คนเราอาจจะตามหาฝาแฝดหรือคนที่หน้าเหมือนกับคุณซึ่งในโลกนี่ถึงจะมีแต่ก็มีโอกาสเพียงแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องแฝดคู่ขนานก็เป็นได้ หลายคนอาจจะยังงงว่าแฝดคู่ขนาดที่พูดถึงอยู่นี้คืออะไรกันแน่ งั้นขอเท้าความกันก่อนดีกว่า คือคนเราอาจจะเคยได้ยินเรื่องทฤษฏีโลกคู่ขนานหรือ parallel world กันมาบ้างแล้วคือโลกที่แตกแขนงออกไปซึ่งเรียกอีกอย่างว่าความเป็นไปได้ที่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเลือกจะทำเช่น ถ้าพรุ่งนี้มีสอบ ซึ่งเรามีทางเลือก 2 ทางคือ 1.อ่านหนังสือ และ 2.ไม่อ่าน ตัวเลือกทั้งสองนี้มีความต่างอย่างเห็นได้ชัดก็คือถ้าอ่านก็สามารถทำข้อสอบได้ และถ้าไม่อ่านก็ทำไม่ได้ ขึ้นอยู่กับที่เราเลือก ซึ่งทฤษฏีนี้โดยมากจะเจอในลักษณะที่เกิดขึ้นกับตัวเองเสียส่วนมาก หากแต่เรื่องที่ผมจะเขียนลงต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่สำหรับตัวข้าพเจ้าเองแล้วถือเป็นเรื่องที่แปลกอย่างเหลือเชื่อเลยก็ว่าได้ เพราะหากแต่ว่าทฤษฏี parallel world ของผมนั้นมิได้สะท้อนแค่ภายในตัวของข้าพเจ้าแต่เท่านั้น แต่ยังสะท้อนไปถึงเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมเลยก็ว่าได้ เรื่องเริ่มต้นที่หลังจากที่ผมจบจาก ม.ต้น ในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งจึงตั้งใจจะย้ายไปต่อที่ โรงเรียนมัธยมปลายอีกแห่งซึ่งผมนั้นไม่อาจทราบถึงสิ่งที่จะตามมาในชีวิตเลยแม้แต่น้อยเริ่มต้นในตอนนั้นผมได้สมัครสอบเข้าเรียนสายศิลป์ภาษา ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด เริ่มต้นที่วันเปิดเรียนใหม่ ข้าพเจ้าหลังจากที่สอบติดสายที่ตนเองคาดหวังแล้วก็ปลื้มปริ่มเป็นว่าเล่น ซึ่งพอเข้าเรียนไปวันแรกก็เป็นวันที่จะทำความรู้จักเพื่อนใหม่ที่อยู่ร่วมห้องด้วยกัน ซึ่งเพื่อนคนแรกที่ผมก็คือ เพื่อนคนที่ผมได้เท้าความไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้ว ท่าทางในตอนแรกที่ข้าพเจ้าเห็นคือ คนรูปร่างสูงใหญ่ อ้วน แต่ผิวที่ขาวตัดกับขนที่ขึ้นเยอะตามแขนและขาทำให้ไม่ดูขาวเกินไปสำหรับผู้ชาย และใบหน้าที่อวบอูมแต่แฝงความนิ่งเฉย ทำให้ผมคิดว่าคงไม่มีพิษภัยอะไรและน่าจะเป็นประเภทเด็กเรียน ซึ่งติดจะตรงข้ามกับผมโดยสิ้นเชิงที่ผิวคล้ำ สูง ใหญ่ หน้านิ่งๆเหมือนไม่สนใจรอบข้าง จะเรียกว่าผมเหมือนโจรก็ได้อ่ะ ซึ่งเพียงวันเดียวก็ทำให้ผมเปิดใจโดยไม่ยากเลยทีเดียว เพราะเพียงแค่วันเดียวก็ได้วิธีติดต่อข้าพเจ้าไปเสียครบเลยทีเดียว ทั้งเบอร์โทรศัพท์ เฟซบุ๊ค และไลน์ อย่างที่ผมได้บอกมาเมื่อกี้นี้แหละครับว่าท่าทางของเพื่อนคนนี้ดูเป็นคนนิ่งๆมึนๆ ไม่พูดมากอะไร ถึงผมจะเป็นเพื่อนคนแรกๆแต่ว่าเรากลับพูดคุยกันน้อยมากเลยทีเดียว จนในช่วงแรกๆผมคิดว่าเค้าเป็นคนเก็บตัวเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปร่วม 1 อาทิตย์ ผมก็ถูกผู้ปกครองจับย้ายห้องไปอยู่อีกแผงหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสายภาษาเหมือนกันแหละครับ และด้วยความที่ว่าผมย้ายเข้าไปห้องนั้นใหม่ๆ ทำให้มีเพื่อนน้อย เพราะเพื่อนส่วนมากอยู่ห้องเดิมหมดเลย