเนื่องของราคา ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมี ทิศทาง ความชัน และระยะเวลาที่แตกต่างกัน
9 Trend Line - เวลาตี Trend Line ช่วยกรุณาคิดนิดนึงว่าคุณสนใจอดีตล่าสุด มากกว่า อดีตที่ผ่านมานานมากๆ แล้วจะได้ไม่ผิดโลจิก
10 Period - คือช่วงระยะเวลาในการนำข้อมูลมาคำนวณ ของ Indicators & Oscillators ซึ่งแต่ละตัวใช้ Periods ที่แตกต่างกัน
11 Indicators & Oscillators - อย่างแรกขอให้แยกให้ออกก่อนว่ามันต่างกันอย่างไร แล้วหลังจากนั้นถ้าเข้าใจสูตรคำนวณได้จะดีมาก
12 How to use Indicators & Oscillators - เมื่อรู้ความแตกต่างแล้ว คุณสมควรรู้ว่าแต่ละตัวใช้อย่างไร และมีจุดอ่อนจุดแข็งอะไรบ้าง
หวังว่ากระทู้จะเป็นประโยชน์ต่อหลายๆท่านที่เพิ่งเริ่มลงทุนบ้างไม่มากก็น้อย หากมีผิดพลาดประการใดต้องขออภัยล่วงหน้า ไว้ ณ ที่นี้
ป.ล. เราอยากให้มือใหม่ อ่านกระทู้นี้ด้วย http://pantip.com/topic/33119143 ขอบคุณจ้า