" ปัญญาอบรมสมาธิ "

ความจริงการภาวนาเพื่อให้ใจสงบ ถ้าสงบด้วยวิธีปลอบโยนโดยทางบริกรรมไม่ได้ ต้องภาวนาด้วยวิธีปราบปรามขู่เข็ญ



คือ ค้นคิดหาเหตุผลในสิ่งที่จิตติดข้องด้วยปัญญา  แล้วแต่ความแยบคายของปัญญา
จะหาอุบายทรมานจิตดวงพยศ จนปรากฏใจยอมจำนนตามปัญญาว่า เป็นความจริงอย่างนั้นแล้ว  ใจจะฟุ้งซ่านไปไหนไม่ได้  
ต้องหยั่งเข้าสู่ความสงบ  เช่นเดียวกับสัตว์พาหนะตัวคะนอง  ต้องฝึกฝนทรมานอย่างหนักจึงจะยอมจำนนต่อเจ้าของ




ฉะนั้น  ในเรื่องนี้จะขอยกอุปมาเป็นหลักเทียบเคียง เช่น ต้นไม้บางประเภท ตั้งอยู่โดดเดี่ยวไม่มีสิ่งเกี่ยวข้อง
ผู้ต้องการต้นไม้นั้นก็ต้องตัดด้วยมีดหรือขวาน  เมื่อขาดแล้ว  ไม้ต้นนั้นก็ล้มลงสู่จุดที่หมาย  แล้วนำไปได้ตามต้องการ  
ไม่มีความยากเย็นอะไรนัก  



* แต่ไม้อีกบางประเภท ไม่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ยังเกี่ยวข้องอยู่กับกิ่งแขนงของต้นอื่นๆ อีกมาก  ยากที่จะตัดให้ลงสู่ที่หมายได้  
ต้องใช้ปัญญาหรือสายตาตรวจดูสิ่งเกี่ยวข้องของต้นไม้นั้นโดยถี่ถ้วน  แล้วจึงตัดต้นไม้นั้นให้ขาด
พร้อมทั้งตัดสิ่งเกี่ยวข้องจนหมดสิ้นไป  ไม้ย่อมตกหรือล้มลงสู่ที่หมายและนำไปได้ตามความต้องการฉันใด  


จริตนิสัยของคนเราก็ฉันนั้น คนบางประเภทไม่ค่อยมีสิ่งแวดล้อมเป็นภาระกดถ่วงใจมาก
เพียงใช้คำบริกรรมภาวนา พุทฺโธ  ธมฺโม  สง.โฆ  เป็นต้น  บทใดบทหนึ่งเข้าเท่านั้น  ใจก็ได้รับความสงบเยือกเย็นเป็นสมาธิลงได้
กลายเป็นต้นทุนหนุนปัญญา  ให้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่างสบาย ที่เรียกว่า  "สมาธิอบรมปัญญา "



.....แต่คนบางประเภทมีสิ่งแวดล้อมเป็นภาระกดถ่วงใจมาก และเป็นนิสัยชอบคิดอะไรมากอย่างนี้  
จะอบรมด้วยคำบริกรรมอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น  ไม่สามารถที่จะยังจิตให้หยั่งลงสู่ความสงบเป็นสมาธิได้
ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองเหตุผล  ตัดต้นเหตุของความฟุ้งซ่านด้วยปัญญา
เมื่อปัญญาได้หว่านล้อมในสิ่งที่จิตติดข้องนั้นไว้อย่างหนาแน่นแล้ว จิตจะมีความรู้เหนือปัญญาไปไม่ได้  
และจะหยั่งลงสู่ความสงบเป็นสมาธิได้ ฉะนั้น คนประเภทนี้ จะต้องฝึกฝนจิตให้เป็นสมาธิได้ด้วยปัญญา  
ที่เรียกว่า " ปัญญาอบรมสมาธิ "


ตามชื่อหัวเรื่องที่ให้ไว้แล้วในเบื้องต้นนั้น เมื่อสมาธิเกิดมีขึ้นด้วยอำนาจปัญญา
อันดับต่อไปสมาธิก็กลายเป็นต้นทุนหนุนปัญญาให้มีกำลังก้าวหน้า สุดท้ายก็ลงรอยเดียวกันกับหลักเดิมที่ว่า "สมาธิอบรมปัญญา"




ผู้ต้องการอบรมใจให้เป็นไปเพื่อความฉลาด รู้เท่าทันกลมายาของกิเลส
"อย่ายึดปริยัติจนเกิดกิเลส แต่ก็อย่าปล่อยวางปริยัติจนเลยศาสดา "   ผิดพระประสงค์ของพระพุทธเจ้าทั้งสองนัย


คือ ในขณะที่ทำสมาธิภาวนา  อย่าส่งใจไปยึดปริยัติจนกลายเป็นอดีตอนาคตไป ให้ตั้งจิตลงสู่ปัจจุบัน คือ เฉพาะหน้า
มีธรรมที่ตนเกี่ยวข้องเป็นอารมณ์เท่านั้น  เมื่อมีข้อข้องใจ ตัดสินใจลงไม่ได้ว่าถูกหรือผิด  เวลาออกจากที่ภาวนาแล้ว  
จึงตรวจสอบกับปริยัติ  แต่จะตรวจสอบทุกขณะไปก็ผิด เพราะจะกลายเป็นความรู้ในแบบ ไม่ใช่ความรู้เกิดจากภาวนา  ใช้ไม่ได้




สรุปความ  
ถ้าจิตสงบได้ด้วยอารมณ์สมถะ  คือ  คำบริกรรมด้วยธรรมบทใด  ก็บริกรรมบทนั้น  
ถ้าจะสงบได้ด้วยปัญญาสกัดกั้นโดยอุบายต่างๆ  ก็ต้องใช้ปัญญาเป็นพี่เลี้ยงเพื่อความสงบเสมอไป

........ผลรายได้จากการอบรมทั้งสองวิธีนี้ คือ ความสงบและปัญญา  อันจะมีรัศมีแฝงขึ้นจากความสงบนั้นๆ......



--------------------------------------


จากหนังสือ ปัญญาอบรมสมาธิ - พระธรรมเทศนาโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
อ่านเนื้อหาเต็มได้จาก www.luangta.com/upload/ThammaBook/content/20031029205641.doc

เพิ่มเติม
อุบายวิธีสอนตน - http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1954&CatID=9
แม่นยำด้วยภาคปฏิบัติ - http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4986&CatID=2
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่