ก็มีเพื่อนคนนี้แหละครับที่ผมติดต่อคุยด้วยบ่อยที่สุด เนื่องจากว่าเพื่อนเก่าของผมที่มาจากโรงเรียนเดียวกันก็กระจัดกระจายไปโรงเรียนอื่นๆกันหมด ที่พอจะอยู่โรงเรียนเดียวกันก็ไม่สนิทกันซักเท่าไหร่ ผมจึงค่อนข้างจะคุยกับเพื่อนคนนี้บ่อยเป็นพิเศษจนหลังๆมาจากที่พิมพ์คุยในแชทอย่างเดียวก็กลายมาเป็นโทรคุยกันและระบายเรื่องราวต่างๆให้กันและกันฟังจนทำให้เรารู้จักกันดีมากขึ้นและสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม ผมและเพื่อนคนนี้ค่อนข้างจะเรียกว่ามีอะไรหลายๆอย่างที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง หลายๆคนอาจจะบอกว่าตรงกันข้ามแล้วไงไม่เห็นแปลก ที่แปลกสำหรับผมคือตรงกันข้ามทุกอย่างครับ เช่น ผมเป็นคนที่คิดก่อนทำเสมอ แต่เค้าเป็นคนที่ทำอะไรตามใจแบบไม่คิดเป็นประจำซึ่ง ในตอนแรกผมก็ไม่คิดหรอกครับว่าหลังจากที่ผมรู้จักเค้าลึกเข้าไปเรื่อยๆแล้วจะมีอะไรที่มากกว่านั้นมากเลยทีเดียว มีอยู่วันหนึ่งผมนั่งเล่นคอมอยู่ดีๆ ตอนประมาน 4 ทุ่มเค้าก็โทรมาหาผมว่าเค้าหลงทาง กลับบ้านไม่ถูก พอดีว่าไปเที่ยวผับกับพี่แล้วออกมาคุยโทรศัพท์ที่ด้านนอก รู้สึกตัวอีกทีก็หลงมาตรงไหนไม่รู้ ผมเลยถามว่าทำไมไม่โทรหาพี่ โทรหาผมทำไม มันตอบว่าก็เบอร์ขึ้นเบอร์แรกกูเลยโทรมา ผมก็ปวดหัวสิครับกับคนเมาซะด้วยเอาไงดีล่ะทีนี้ ผมเลยบอกให้เรียกแท็กซี่ ซึ่งแน่นอนครับว่าไม่รับเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง แล้วผมก็สายหลุดไป พอโทรไปเช็คอีกทีก็ปรากฏว่าอยู่กับพี่เรียบร้อยแล้วผมก็หมดห่วง ซึ่งวันต่อผมก็คุยกันที่โรงเรียนตอนเช้าว่าเมื่อคืนไปหลงตรงไหนมาเนี่ย มันเล่าว่ามันหลงไปโพงหญ้าข้างผับ กว่าจะขึ้นมาได้แทบแย่ ผมเลยถามต่อว่าเออ แล้วเป็นไงเนี่ย ท่าทางโทรมเชียว มันเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนนี้มีเพื่อนพี่ที่เป็นคนญี่ปุ่นมาด้วย ซึ่งทุกคนเมาไม่ได้สติเลย ตอนกลับเลยเรียกแท็กซี่กลับรู้สึกตัวอีกทีก็นอนกอดอยู่กับชาวญี่ปุ่นที่บอกเนี่ยแหละครับในม่านรูด ผมเลยแซวไปว่าแน่ในนะว่าแค่กอด มันก็พยักหน้าซื่อๆผมเลยไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะท่าทางที่มันเป็นคนดูเซื่องๆผมเลยคิดว่าคงเมาหมดสติไปซะมากกว่า แต่ทว่าที่หลายคนสงสัยกันก็คงจะเป็นที่ว่าหน้าตาขาวๆเด็กเรียนอย่างนี้กินเหล้าเที่ยวกลางคืนหรือ ส่วนผมน่ะหรอ ผมไม่กินเหล้าสูบบุหรี่หรือเที่ยวกลางคืนเลยซักนิด ซึ่งพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อผมนักหรอกครับ แต่เรื่องนี้อย่างที่บอกว่าเป็นไปในแนวตรงกันข้ามจริงๆ ซึ่งจะมีเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ แต่เรื่องใหญ่มันจะมีมาอีกเรื่อยๆตะหาก และเรื่องนี้มันไม่จบแค่นี้หรอกครับ เพราะว่าหลังจากที่อยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆจะมีเหตุการณ์หนึ่งที่มันเกิดสารภาพกับผมขึ้นมาจนได้ แต่ตอนนี้ขอค้างไว้เท่านี้ก่อนดีกว่านะครับ เพราะดึกแล้ว พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้าด้วย ถ้าสนใจเดี๋ยวผมจะมาเขียนต่อให้ครับ โปรดติดตามตอนต่อไป
มีใครเคยได้ยินเรื่องเพื่อนในโลกคู่ขนานใบเดียวกันมั้ยครับ?